เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 240 กระบี่ฟันอิสระ
ตอนที่ 240 กระบี่ฟันอิสระ
หนิงอี้ยังไม่ทันพูด
ซูมู่เจอก็พูดเสียงเบา
“เป็นสวีจั้ง”
นัยน์ตาท่านหญิงพิณมีความงุนงงนิดๆ นางมองอาจารย์ของตน
“เป็นสวีจั้ง…ที่ช่วยสุ่ยเยวี่ยไว้” นางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “นางนำของเก่าในตอนนั้นออกมา คิดบทสรุปของตนไว้นานแล้ว หลังร่มแดงนั้นไหม้หมด โลกนี้จะไม่มีสุ่ยเยวี่ยอีก…เดิมทีนางตั้งใจจะตาย”
หนิงอี้มองหญิงกลางเปลวเพลิงในหอไผ่ นางอาบเพลิงมรรค พลังบำเพ็ญกำลังเพิ่มขึ้นไม่หยุด การรวมดาราดวงที่สามเพิ่มพลังของนางเรื่อยๆ ดาราดวงที่สามนี้หมายถึงความเจ็บปวดและดิ้นรนอย่างยิ่ง
“ร่มแดง…” หนิงอี้มองสองมือสุ่ยเยวี่ยที่ว่างเปล่า ก็เข้าใจได้ว่าของเก่านั้น ต่อให้ซูมู่เจอไม่พูดอะไรเขาก็พอเดาเรื่องราวในอดีตตอนนั้นได้คร่าวๆ ทุกคนต่างคิดว่าระหว่างสุ่ยเยวี่ยกับสวีจั้งเป็นความรักข้างเดียวมาตลอด
ต่อมาสวีจั้งเกิดเรื่อง หลายคนคิดว่านักกระบี่ที่ดูถูกต้องชอบธรรมคนนี้ ในเนื้อแท้เป็นเพียงคนต่ำต้อยกลัวตาย ทิ้งเนี่ยหงหลิงกับสำนักในคืนนั้นของเมืองหลวง ไหนเลยจะคู่ควรกับคำว่าบุรุษ
จากนั้นมา สวีจั้งเริ่มการแก้แค้นอันยาวนาน
เขาไม่เคยอธิบายการหายตัวไปและไร้ข่าวคราวในคืนโลหิตเมืองหลวง ต้องแบกรับคำด่าทั้งหมด
เขาไม่สนใจชื่อเสียงของตน
ตอนนั้นได้มีการยกสุ่ยเยวี่ยกับสวีจั้งขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนคิดว่าสวีจั้งเป็นเพียงกากเดน สุ่ยเยวี่ยเป็นหญิงคลั่งรักที่ถูกหลอกให้รัก ไฉนต้องรอด้วยความทุกข์อีก
“ในร่มแดงนั้นมีจิตที่สวีจั้งใส่ไว้ในตอนนั้นอยู่” ซูมู่เจอพูดเสียงเบา “สุ่ยเยวี่ยเผาร่ม หักร่ม ไม่ว่าอย่างไหน เขาก็จะพูด”
“จงมีชีวิตต่อไป”
หนิงอี้พูดคำนั้น
จงมีชีวิตต่อไป…
ไม่อยากเชื่อว่าสวีจั้งจะฝากคำพูดเช่นนี้ไว้
บุรุษคนนั้นคงคิดว่าหากวันใดวันหนึ่งสุ่ยเยวี่ยคิดจะทำลายร่มคันนี้ ก็อาจจะรังเกียจตนจริงๆ แล้ว ถูกเสียงลมล้างหูทั้งใต้ฟ้าต้าสุย ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องดี
หากเป็นเช่นนั้นก็จะลืม ดวงจิตนั้นก็อาจจะไม่ปรากฏมา
การทำลายร่มนี้อาจจะมีเป็นพันสาเหตุ หมื่นความเป็นไปได้
แต่หมื่นความเป็นไปได้ มีเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ดวงจิตในร่มแดงคันนี้โผล่มา
คือช่วงเวลาความตาย
วิถีกระบี่ของสวีจั้งแม่นยำในเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตายอย่างยิ่ง…โลกนี้มีเขาคนเดียวที่ทำแบบนี้ได้
หนิงอี้พ่นลมหายใจเบา
เขาเหมือนเข้าใจเจตนาของสวีจั้งนิดๆ แล้ว
เรื่องในอดีตดุจสายลมดุจควัน
เคยสนิทและห่างเหินกันไปนั้นไม่สำคัญแล้ว
แต่โลกนี้ต่อให้ทุกข์และยากกว่านี้ ก็ต้องมีชีวิตต่อไป
เขาเงยหน้าขึ้น วันนี้ท่านหญิงสุ่ยเยวี่ยทะลวงขอบเขตราชันดารา บนฟ้าไร้เมฆ ฟ้าใสสวยงามมาก
เพลิงมรรคดับลง ลอยเป็นควันขึ้นจากยอดเขา
บุรุษคนที่โน้มน้าวให้คนอื่นมีชีวิต ตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว
…….
หนิงอี้กอดปราณนิรันดร์เขาเชียงพาเด็กสาวออกจากสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
ระหว่างทาง สองคนมีสีหน้าไม่สบายนัก
“หนิงอี้ เจ้าว่าสวีจั้ง…เขาตายแล้วจริงๆ รึ” เด็กสาวอึดอัดใจ ในที่สุดก็อดพูดไม่ได้
“ข้า…ข้าไม่รู้”
หนิงอี้รู้สึกว้าวุ่น
สองคนไปทะเลสาบอิสระ
หนิงอี้นั่งยองลงริมทะเลสาบ เขามองเงาตัดของตนในทะเลสาบ เสียงร้องมีความสุขดังแว่วมาไกลๆ
เป็นเป็ดป่าฝูงหนึ่งตบปีกบนทะเลสาบ คลื่นน้ำกระเพื่อม
ใบไม้ผลิอบอุ่นดอกไม้เบ่งบาน เมืองหลวงมีหลายคนมาชมทิวทัศน์ริมทะเลสาบอิสระ
นี่เป็นฤดูกาลแห่งการเกิดใหม่ ทุกสรรพสิ่งคืนชีพ หญ้าน้ำค้างเงยหน้าขึ้น
สิ่งที่ตายไปล้วนมีการเกิดใหม่ นี่เรียกว่าการสืบทอด และเรียกว่าวัฏจักร คนหนุ่มสาวสองคนที่มาถึงริมทะเลสาบอิสระ ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับคำถามนี้
“วันนั้นบนเขาน้ำค้างเล็ก ข้าไม่ได้ไปพิธีศพของบุรุษคนนั้น หลังเขาออกมาจากภูเขาม่วง ข้าก็รับฟังข่าวนี้เงียบๆ ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรนัก…เพราะข้าคิดว่าเขายังไม่ตาย ข้ากำลังรอเขามาอยู่ตรงหน้าข้า”
หนิงอี้นั่งยองลงเงียบนานมากก่อนจะพูดด้วยความอัดอั้น “ไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกเหมือนกันหรือไม่…คนแซ่สวีเดินไปหลายเส้นทางมาก ไม่ว่าพวกเราไปที่ใดก็มักจะเห็นเขา ได้ยินเขา”
เผยฝานพูดเสียงเบา “เพราะเขามีชื่อเสียงมากจริงๆ”
โจวโหยว ท่านหญิงสุ่ยเยวี่ย ซ่งอีเหริน หลิ่วสืออี…
พวกนี้คือคนที่หนิงอี้เคยพบ
และยังมีคนที่ไม่เคยพบ ฝูเหยารวมถึงเยี่ยหงฝู…
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองเมฆหมุนม้วนพลางพูดพึมพำ “จากนั้น ไม่รู้ว่าวันใด อาจจะเป็นวันนั้นที่ข้าฝึกบนเขาน้ำค้างเล็กจนเหนื่อยแทบขาดใจ ข้านอนบนเตียง ตะโกนเรียกสวีจั้ง แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับ ตอนนั้นข้าถึงได้สติจริงๆ ว่าเขาตายแล้ว”
“ความตายของคนหนึ่ง เป็นเพียงพริบตาเดียว หรืออาจจะสั้นกว่านั้น” หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “จากไม่ยอมรับเป็นยอมรับทีละนิด เพียงแค่เปลี่ยนความคิด ข้าก็เหมือนจะไม่ได้เศร้าอะไรเท่าไร…ถึงอย่างไรข้าก็มักจะเห็นเขาจากปากคนอื่น หรือเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองหลวง”
เขานิ่งไปก่อนจะพูดปลง “อย่างเช่นภูเขาอิสระเล็กกลางทะเลสาบอิสระ”
เด็กสาวมองไปตามนิ้วมือหนิงอี้
เผยฝานมีสีหน้าซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ทะเลสาบอิสระมีชื่อเสียงมาก เขาอิสระเล็กนั่นมีชื่อเสียงมากเช่นกัน เป็นหนึ่งในจุดชมทิวทัศน์มากมายในเมืองหลวง ผู้บำเพ็ญหลายคนมาฝึกฝนกันที่นี่ โดยเฉพาะภูเขาเล็กใจกลางทะเลสาบนั้น ความจริงเป็นเพียงก้อนหินลอยขนาดไม่ใหญ่ ถูกโซ่ตรึงไว้กลางทะเลสาบ
คนส่วนใหญ่ที่มาเป็นนักกระบี่
เพราะบนภูเขาอิสระนั้นมีประโยคหนึ่ง
‘สวีจั้งเคยมาที่นี่’
สวีจั้งเขียนเอาไว้ตอนหนุ่ม
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ตอนนั้นเขาถูกคนด่าสาปแช่ง เรื่องการเขียนบนเขาอิสระถูกคนหยิบยกออกมา เพิ่มโทษการทำลายวัตถุโบราณให้สวีจั้งไปอีกข้อหา
“ความจริง สวีจั้งก็เคยบอกเรื่องนี้กับข้า” เผยฝานกดเสียงลง “ตอนนั้นมีคนเดิมพันกับเขาที่ทะเลสาบอิสระ ยืนบนทะเลสาบ ห่างหนึ่งลี้ หากใช้ปราณกระบี่เขียนอักษรได้ จะถือว่าเขาชนะ”
หนิงอี้ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เขาเกาศีรษะก่อนถามด้วยความแปลกใจ “ใครเดิมพันกับสวีจั้งกัน”
“ทะเลสาบอิสระเป็นจุดชมทิวทัศน์ของเมืองหลวง จุดชมทิวทัศน์ทั้งหมดของเมืองหลวงเป็นของราชวงศ์…คนที่มีสิทธิ์เขียนบนเขาอิสระก็ย่อมเป็นคนของราชวงศ์” เด็กสาวถอนหายใจ “ได้ยินว่าเดิมพันเป็นการตบหน้าสิบครั้ง ถูกสวีจั้งตบจนหน้าบวม โกรธจนแทบจะจมหินนั้นลงทะเลสาบ”
หนิงอี้ทำเสียงจิ๊ๆ “คนของราชวงศ์ถูกตบจนหน้าบวม หาดูยากจริงๆ…เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หินแกะสลักนั่นก็ยังอยู่ตรงนี้รึ”
“ยังไม่ทันจม…” เด็กสาวพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อน “วันที่สองจักรพรรดิมาริมทะเลสาบอิสระ เห็นหินก้อนนี้และได้ฟังเรื่องราว ก็ชมว่าสวีจั้งเขียนอักษรสวย”
หนิงอี้มองหินก้อนนั้น ไม่คิดเลยว่าหินกลางทะเลสาบก้อนนี้…จะมีเรื่องราวมากขนาดนี้
“นั่นก็แสดงว่าต้องให้สวีจั้งมาจมหินก้อนนี้” หนิงอี้ยิ้ม “เขาเหมือนจะไม่ชอบจักรพรรดิมาตลอดเลย”
เด็กสาวชี้นิ้วไปที่ผู้บำเพ็ญโดยรอบ ในกลุ่มคนไกลๆ มีคนชักกระบี่ยาวตรงเอว ฟันกระบี่นั้นบนทะเลสาบไกลๆ ปราณกระบี่ลากผ่านน้ำทะเลสาบ ฟันละอองน้ำ ลากไปหลายจั้ง สุดท้ายก็หายไป เหมือนหมดกำลัง
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น
คนพวกนี้กำลังลองเขียนอักษร
“นับจากวันนั้น ริมทะเลสาบอิสระถูกปิด ห้ามผู้บำเพ็ญเหยียบทะเลสาบ และห้ามเข้าใกล้หินนั้น เรือหาปลาเก่าเกยตื้นอยู่ริมฝั่ง หลายปีมานี้ คนที่มาทดสอบกระบี่ริมทะเลสาบไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลย”
เด็กสาวนั่งยองข้างหนิงอี้ “นักกระบี่ที่คิดจะเทียบเคียงหรือคิดว่าตัวเองเหนือกว่าสวีจั้งมากมายมาที่ทะเลสาบอิสระ ลองออกกระบี่ ดูว่าจะเขียนอักษรไว้ได้หรือไม่”
หนิงอี้ยิ้ม “พวกเขาต้องรู้สึกล้มเหลวมากแน่ๆ”
เด็กสาวนิ่งไปก่อนจะชี้ก้อนหิน “นั่น ยังใหม่เหมือนเดิม สิบปีเป็นเช่นนี้ ทุกปีเป็นเช่นนี้”
หนิงอี้พูดชมด้วยสีหน้าจริงจัง “มิน่าเจ้านี่ถึงมีคนยกยอมากขนาดนี้…นี่ก็คือศักยภาพ ตอนนั้นเขาพลังบำเพ็ญใด”
เด็กสาวพูดแปลกๆ “ขอบเขตหลัง”
หนิงอี้ที่กอดปราณนิรันดร์เขาเชียงลุกขึ้นช้าๆ
เขาปักปราณนิรันดร์ไว้บนพื้น เอามือข้างหนึ่งกดด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ตรงเอว
“ข้าเคยมาทะเลสาบอิสระตอนไม่มีใครอยู่ครั้งหนึ่ง…” หนิงอี้พูดเสียงเบา “ตอนนั้น จิตกระบี่ยังไม่เปิด ฟันกระบี่ออกไป สะเทือนถึงคนสวรรค์”
ตอนมาเยือนสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เด็กสาวก็ได้ยินท่านหญิงพิณเอ่ยถึงเรื่องนี้
นางมองหนิงอี้ อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
“เจ้าคงไม่คิดจะ…” เด็กสาวปรายตามองหนิงอี้ที่เอามือกดด้ามกระบี่
“ใช่” หนิงอี้พูดนิ่งๆ ด้วยใบหน้าปกติ “ข้าอยากลอง”
ริมทะเลสาบอิสระ
แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งออกจากเอวหนิงอี้
แสงดารา เจตจำนงกระบี่ ความเป็นเทพ
เหมือนตอนที่มาที่นี่ครั้งก่อน ระหว่างที่หนิงอี้รู้สึกไม่แน่ใจก็มีตัวชี้นำอย่างหนึ่ง
เขาฟันกระบี่นั้นอีกครั้ง!
น้ำทะเลสาบระเบิดแยกออกเป็นสองฝั่ง ปราณกระบี่เหมือนมังกรเวียนว่ายอยู่ใต้น้ำ
มีคนร้องตกใจตรงริมทะเลสาบ ทุกสายตามองมาที่หนิงอี้ผู้ออกกระบี่
เกิดเสียงดังปัง
ละอองน้ำระเบิดกระจาย
กลางทะเลสาบขมุกขมัวเหมือนกระจก หลังละอองน้ำตกลง หินนั้นโคลงเคลงอย่างรุนแรงก่อนจะกลับมาสงบนิ่งทีละนิด
หนิงอี้หรี่ตาลง จ้องหินอิสระกลางทะเลสาบ
หินนั้นยังสมบูรณ์เหมือนเดิม…อักษรของสวีจั้งไม่เคยสั่นคลอน หินยังเหมือนเดิม
ทะเลสาบอิสระ เงียบสงัด
ทุกคนมองหนิงอี้ด้วยสีหน้าอย่างกับมองสัตว์ประหลาด
กระบี่นี้ ยังฝากร่องรอยไว้ไม่ได้หรือ
เผยฝานลุกขึ้น กระแอมไอเบาๆ “พี่ เจ้าไม่ต้องอายนะ…สวีจั้งแอบบอกข้าว่า จากนั้นเขาก็คิดจะจมหินก้อนนี้ลง เลยมาลองครั้งที่สองกลางดึก ปรากฏว่าพลาด จักรพรรดิน่าจะวางผนึกเล็กๆ ไว้ในหินนั้น” เด็กสาวกดเสียงต่ำลง ส่งกระแสจิตมา “ตอนสวีจั้งพูดถึงตรงนี้ ยังด่าจักรพรรดิว่าตาเฒ่าชั่ว…”
เสียงเงียบลง
หินนั้นกลางทะเลสาบพลันเกิดรอยร้าวขึ้นรอบๆ
ตามด้วยเสียงดังกึก
โซ่เหล็กทมิฬที่อยู่ก้นทะเลสาบปรากฏยันต์ลอยขึ้นมา ใช้ควบคุมน้ำทะเลสาบ ตอนนี้ใต้น้ำที่ไม่มีใครเห็น มันถูกปราณกระบี่ฟันขาดเป็นเสี่ยงๆ
ลมหายใจที่สิบหลังออกกระบี่นั้น
หินนั้นที่ลอยอยู่บนทะเลสาบอิสระก็แตกเป็นสองส่วน จมลงดังข้างล่าง
ก่อนจะจมหายไปทั้งหมด
เผยฝานเบิกตาโต
หนิงอี้พูดเสียงเบา “ข้าอยากลองดูว่าจะช่วยเขาจมหินนี่ได้หรือไม่”
เขาขมวดคิ้ว มองพินิจเหมันต์ในมือตนพลางพูดพึมพำ “ยากจริงๆ ต้องใช้ปราณกระบี่ข้าไปเก้าส่วน”
……………………….