เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 237 เมื่อพบสวีจั้งต้องเข้าใจผิดไปทั้งชีวิต
ตอนที่ 237 เมื่อพบสวีจั้งต้องเข้าใจผิดไปทั้งชีวิต
สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ผู้สืบทอดสายเลือดจากท่านหญิงมากมายจะมีแดนเทวาและห้องเงียบของตนเอง
ท่านหญิงสุ่ยเยวี่ยเป็นผู้สืบทอดของสายเลือดเคียงกระบี่ สายเลือดเคียงกระบี่เดิมทีอยู่สันโดษ ฝึกวิถีกระบี่ สถานที่ฝึกฝนห่างไกลผู้คนและเงียบสงบ มีภูเขาเล็กอยู่ในสำนักศึกษา
ใบไม้ผลิมาดอกไม้เบ่งบาน เสียงนกร้อง
หนิงอี้มองเด็กสาวที่เอาสองมือไพล่หลังโดดโหยงๆ อยู่ตรงหน้า
เขากอดกระบี่ยาวโบราณนั้นของเผยฝาน สีหน้าแปลกไปนิดๆ หลังแยกกับป๋อหลิ่น เด็กสาวที่ดูไม่พอใจจู่ๆ ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา
ท่านหญิงสุ่ยเยวี่ยอยู่ ‘ภูเขาซ่อนกระบี่’
ภูเขาเล็กนี้ ซูมู่เจอมอบให้สุ่ยเยวี่ย นามของภูเขา นางย่อมเป็นคนตั้ง
ตอนหนิงอี้ได้ยินว่าภูเขาที่สุ่ยเยวี่ยฝึกฝนมีชื่อว่าภูเขาซ่อนกระบี่ ใจก็กระเทือนเพราะนามนี้เบาๆ คำว่าซ่อนกระบี่ หากแยกออกก็จะเป็นคำว่า ‘ซ่อน’ กับ ‘กระบี่’
ซ่อน เป็นคำว่าซ่อนในคลังสมบัติได้ และเป็นคำว่าซ่อนในชื่อสวีจั้งได้
สุ่ยเยวี่ยชอบสวีจั้ง
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้
ความสัมพันธ์ระหว่างสองคน ความจริงไม่ถือว่าแย่ ต้าสุยในตอนนั้นมีแต่ผู้โดดเด่นที่เป็นผู้สืบทอดจากหนึ่งทิศ ต่างชื่นชมกัน ไม่ใช่แค่สหายแล้ว
ต่อมาสวีจั้งเริ่มหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ตัดขาดอดีตทั้งหมด ไม่ถ่วงขาเขาสู่ซาน และก็ไม่ถ่วงขาสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เขาตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับทางโลกเพื่อปกป้องสหายในอดีตของตนทุกคน
รวมถึงสุ่ยเยวี่ย
สิบปีไร้ข่าวคราว ไม่เจอกันอีก ไม่คุยกันอีก ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนถูกสวีจั้งฟันขาดทั้งหมด สุ่ยเยวี่ยออกจากสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวหลายครั้ง ไปตามรอยของสวีจั้งในยุทธภพ แต่ก็ยังไม่ประสบผล
สวีจั้งไม่อยากพบนาง
หนิงอี้ครุ่นคิดเงียบๆ อาจารย์อาสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่ใช้วัยสาวตนไปทั้งหมดคนนี้ สวีจั้งจะไม่รู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างไร บางครั้ง คำว่ารัก ยกขึ้นได้แต่วางลงไม่ได้ แบกภาระไว้มากเกินไป จนทำให้คนอื่นผิดหวังไม่ได้อีกแล้ว
เนี่ยหงหลิงถูกเขาศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมและตายลงเพราะสวีจั้ง
ในใจสวีจั้งมีคนที่สองไม่ได้อีก เป็นสหายเก่ากัน เขาหวังแค่ว่าสุ่ยเยวี่ยจะมีชีวิตที่ดี อย่ายึดติดกับเขา
…..
ใต้ภูเขาซ่อนกระบี่
เมฆลมไหลมารวมกัน
เด็กสาวพูดเสียงเบา “กลิ่นอายของแสงดาราฟ้าดินปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว”
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองภูเขาซ่อนกระบี่ไกลๆ เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น
ตอนนี้เดินมาถึงใต้ภูเขา
หญ้าสองข้างทางพลิ้วไหว ปราณกระบี่ลอยขึ้นเป็นเส้นสาย ขึ้นไปตามเส้นทางภูเขา ไหลขึ้นไปบนยอดเขา ระหว่างทางมีหญ้าน้ำค้างลอยขึ้นจากพื้นตลอด หมุนม้วนขึ้นไปตามพายุ
หญิงชุดดำคนหนึ่ง ผ้าบางปิดหน้า นั่งบนบันไดหิน วางกล่องพิณสูงไว้ข้างใต้ ยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง วางบนกล่องพิณ ร่างอรชร ผ้าดำสะบัดไปตามลม ตรงเอวผูกไหสุราไม้เถา ในอาภรณ์ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสุรา
“คุณชายหนิงอี้”
เสียงท่านหญิงพิณไม่ชัดเจน มีความเมามายนิดๆ
มหามรรคที่นางฝึกฝนเกี่ยวกับเสียงพิณ ตอนนี้กึ่งเมา คำพูดกดลงถึงจิตวิญญาณ
“เรามาพบท่านหญิงสุ่ยเยวี่ย” หนิงอี้แสดงเจตนาของตน
“อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ย…กำลังปิดด่านบำเพ็ญ วันนี้จะทะลวงขอบเขตราชันดารา” ท่านหญิงพิณหน้าอกขยับขึ้นลง ก่อนจะยิ้มหวาน “ทั้งสองท่านมาผิดเวลาจริงๆ เกรงว่า…”
ท่านหญิงใหญ่แห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนนี้ นางเย็นชาเคร่งขรึมมาตลอด แต่วันนี้ดื่มกึ่งเมา นั่งหน้าบันไดหินเส้นทางภูเขา พ่นลมหายใจเบา ก่อนพูดเสียงเบา “เกรงว่าต้องให้ทั้งสองท่านรอสักครู่”
หนิงอี้มองอ้อยอิ่งพลางพูดอย่างจริงจัง “แม่นางเจียง เป็นเช่นนี้นับว่าหาดูยากจริงๆ”
“หาดูยากรึ สภาพข้าเมาหาดูยากรึ” เจียงเหมียนเฟิงหัวเราะเสียงเบา “จะแก้กลุ้มได้อย่างไรล่ะ ก็มี…มีแค่สุรานี่”
นางเอามือวางบนไหสุราไม้เถา ผ้าคลุมหน้าถูกแสงดารากระเทือนแตก เผยใบหน้างดงามนั้น เงยหน้านั่งบนบันไดหิน ปราณกระบี่พัดเส้นผมยาว หรี่ดวงตาลง ก่อนจะดื่มไปอีกอึก
ดูแล้วมีความซึมเซาอยู่เจ็ดส่วน
หนิงอี้นึกถึงการเจอกันครั้งก่อนกับอ้อยอิ่ง เป็นริมทะเลสาบอิสระ ท่านหญิงใหญ่คนนี้เชิญตนเดินไปด้วยกัน อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป สุดท้ายเพียงแค่ถามสองคำถามก่อนจะแยกจากกัน
เขากระชับอาภรณ์แล้วมองไปบนภูเขาซ่อนกระบี่ ปราณกระบี่ไหลเวียน เมฆลมรวมกัน สุ่ยเยวี่ยบนเขาคงกำลังสู้อยู่จริงๆ จะก้าวสู่ขอบเขตราชันดาราแล้ว
หนิงอี้มองเจียงเหมียนเฟิง “สุรานี่แก้กลุ้มได้จริงรึ”
ท่านหญิงพิณหยิบไหสุราขึ้นมา กดปากไหลง ไม่เหลือสักหยดแล้ว ก่อนจะยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “ไม่ได้ สุราทำให้แค่เมา ไม่ว่าจะเมาอย่างไร สุดท้ายก็ต้องตื่น”
เด็กสาวมองเจียงเหมียนเฟิง รู้สึกว่าในแววตาหญิงคนนี้มีความสิ้นหวังมัวหมองอยู่เล็กๆ
เรื่องใดกันที่ทำให้นางทุกข์ถึงขนาดนี้
“คุณชายหนิงอี้ไม่ดื่มสุรารึ”
“ดื่ม” หนิงอี้นั่งบนที่ราบ มองท่านหญิงพิณพลางพูดนิ่งๆ “แต่ไม่เคยเมา”
อ้อยอิ่งยิ้ม “นั่นเพราะสุราของเจ้าไม่ดี”
นางชะงักไปก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณชายหนิงอี้ ครั้งก่อนที่ริมทะเลสาบอิสระ โชคดีได้เห็นกระบี่คนสวรรค์ ไม่รู้ว่าวันนี้จะช่วยชี้แนะได้หรือไม่”
…..
ยอดเขาซ่อนกระบี่
ในห้องหอไม้ไผ่ ประตูใหญ่เปิดออก ปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า
ชุดคลุมเต๋าสีฟ้าใสดุจท้องนภาถูกลมพองขึ้น ปิ่นไม้มัดผมยาวไว้ ใบหน้าสตรีราบเรียบและเฉยชา สองมือโค้งเป็นวงกลมวางตรงหน้าตัก
บนตักนางเป็นร่มสีแดงเก่าแก่ เปื้อนฝุ่นจำนวนมาก ดูแล้วมีอายุมานานมาก
ใบหน้าไม่ทุกข์และก็ไม่สุข
สุ่ยเยวี่ยไม่ได้ลืมตา แค่พูดเสียงเบา “ท่านมาแล้ว”
เงาสีดำไหลเวียนบนพื้น รวมขึ้นทีละนิด ซูมู่เจอยืนข้างหลังสุ่ยเยวี่ย นี่คือวิชาของยอดฝีมือขอบเขตนิพพาน ทะลวงขอบเขตราชันดาราเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง จะให้เกิดการรบกวนและผิดพลาดไม่ได้ ซูมู่เจอมาที่นี่ วางค่ายกล คุ้มกันให้สุ่ยเยวี่ยด้วยตนเอง
เสียงของซูมู่เจอมีความลังเลเสี้ยวหนึ่ง นางกัดฟันพูดเตือน “สุ่ยเยวี่ย อย่าวอกแวก”
บนศีรษะสุ่ยเยวี่ยมีดาราชะตาสองดวงรวมขึ้นมาแล้ว
ดาวประจำตัวดวงแรกมาจากวิชาฝึกฝนของสายเลือดเคียงกระบี่
ดาราเสริมดวงที่สองรวมมาสิบปีแล้ว
นางตัดสัมพันธ์กับคนนั้นมานานสิบปีแล้ว
ดาราดวงที่สามมีเพียงเงามายา อีกทั้งตอนนี้ยังเกิดรอยแตกร้าว หากรวมดาราชะตาล้มเหลว อย่างเบาก็มรรคแตก หยุดอยู่ขอบเขตนี้ตลอดชีวิต
อย่างหนักก็เส้นชีพจรขาดทั้งหมด พลังบำเพ็ญลดลงเรื่อยๆ
และที่หนักกว่านั้นคือดาราแตก สิ้นชีพลง
ยิ่งรวมดารามากขึ้นก็จะยิ่งยากขึ้น
รวมดาราออกมาสามดวงก็จะเท่ากับบรรลุขอบเขตดาราชะตาสมบูรณ์ สำเร็จเป็นราชันดารา!
ตอนนี้สุ่ยเยวี่ยกำลังรวมดาราชะตาดวงที่สาม เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จใจอึดใจเดียว แต่นางกลับชักช้าไม่ยอมเดินหน้า หลายปีมานี้ นางกดพลังบำเพ็ญของตน ชักช้าไม่ลองทะลวงพลัง
ศึกสำนักศึกษา นางปลดพันธนาการนั้นออก ไม่กดไว้อีก
ซูมู่เจอรู้ว่าสุ่ยเยวี่ยมีปณิธานที่ยังทำไม่สำเร็จอยู่ในใจ ความเสียดายยังไม่หมดไป
แต่ความจริงใต้เขาน้ำค้างเล็กของเขาสู่ซาน เรื่องในอดีตเหล่านี้ถือว่าเป็นการปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
สวีจั้งตายแล้ว
สุ่ยเยวี่ยหลับตาลง แต่ในความคิดนางมีแต่ภาพระหว่างตนกับคนนั้นวนไปมา
นอกชานเมืองหลวง ฝนตกพรำ เย็นนิดๆ
ตนเพิ่งก้าวสู่ทางโลก
มีคนถามตนว่าอยากได้ร่มกันฝนหรือไม่
ตอนที่บุรุษคนนั้นก้มตัวเล็กน้อย สองคนสบตากัน คิ้วกระบี่ถึงจอนผม ดวงตาหงส์น่าเกรงขาม
เสียงลมเสียงฝนอยู่ข้างหลัง คำพูดทุกคำของบุรุษคนนั้น สุ่ยเยวี่ยลืมไปทั้งหมด
มีเพียงคำพูดสุดท้าย
‘ข้าชื่อสวีจั้ง จั้งจากคำว่าซ่อนกระบี่ มาหลบใต้ร่ม หลบหลังข้า’
สุ่ยเยวี่ยรับร่มกระดาษมันคันนั้นมา
สวีจั้งยืนอยู่ข้างหน้านาง
เดินไปข้างหน้าเป็นผู้บำเพ็ญจากทั่วทุกสารทิศของต้าสุย หรือก็คือผู้ท้าทาย เดิมทีนางคิดว่าคนพวกนี้พุ่งเป้ามาที่ตน สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวอยู่ในยุคที่ดวงชะตาตกต่ำที่สุด เจ้าสำนักซูมู่เจอเป็นเพียงราชันดารา ถูกอีกสามสำนักศึกษาใหญ่กดขี่มานานมาก รากฐานตื้น แต่ดันมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่ง หากเอาชนะผู้สืบทอดสายเลือดเคียงกระบี่ของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวได้ ก็จะโด่งดังไปทั่วหล้า
ตอนนั้นสวีจั้งยังไม่มีชื่อเสียง
หลังจากวันนั้น สวีจั้งก็มีชื่อเสียง
กระบี่เหล็กเล่มเดียวสังหารผู้บำเพ็ญพลังบำเพ็ญเดียวกันทั้งหมด ขึ้นไปอยู่รายนามดารา มีชื่อเสียงเท่ากับฝูเหยาและโจวโหยว
ต่อมาสุ่ยเยวี่ยถึงรู้ว่ากระบี่เหล็กนั่นเป็นเพียงกระบี่เหล็กธรรมดา ที่อาวุธแหลมคมได้ก็เพราะปราณกระบี่เจ้าของแข็งแกร่ง ไร้พ่าย
กระบี่เหล็กนั่นธรรมดามาก
ร่มกระดาษมันคันนั้นที่ตนรับมาต่างหากที่ไม่ธรรมดา
นั่นเป็นกระบี่มีชื่ออย่างแท้จริง นามจริงคือพินิจเหมันต์ เป็นของสำคัญที่สุดของสวีจั้ง
นางไม่ลืมภาพในวันนั้น และลืมสวีจั้งไม่ได้
นางฝึกปราณกระบี่สุดชีวิต เอาชนะคู่ต่อสู้หลายต่อหลายคน ขึ้นรายนามดารา ต้าสุยในตอนนั้นมีอัจฉริยะมากมาย คุณชายหยวนฉุนแห่งหอบัวจัดนางไปอยู่อันดับแปดรายนามดารา
เมืองหลวงในตอนนั้นประโคมข่าวกันยกใหญ่ บอกว่าสุ่ยเยวี่ยแห่งถ้ำกวางขาวกับสวีจั้งเหมาะสมกันมาก สองคนฝึกปราณกระบี่เหมือนกัน และยังเป็นอัจฉริยะหนุ่มสาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังในรายนามดารา
พวกเขาเคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว
แต่มีคนกลับบอกว่าสวีจั้งได้ลงหลักปักฐานกับคนหนึ่ง คนนั้นคือสุ่ยเยวี่ย
สุ่ยเยวี่ยไม่สนใจข่าวลือพวกนั้น นางห่วงแต่ท่าทีของสวีจั้ง
ตอนนั้น…สวีจั้งไม่ปฏิเสธ
นางดีใจมาก ทำร่มกระดาษมันสีแดงไว้คู่กับพินิจเหมันต์ แต่ยังไม่ทันส่งออกไป
ตอนที่นางได้เห็นพินิจเหมันต์ครั้งที่สอง นางเห็นสวีจั้งเบียดอยู่ใต้ร่มกระดาษมันคันนั้น และยังมีเนี่ยหงหลิงในอ้อมกอดเขา
นับจากนั้น ข่าวการครองคู่เทพเซียนของสวีจั้งกับเนี่ยหงหลิงก็ดังไปในเมืองหลวง สวีจั้งยอมรับว่าคนรักที่แท้จริงของเขาคือเนี่ยหงหลิง ศิษย์สายตรงของเจ้าภูเขาม่วง
สองคนขี่ม้าเดินทางด้วยกัน ท่องไปทั่วต้าสุย สังหารยอดปีศาจแดนอุดร เอาชนะศัตรูแข็งแกร่งมากมาย
ผู้อาวุโสลู่เซิ่งกับคุณชายเจ้าหรุยแห่งเขาสู่ซานเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันมาก มิตรภาพระหว่างสองคนเกินกว่าคำว่าพี่น้องแท้ๆ ต่างได้ฝากร่มยาวไว้สองคัน สีแดงกับขาว
สวีจั้งถือร่มขาวคันนั้น เนี่ยหงหลิงห้อยร่มแดงไว้ตรงเอว
ร่มขาวกับร่มแดง
พินิจเหมันต์กับเทียนน้อย
เข้าคู่ที่สุด เหมาะสมที่สุด
หลังจากวันนั้น สุ่ยเยวี่ยได้ฝังร่มนั้นที่ตนทำขึ้นด้วยตนเอง
ที่แท้ทุกอย่าง…
ก็เป็นนางคิดเองอยู่ฝ่ายเดียว ทุกอย่างจบลงแล้ว
………………………..