เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 242 การสังหารครั้งนี้
ตอนที่ 242 การสังหารครั้งนี้
พญายมขุมนรกที่เก้าที่ยืนอยู่ตรงหัวเมืองรากษสพลันหน้าเย็นชาลง
เขายกสองมือกดลง
กลองอสนีบาตสี่ใบพลันลอยขึ้น ตัวมางาตามะสีแดงบนตัวกลองเปล่งแสงสว่างสีแดงเข้ม สดสว่างไสว
พลันเกิดพายุโหมกระหน่ำ ประกายสายฟ้ารวมกันขึ้น
กลองอสนีบาตสี่ใบลอยอยู่ตรงหัวเมือง กดดันหลิ่วสืออีรอบด้าน
สายฟ้าสว่างไสวผ่าลงมาจากสวรรค์เก้าชั้น พื้นดินยุบลงไป มีประกายสายฟ้ากระเด็นออกมาตลอด
พญายมขุมนรกที่เก้าเพ่งสายตามอง
สิ่งที่ตาเขาเห็นคือในระยะสามฉื่อรอบหลิ่วสืออีถูกสายฟ้าผ่า เหมือนมีกรงไร้รูปขังไว้ แต่กลับแค่ยุบลงไปเล็กน้อย ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่กลองอสนีบาตเกิดปราณกระบี่ร้อนระอุแตกกระเซ็น ผ่าสายฟ้ากลับมา
เวลานี้ฟ้าดินมืดครึ้มก่อนจะสว่างขึ้นในทันที
ประกายสายฟ้าถูกกลองเล็กสี่ใบเรียกออกมา ผ่าลงกลางศีรษะหลิ่วสืออี นี่เป็นกำลังของฟ้าดินบริสุทธิ์ แทบจะไม่มีใครต้านได้ โดยเฉพาะวันฝนตกหนักเช่นนี้
บุรุษน่ากลัวที่เอาสองมือกดกำแพงพลันนึกถึงเรื่องหนึ่ง
ยันต์นั้นของหลิ่วสืออี
ยันต์กันน้ำ!
หยดน้ำไม่เปียกตัว!
วิชาสายฟ้าไม่โดนตัวหลิ่วสืออี ถูกปราณกระบี่ที่คล่องแคล่วทำลายห่างไปในระยะสามฉื่อ สายฟ้ามากมายไหลมารวมกัน ตอนนี้ผ่าลงหลิ่วสืออี แต่ไม่ใช่เคราะห์สายฟ้ายิ่งใหญ่อะไร
เล่าลือว่าฟ้าดินมีสัมผัสลับๆ หากเป็นผู้บำเพ็ญภูตผีฝึกวิชาภูตผี กินตับไตหัวใจคนเป็นประจำ หลอมศพคืนวิญญาณ ทำเรื่องเลวทราม หากเจอกับวันฝนตกหนักและถูกสายฟ้าสัมผัสได้ ก็จะรุนแรงขึ้น ถือเป็นการบังคับให้เขาต้องชดใช้กรรม
แต่ความจริงไม่ใช่ว่าฟ้าดินสัมผัสได้ แต่ผู้บำเพ็ญภูตผีพวกนั้นแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง ผู้บำเพ็ญแดนทักษิณฝึกฝนเอนไปทางความชั่วร้าย เจอแสงสว่างไม่ได้ เจอสายฟ้าไม่ได้ ไม่ว่าจะฆ่าคนหรือไม่ ขอแค่ฝึกวิชาคล้ายๆ กันนี้ ต่อให้เป็นผีน้อยพญายมที่ไม่เคยเปื้อนเลือด ก็จะถูกสายฟ้าจับจ้องอย่างไร้เหตุผล ห้าอัสนีผ่าลงกลางหัว
หากตอนนี้คนที่ยืนอยู่ในเมืองรากษสไม่ใช่หลิ่วสืออี แต่เป็นผู้บำเพ็ญภูตผีขอบเขตที่เจ็ดสักคนของแดนทักษิณ เกรงว่าคงวิญญาณดับสลายไปแล้ว
ทว่าสายฟ้าเต็มฟ้าถูกตัวมางาตามะสีแดงบนหน้ากลองเรียกออกมา สุดท้ายก็ดำเนินต่อไปได้เกือบครึ่งก้านธูป
หมอกควันลอยขึ้น
หน้าผากของพญายมขุมนรกที่เก้าเกิดเส้นเลือดเขียวปูดขึ้น เขาจ้องร่างเงาชุดขาวที่ไม่บาดเจ็บ กระทั่งอาภรณ์ไม่เสียหายเลยสักนิดกลางหมอก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไรกัน”
สองมือของหลิ่วสืออีจับสองด้านของฝักกระบี่เรียวยาวของปราณนิรันดร์เขาเชียง กระบี่ยาวสี่เล่มของเขาเชียง ‘ปราณเพาะบ่มมโหฬารนิรันดร์ อ่านคัมภีร์ไร้อักษรสงบ’ เส้นทางที่เดินเป็นมหามรรคปราณกระบี่ที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุดในโลก สายฟ้าไม่ทำอะไร แสงสว่างย่อมออกมา
ปราณกระบี่ฟันสายฟ้า เพียงแค่ความคิดเดียว กระทั่งไม่ได้ออกแรงเท่าไรเลย
ทุกสรรพสิ่งในโลก มีทั้งร่วมกันและเป็นปฏิปักษ์กัน ก็มีหลักการแค่นี้
หลิ่วสืออีมองพญายมขุมนรกที่เก้าบนกำแพงเมืองก่อนจะแค่นยิ้ม “คนในจวนปฐพีใช้วิชาสายฟ้าได้ด้วยรึ”
พญายมขุมนรกที่เก้ามีเหงื่อไหลมาจากหน้าผากไม่หยุด เขาคาดเดาความเป็นมาของกระบี่ยาวเล่มนี้ได้คร่าวๆ แล้ว
คนจวนปฐพีกับผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ ในภาพจำของชาวโลกมีความคล้ายกันมาก
แต่ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนจวนปฐพีไม่เคยปรากฏใต้แสงตะวัน นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขายืนใต้แสงตะวันไม่ได้
จวนปฐพีเป็นขุมอำนาจแข็งแกร่งที่ได้รับอนุญาตให้คงอยู่จากฝ่าบาทไท่จง พวกเขามีชีวิตอยู่ใต้ดินใต้ฟ้าต้าสุย
พวกเขาเป็นพ่อค้าเนื้อหมูข้างถนนในยามกลางวันได้ เป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านดอกไม้ได้ เป็นหนุ่มน้อยเช็ดโต๊ะยกน้ำชาในโรงเตี๊ยมได้…ก่อนที่พวกเขาจะออกมือลอบสังหาร พวกเขาเป็นได้ทุกคน
พวกเขามีเป็นพันใบหน้า
เก้าร้อยเก้าสิบเก้าใบหน้าในนั้นเป็นของปลอม เพียงเพื่อปกปิดกระบี่สังหารเดียว
ไม่เคยมีมือสังหารจวนปฐพีสู้กับคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง ตัดสินแพ้ชนะหรือตัดสินความเป็นตาย
เมืองรากษสวันนี้เป็นข้อยกเว้น
…….
ปราณนิรันดร์ปักลงพื้น
หลิ่วสืออีไม่ได้ชักกระบี่
สองมือเขาจับด้ามกระบี่
สายฟ้าผ่าลงรอบตัวเขา นอกระยะสามฉื่อโดยรอบเป็นหลุมบ่อเต็มพื้น ฝนตกหนักลงมา หลุมเล็กใหญ่ที่มีควันร้อนพวยพุ่งดินเลนกระเด็น
พญายมขุมนรกที่เก้ามองกระบี่มีชื่อเขาเชียงที่มีชื่อว่าปราณนิรันดร์นั้น
เขามองหลิ่วสืออีเช่นกัน
ในความคิดปั่นป่วนไปหมด
เขารู้ดีว่าหลิ่วสืออีไม่รีบร้อนออกกระบี่ก็เพราะให้เวลาตนคิด
ดังนั้นเขาจึงกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือจนเจ็บ พญายมขุมนรกที่เก้ากัดปลายลิ้นตนเอง ขณะเลือดพุ่งออกมา ความคิดปั่นป่วนก็ชัดเจนขึ้นทีละนิด…
เขาเชียงมีกระบี่มีชื่อสี่เล่ม ‘มโหฬาร’ ‘ปราณนิรันดร์’ ‘คัมภีร์สงบ’ และ ‘ไร้อักษร’ เล่าลือว่าแบ่งเป็นการป้องกันการกัดกร่อนของ ‘ลม สายฟ้า น้ำและไฟ’
ปราณนิรันดร์เป็นหนึ่งในสี่กระบี่เขาเชียง
ปราณนิรันดร์อยู่ในมือหวังอี้
เมืองหลวงมีข่าวมากมาย แต่ข่าวที่สำคัญ เขามีช่องทางรู้ได้ทั้งหมด…เมื่อไม่นานมานี้ หวังอี้แพ้ให้คนหนึ่ง ทั้งยังเสียปราณนิรันดร์เขาเชียงให้คนนั้น!
ตนพักอยู่เมืองรากษส ไม่มีทางถูกหลิ่วสืออีจับได้เด็ดขาด…คนที่มีวิชาสัมผัสแข็งแกร่งที่สุดในโลกคือราชันดาราพันกรแห่งเขาสู่ซาน
และคนนั้น…
พญายมขุมนรกที่เก้าจ้องหลิ่วสืออีพลางพูดอย่างอ่อนล้า “หนิงอี้เป็นสหายของเจ้า”
หลิ่วสืออีไม่ได้ตอบคำถามนี้
พญายมขุมนรกที่เก้าเอ่ยเนิบนาบ “เขารักษาเจ้าจนหายดี มอบกระบี่นี้ให้เจ้า…และยังถือโอกาสชี้ทางให้”
ครั้งนี้หลิ่วสืออีพูดแล้ว
เขาพยักหน้าช้าๆ ไม่ได้ปฏิเสธ
“ใช่”
พญายมขุมนรกที่เก้าเอ่ยทีละคำ “แต่นี่ไม่ยุติธรรม”
หลิ่วสืออีเลิกคิ้วขึ้น
พญายมขุมนรกที่เก้าคิดถึงสาเหตุที่วันนี้เกิดเรื่องผิดปกติ เขายิ้ม พลันรู้สึกว่ากำลังวังชาในกายถูกถึงออกจนหมดในพริบตา เขาเงยหน้าขึ้น พบว่าฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทิวทัศน์นอกเมือง ต้นไม้โบราณโอนเอนจะล้มพวกนั้นถูกฝนถาโถมใบไม้ร่วงลงพื้น หญ้าน้ำค้างที่เหยียดตัวตรงตอนต้นใบไม้ผลิ หลุมมากมายบนพื้น หลังจากสายฟ้าแลบก็สะท้อนออกมาเป็นภาพหนึ่ง
หนึ่งเมือง สองคน
พญายมขุมนรกที่เก้าแห่งวิหารที่เก้าจวนปฐพีรู้หลักการที่ง่ายมากอย่างหนึ่ง
เขาต้องยืนอยู่ใต้แสงสว่างชั่วนิรันดร์
การเล่นระหว่างมือสังหารกับเหยื่อเหมือนแมวจับหนู แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือมือสังหารอาจจะเป็นหนูนั้นได้ ตอนที่เขาถูกอีกฝ่ายพบ…เขาก็กลายเป็นเหยื่อนั้นแล้ว
ใบไม้ร่วงเต็มฟ้า ฝนกระหน่ำลงมา
พญายมขุมนรกที่เก้าไม่เห็นหนิงอี้
เขาพ่นลมหายใจ ก่อนจะพูดขึ้น “หลิ่วสืออี หากเอาตัวตนออก สู้กับเจ้าเช่นนี้…ข้าสู้เจ้าไม่ได้”
หลิ่วสืออีกล่าว “ไม่ใช่แค่สู้ข้าไม่ได้ แต่เจ้ายังหนีข้าไม่ได้ด้วย”
พญายมขุมนรกที่เก้าพลันยิ้ม ก่อนจะยกคำถามขึ้นมา “หลิ่วสืออี คนชี้ทางเจ้าอยู่ที่ใด”
หลิ่วสืออีไม่ตอบเขา
“เปลี่ยนคำถาม คนที่ชี้ทางให้เจ้า…คือหนิงอี้รึ” พญายมขุมนรกที่เก้าพูดอีกครั้ง
หลิ่วสืออีก็ยังไม่ตอบ
“มีหลายอย่างชี้ทางได้ อย่างเช่น…ยันต์ ยันต์ที่ซ่อนพลังสัมผัสเขาสู่ซาน” พญายมขุมนรกที่เก้ากดเสียงต่ำลง เขาหรี่ดวงตา ก้มตัวลง สายตาจ้องยันต์กันน้ำนั้นก่อนจะพูดขึ้น “เขาหาข้าเจอก่อนแล้ว แต่หากเขามาด้วยตัวเอง ข้าจะหาเขาไม่เจอได้อย่างไร”
ได้คำตอบแล้ว
พญายมขุมนรกที่เก้ายิ้ม
เขาเอนตัวไปข้างหลังอีกครั้ง ไม่อยู่ในท่าพร้อมจะกระโดดลงจากกำแพงเมืองตลอดเวลาอีก
“หนิงอี้ไม่ได้มา” พญายมขุมนรกที่เก้าหรี่ตาลง เขาเอานิ้วมือเคาะกำแพงเมืองเบาๆ พลางเอ่ยเนือยๆ “เจ้ายังไม่หายดี หากเขาเป็นสหายของเจ้าจริงๆ จะให้เจ้าออกจากเมืองทั้งที่บาดเจ็บได้อย่างไร”
หลิ่วสืออีเอ่ยราบเรียบ “หากเจ้ามีความสามารถแค่นี้…ข้าคนเดียวก็ฆ่าเจ้าได้”
พญายมขุมนรกที่เก้าถอนหายใจ
“ใช่สิ ตัดสินอย่างยุติธรรมไม่ใช่แนวทางของมือสังหารเราอยู่แล้ว”
พญายมขุมนรกที่เก้ายืนบนกำแพงเมือง พูดด้วยรอยยิ้ม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเลือกรอเจ้าที่นี่”
หลิ่วสืออีขมวดคิ้ว
“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าหลิ่วสืออีไม่ใช่แค่อัจฉริยะ แต่ยังเป็นอัจฉริยะที่หยิ่งทะนงที่สุด”
น้ำเสียงพญายมขุมนรกที่เก้าเฉยชาขึ้น “เจ้าเอาข้าเป็นหินลับกระบี่ ใช้ข้ารวบรัดวิชากระบี่ ข้าเห็นว่า…หากครั้งนี้เจ้าออกด่านบำเพ็ญ สิ่งแรกที่ต้องทำคือฆ่าข้า ข้าลองลอบสังหารเจ้ามาสี่ครั้ง ไม่สำเร็จเลย” บุรุษบนกำแพงเมืองพูดอย่างเย็นชา “ข้าจะไม่ลองครั้งที่ห้าแล้ว…ข้าจะรอเจ้าที่เมืองรากษส หากเจ้าหาข้าไม่เจอ ข้าก็จะปล่อยข่าวให้เจ้ามาหาข้า”
ทั้งเมืองโบราณเริ่มสั่นสะเทือนเบาๆ
หลิ่วสืออีเกิดลางสังหรณ์ขึ้นอย่างหนึ่ง
เขาเงยหน้าขึ้น ฝนตกจากฟ้าเหมือนจะพากันหยุดนิ่ง หยดน้ำฝนเรียวยาว บางส่วนจะตกบนกำแพงเมือง ต้นไม้และหลุม แต่ตอนนี้หยุดนิ่งพริบตาเดียว
แค่พริบตาเดียว
มี ‘บางสิ่ง’ พุ่งออกมาจากในเมืองโบราณ
เหมือนสันหลังมังกรขึ้นลงยาวเหยียด
ตึกๆๆ
พญายมขุมนรกที่เก้าหัวเราะเสียงดัง
เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง ชุดคลุมสีดำกลายเป็นเถ้าธุลี เขาออกแรงกำมือ ฝ่ามือเกิดประกายสายฟ้าขึ้น
เมืองโบราณข้างหลังส่งเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
กลองอสนีบาตรลอยขึ้นมา
ไม่ใช่แค่ใบเดียว ไม่ใช่สี่ใบ
แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อยใบ
กลองอสนีบาตพวกนี้พุ่งเข้ามาแต่ไกล เลือนรางเหมือนเงามายาบนฟ้าไกล กำลังไล่บางอย่างมา
ประตูเมืองโบราณเก่าแก่สองบานพลันถูกปราณกระบี่กับทรายสีดำพุ่งชนกระเด็นออกไป
หลิ่วสืออีหรี่ตาลง เขากำปราณนิรันดร์ สิ่งที่พุ่งเข้ามากลับไม่ใช่สายฟ้าอ่อนแอจากกลองอสนีบาต
หัวเมืองโบราณรากษสมีไอดำหลั่งไหลออกมา เหมือนกับพายุมังกรดำหมุนม้วน ในนั้นยังหุ้มปราณกระบี่หนาแน่นไว้
เป็นไอชั่วร้ายของผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ หุ้มปราณกระบี่ขมุกขมัว
ปราณกระบี่นั้นยิ่งใหญ่มากจริงๆ พญายมขุมนรกที่เก้ายังควบคุมไม่ได้ ได้แต่ใช้ไอชั่วร้ายที่กระจายในเมืองรากษสห่อหุ้ม เขาหาที่ซ่อนตัวมาทั่ว มีเพียงเมืองโบราณแห่งนี้ มาครั้งแรกก็พบกับร่องรอยหลังยอดผู้บำเพ็ญสองคนสู้กัน เมืองโบราณนี้ปิดตาย ปราณกระบี่กับไอชั่วร้ายจึงไม่หายไป
ใช้กลองอสนีบาตขับเคลื่อนไอชั่วร้าย
ใช้ไอชั่วร้ายหุ้มปราณกระบี่
บนฟ้าเมืองรากษส พญายมขุมนรกที่เก้าตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธและอัดอั้น ดังสนั่นกลางสายฟ้า
“หลิ่วสืออี จงตายเสีย!”
……………………………