เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 243 เซียวจิ่ว (2)
ตอนที่ 243 เซียวจิ่ว (2)
แสงเย็นเยียบนั้นที่ลอยอยู่บนบ่าหลิ่วสืออีไม่ได้แทงเข้าไปในเลือดเนื้อ
กระทั่ง ไม่มีดอกไม้เลือดกระจายออกมา
ไม่มีแม้แต่คลื่นลมใดๆ
พายุหมุนสีดำห่อหุ้มพญายมขุมนรกที่เก้าและหลิ่วสืออี
กระจายออกไปเงียบๆ
กลางฝุ่นธุลี
พญายมขุมนรกที่เก้าขมวดคิ้ว เขามองกระบี่สั้นนั้นที่พุ่งออกจากแขนเสื้อตน กระบี่สั้นทำจากเหล็กกล้าอาบด้วยยาพิษ…ตอนนี้เกิดเสียงดัง ‘กึก’
เขามองข้ามบ่าของหลิ่วสืออีไป
ปราณนิรันดร์วาดเป็นเส้นโค้ง
ปราณนิรันดร์นั้นถูกตนกระแทกออก หลุดออกจากมือหลิ่วสืออีไปปักบนพื้น
เช่นนั้น หลิ่วสืออีใช้อะไรปัดป้องกระบี่นี้ของตน
เขาก้มหน้าลงมองหน้ากระบี่สั้น รอยร้าวเพิ่มขึ้นทีละนิด ใบหญ้าเรียวยาวใบหนึ่งทะลวงเหล็กกล้า โผล่ปลายออกมาส่วนหนึ่ง
“หญ้าน้ำค้าง”
หลิ่วสืออีมองใบหน้าพญายมขุมนรกที่เก้า เขาเห็นความรู้สึกมากมายในแววตาอีกฝ่าย พวกนี้ไม่ใช่จะเสแสร้งออกมาได้ นั่นคือความฉงน ความไม่เข้าใจ ความสงสัยและความตกใจ
“หญ้าน้ำค้างรึ”
พญายมขุมนรกที่เก้าพูดพึมพำ
“ไม่ใช่น้ำค้างธรรมดา แต่เอามาจากจวนคนนั้น นับว่าเป็นกระบี่ และไม่ใช่กระบี่” หลิ่วสืออีมองพญายมขุมนรกที่เก้าพลางเอ่ยนิ่งๆ “ข้าปิดด่านบำเพ็ญที่นั่นสามวัน ข้าได้เห็นอะไรหลายอย่าง…เปลวเพลิงของมังกรจู๋หลง ความคมที่ตัดทุกอย่างขาด กระบี่บินหลายพันเล่ม และยังมีหญ้าน้ำค้างพลิ้วไหวต้นหนึ่ง”
“ปิดด่านบำเพ็ญ…มังกรจู๋หลง กระบี่บิน หญ้าน้ำค้าง เจ้ากำลังพูดอะไร” พญายมขุมนรกที่เก้าเอ่ยเสียงแหบนิดๆ เขามองหลิ่วสืออีเหมือนกำลังมองคนสองโลก
“ขอบเขตพลัง ปรากฏการณ์ การบำเพ็ญ ตบะ” หลิ่วสืออีเอียงศีรษะมองพญายมขุมนรกที่เก้า มองใบหน้าคนผ่านทางที่คุ้นตาแต่ก็นึกไม่ออกนี้ ก่อนถามคำถามที่ตนสงสัย “ข้าเคยเจอเจ้ามาก่อนหรือไม่”
พญายมขุมนรกที่เก้าพลันรู้สึกปวดตรงระหว่างคิ้ว
เขายื่นมือมาข้างหนึ่งคลำระหว่างคิ้วตนเอง แต่ไม่เจออะไร
ทว่าความเจ็บปวดนั้นกลับลุกลามไปเรื่อยๆ
แปดทิศสี่ด้าน ปราณกระบี่รวดเร็วและดุดันกดดันให้เขาต้องมองเจ้าของปราณกระบี่
หลิ่วสืออีคลึงระหว่างคิ้วพลางพูดขึ้น “เคยเจอเจ้าที่แม่น้ำหลีเหอหรือไม่”
พญายมขุมนรกที่เก้าจ้องหลิ่วสืออี เขามีสีหน้าแปลกไปนิดๆ
พญายมขุมนรกที่เก้าเอ่ยเสียงแหบ “เจ้านึกออกรึ”
หลิ่วสืออีจ้องใบหน้าขนมเปี๊ยะนั้นหลายลมหายใจ ก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ ปากพูดงึมงำ “ข้านึกออกแล้ว…ตั้งแต่ลงจากเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ มาถึงแม่น้ำหลีเหอ มาถึงแดนกลาง จนก่อนหุบเขานิรันดร์…”
พญายมขุมนรกที่เก้ายิ้มลำพองใจ
ความเจ็บปวดนั้นพลันกำเริบขึ้นมา เขายื่นมือมาข้างหนึ่งคลำระหว่างคิ้วตัวเองอีกครั้ง ครั้งนี้กลับเป็นสีแดงติดมาทั้งฝ่ามือ
สายตาเขาพร่ามัวทันควัน คุมตัวเองไม่ได้ เดินซวนเซไปข้างหลังสองก้าว
กลองอสนีบาตพุ่งเข้ามากองกันข้างหลังเขาเหมือนเก้าอี้ ให้เขาไม่ล้มลงอย่างน่าอนาถนัก
พญายมขุมนรกที่เก้ามองสีแดงในมือ เขายังไม่ทันรู้เลยว่าบางสิ่งในมือคืออะไร ความร้อนตรงระหว่างคิ้วก็รุนแรงขึ้น ยิ่งลูบยิ่งเยอะขึ้น
เสียงหลิ่วสืออีดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าคือ…คนพายเรือข้ามแม่น้ำหลีเหอรึ คือคนเข็นรถขายซาลาเปารึ คือลูกหาบแบกของในดินแดนกลางรึ” เด็กหนุ่มชุดขาวมองพญายมขุมนรกที่เก้า ตอนนี้เขาแปลกใจนิดๆ “วิชาปลอมตัวของเจ้าดีมากจริงๆ ข้ามองไม่ออกเลย”
พญายมขุมนรกที่เก้าเงยหน้าด้วยความเจ็บปวด สายตาพร่าเลือน เพราะปฏิกิริยาก่อนตายทำให้ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
กลางฝนตกหนัก หลิ่วสืออีเล่นหญ้าน้ำค้างนั้น ตอนที่พูดคำพูดพวกนี้ก็ยังอยู่ในท่าทางสบายใจ เหมือนว่าในหญ้าน้ำค้างนั้นซ่อนวิถีกระบี่ที่สุดยอดไว้ เสียงเขาเบาลงทีละนิด กระทั่งถูกเสียงฟ้าร้องกลบ เสียงชมเชยดังขึ้นข้างหูพญายมขุมนรกที่เก้า แต่กลับเหมือนฟ้าผ่าลงกลางแจ้ง
“คนพายเรือ พ่อค้า ลูกหาบหรือ ไม่…” บุรุษที่นั่งบนกลองอสนีบาตรวมกำลังพูดขึ้นด้วยความเจ็บปวด “ข้าไม่ใช่…”
หลิ่วสืออีเงยหน้าขึ้น
พญายมขุมนรกที่เก้าพูดเสียงแหบ “ข้าเคยบอกนามของข้ากับเจ้า เซียวจิ่ว”
เซียวจิ่ว
พอได้ยินนามนี้ หลิ่วสืออีมีใบหน้าเฉยเมย
สำหรับหลิ่วสืออี นี่เป็นเพียงสองคำ บางทีอาจเป็นคำที่เอามาประกบกัน ไม่มีความหมายอะไร และไม่มีอะไรที่สอดคล้องกัน
“ข้าชื่อเซียวจิ่ว ตั้งแต่เจ้าลงจากตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็ไปขอคำชี้แนะวิชากระบี่กับเจ้า สู้กับเจ้า ข้ามแม่น้ำหลีเหอด้วยกัน มาแดนกลาง ข้าวที่เจ้ากิน โรงเตี๊ยมที่เจ้าพัก อาภรณ์ที่ซื้อ สุราที่ดื่ม ข้าจ่ายให้เจ้าทั้งหมด” เสียงเซียวจิ่วมีความโกรธอยู่ข้างใน แก้มเขามีแต่เลือด เขาตะโกนออกมาทีละคำ แต่กลับอ่อนแรงยิ่ง “ข้าชื่อเซียวจิ่ว! เซียวจิ่ว!”
หลังเอ่ยคำพูดนี้ เขาก็รอหลิ่วสืออีทำหน้าอึ้งงัน
เจ้าเข้าใจแล้วสิ
ที่ข้าพญายมขุมนรกที่เก้าปรากฏมาตอนที่เจ้าอ่อนแรงที่สุดและลอบสังหารเจ้าได้ทุกครั้ง
ที่ข้าเข้าใจทุกกระบวนท่าของเจ้า
ที่ข้าเข้าใจเจ้าหลิ่วสืออี รู้ว่าเจ้าไม่มีสหายแน่นอน
ก็เพราะ…
“เซียวจิ่ว” หลิ่วสืออีมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย เกิดความอึ้งขึ้นมาจริงๆ แต่กลับทำให้พญายมขุมนรกที่เก้าเงียบ
หลิ่วสืออีพูด “เซียวจิ่ว เป็นชื่อที่ไม่เลวเลย”
เส้นเลือดเขียวตรงสองมือพญายมขุมนรกที่เก้าหายไปทีละนิด
เขาเหม่อมองหลิ่วสืออี ไม่กล้าเชื่อการโต้ตอบของอีกฝ่าย
บุรุษที่นั่งบนบัลลังก์เลือดอาบหน้า กัดฟัน หายใจอย่างยากลำบาก แต่แรงกัดฟันไม่มากอีก เหมือนได้ระบายอารมณ์แล้ว
พญายมขุมนรกที่เก้าพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “เจ้าไม่รู้จักข้ารึ”
หลิ่วสืออีมีร่างเงาเช่นนี้อยู่ในความคิดจริงๆ
ตั้งแต่ลงเขาจนฝึกกระบี่ จนกินดื่มพักผ่อนและเดินทาง
คนนั้นเหมือนกับเงา เคยถามตน เคยพูด พวกนี้อยู่ในการฝึกกระบี่อันยาวนาน กลายเป็นเงาและความว่างเปล่า ในใจเขามีเพียงกระบี่ อย่างน้อยตอนนั้นก็เป็นเช่นนี้ เขาเห็นแม่น้ำหลีเหอ เห็นเทือกเขาลำธาร เห็นขุมอำนาจในโลก เห็นโลกข้างนอก แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจมีเพียงกระบี่ของตน
ทำอย่างไรถึงเร็วได้กว่านี้
คนนั้นเคยบอกนามของตัวเอง แต่ไม่สำคัญ
สิ่งที่คนนั้นทำก็ไม่สำคัญ
ในเมื่อไม่สำคัญ ไฉนต้องจำไว้
หลิ่วสืออีตอบ “ตอนนี้รู้จักแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวไม่ถือหญ้าน้ำค้างนั้นอีก ปลายนิ้วจิกลงเล็กน้อย หญ้าน้ำค้างถูกจิกขาดและลอยไปเช่นนี้ เขาแบมือออกก่อนพูดอย่างจริงจัง “ข้าน่าจะติดค้างตำลึงเงินเจ้าไม่น้อย…แต่เจ้าจะตายแล้ว ชาติหน้าก็มาทวงหนี้กับข้าแล้วกัน”
พญายมขุมนรกที่เก้าเหม่อมองหลิ่วสืออี
ความคิดเขาปั่นป่วนนิดๆ
ไหล่ซ้ายเกิดเสียงดังฉึก ชุดคลุมขาดเป็นรอย เลือดสีแดงพุ่งออกมาจากบาดแผลยาวนั้นราวกับน้ำตก
ไหล่ขวา ต้นแขน ปลายแขน หน้าอก
เขาเหมือนลูกกลมอากาศที่ถูกเจาะรูนับไม่ถ้วน
เซียวจิ่วพลันหน้าซีดขาวถึงที่สุด
เขานั่งบนบัลลังก์ กลองอสนีบาตข้างล่างเกิดเค้าลางจะสลายเป็นสายลม อาวุธประจำตัวเชื่อมกับเจ้าของ แสงดาราในกายเขาไหลไปพร้อมกับพลังเลือดลม กลายเป็นแสงสว่างสีแดงลอยขึ้น ก่อนจะถูกสายฝนชะล้างลอยหายไป
นัยน์ตาเขาทอประกายสับสน มองหลิ่วสืออีพลางพูดพึมพำ “นี่…นี่มันอะไร”
ข้างหลังหลิ่วสืออีเป็นปราณนิรันดร์นั้น
หลิ่วสืออีไม่ได้ใช้ปราณนิรันดร์นั้น
เช่นนั้นบาดแผลพวกนี้มาจากไหน
หลิ่วสืออีพูดเสียงเบา “เป็นกระบี่ กระบี่ที่ง่ายมาก แต่ก็ไม่ใช่แค่กระบี่”
เขาชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากข้ารู้ว่าข้าติดเงินเจ้า ข้าน่าจะแทงให้น้อยกว่านี้หน่อย แค่ออกกระบี่ตรงหว่างคิ้วเจ้าแค่นั้น”
กลองอสนีบาตที่อยู่ล่างสุดใต้พญายมขุมนรกที่เก้ากลายเป็นเถ้าถ่าน หน้ากลองเหมือนทรายขาว ไม่รวมขึ้นอีก ตัวเขาพลันเตี้ยลง ถูกกระแทกล้มไปข้างหลัง
“มิน่าเจ้าถึงแทงไหล่ข้าสองกระบี่…ข้าจะต้องติดเงินเจ้าเยอะมากแน่ๆ”
เสียงหลิ่วสืออีลอยล่องอยู่ข้างหูเขาก่อนจะกลายเป็นหนักขึ้น
เซียวจิ่วล้มลงกับพื้นดัง ‘ปึก’
เสียงจากนี้ก็ไหลเข้าไปในหูตามน้ำฝน อู้อี้ได้ยินไม่ชัด
ตัวเขาล้มหงายไปข้างหลัง แต่กลับเหมือนตกหุบเหวลึก ยังคงตกไปเรื่อยๆ จนน้ำเลือดร้อนไหลไปเต็มหลุม
พญายมขุมนรกที่เก้าสติพร่าเลือนทีละนิด
น้ำฝนกัดเซาะสติที่เหลืออยู่ของเขา
หลิ่วสืออีมาอยู่ข้างกายเขา
เขาถาม “แค่หญ้าน้ำค้างต้นเดียวรึ”
หลิ่วสืออีพลันรู้สึกคุ้นหูกับคำนี้
เขาพยักหน้า “แค่หญ้าน้ำค้างต้นเดียว”
พญายมขุมนรกที่เก้ากลายเป็นมนุษย์เลือดแล้ว
เขาได้ยินไม่ชัด
ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างยากลำบาก “ฆ่าคนได้รึ”
หลิ่วสืออีเงียบ
เขามองใบหน้าคุ้นตาของเซียวจิ่ว ภาพในความคิดย้อนกลับไปตอนเจอกันครั้งแรกใต้ตำหนักทะเลสาบกระบี่
เขากำเศษหญ้ามาเจอคนหนึ่ง
คนนั้นถามเขาว่านี่อะไร
หลิ่วสืออีบอกว่านี่คือหญ้า และก็เป็นกระบี่
คนนั้นจะประลองวิชากระบี่กับเขา เขาจึงออกกระบี่ด้วยหญ้าน้ำค้างนี้
กระบี่นั้นไม่ได้พุ่งไปทางคนนั้น แต่หลิ่วสืออีฟันต้นไม้ต้นหนึ่ง
ต้นไม้ไม่ล้ม
คนนั้นมองต้นไม้พลางพูดด้วยรอยยิ้ม ‘ก็แค่หญ้าน้ำค้าง…’
ดังนั้นถึงมีคำพูดนั้น
‘จะฆ่าคนได้รึ’
ฝนโหมกระหน่ำลงมา
หลิ่วสืออีนั่งยองบนพื้น ไม่ได้ลุกขึ้น
เขาพูดนิ่งๆ “ฆ่าคนได้”
ราศีในดวงตาเซียวจิ่วหายไปช้าๆ
หลิ่วสืออีพูดช้าๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ข้าจำเจ้าได้ วิชากระบี่เจ้าใช้ได้ ตัวเจ้าเองก็ใช้ได้”
เซียวจิ่วเหมือนหอบหายใจ เหมือนยิ้มพึงพอใจ
ฝนตกหนักลงมาจากกลางฟ้า
เมืองรากษสถล่มลง
มนุษย์เลือดที่นอนบนพื้นสิ้นลมหายใจ
……………………….