เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 244 สุดทางรากษส
ตอนที่ 244 สุดทางรากษส
พญายมขุมนรกที่เก้าตายแล้ว
เมืองโบราณรากษสถูกสูบแก่นสำคัญนั้นที่ค้ำยันรากฐานไว้จนหมด กำแพงเมืองโคลงเคลง หลังผ่านฝนตกหนัก หินใหญ่พลันถล่มลงมา ทั้งเมืองในช่วงหลายลมหายใจ ฝุ่นยังไม่ทันกระจายก็ถูกน้ำฝนตกใส่ การมองเห็นพร่ามัว
ถล่มลงเป็นพื้นราบ
หลิ่วสืออีนั่งยองบนพื้น ยันต์กันน้ำนั้นที่เขาบีบในแขนเสื้อเปล่งแสงสว่างแน่นอน ดีดฝนตกหนักออก ละอองน้ำอบอวลรอบตัวเด็กหนุ่มชุดขาว ปราณนิรันดร์ที่ปักบนพื้นส่งเสียงดังวิ้งๆ
“กระบี่เมื่อครู่ยอดเยี่ยมมาก”
เสียงเบาดังขึ้นข้างหลังหลิ่วสืออี
หลิ่วสืออีนั่งยองอยู่หน้าเซียวจิ่ว เขายื่นมือมาข้างหนึ่งช้าๆ ลูบใบหน้าพญายมขุมนรกที่เก้า มนุษย์เลือดที่ตายตาไม่หลับ ตอนนี้หลับตาลง สิ้นลมหายใจไปทั้งหมด เส้นเอ็นทั้งตัวถูกปราณกระบี่ตัดขาด เลือดยังคงไหลนองออกมาไม่หยุด
หลิ่วสืออีทำเสร็จก็เอียงศีรษะเล็กน้อย ปรายตามองไปข้างหลัง
กลางฝนตกหนัก เหมือนจะมีร่างเงาหนึ่งเดินมาช้าๆ
สายฟ้าในเงามืดฉีกม่านฟ้ายามราตรี ร่างเงานั้นบิดรูปเหมือนน้ำหมึก
ผู้มาสวมชุดกันฝนหญ้าตัวโคล่งและหนัก ภายใต้น้ำฝนกระเซ็นยังออกมาเป็นแสงสีเงิน เขาเดินช้ามาก หนึ่งก้าวหนึ่งหลุมแอ่งน้ำ
ยกเท้าวางลง
จากนั้นหยุด
“หากเจตจำนงกระบี่คมมากพอ ก็จะตัดทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ แต่ให้ในมือไม่มีกระบี่ มีเพียงหญ้าน้ำค้าง ก็ฟันทุกอย่างได้เช่นกัน”
บุรุษสวมชุดกันฝนหนักเอ่ยขึ้นเนิบนาบ เสียงดังก้องบนฟ้าหน้าเมืองรากษส ทั้งฟ้าดิน แม้แต่เสียงฝนยังกลายเป็นลอยล่อง
“กระบี่นี้สุดยอดมาก สมกับเป็นหลิ่วสืออี”
เขายืนห่างจากหลิ่วสืออีไม่ไกล ระยะนี้มีความหมายมาก
สามฉื่อ
มากกว่านี้อีกนิด
ตรงหน้าเขาก็เป็นปราณนิรันดร์ที่ปักบนพื้นนั้น ตัวกระบี่ยังคงโยกไปมา สะท้อนพายุสายฟ้าและเมืองรากษส
เขาไม่ได้ยื่นมือไปดึงหนึ่งในสี่กระบี่เลื่องชื่อที่หมายถึงความถูกต้องชอบธรรมหลายพันปีของเขาเชียงนั้น และไม่ได้เดินหน้าไป แค่ยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจอกันครั้งก่อน ข้าลงมือหนักไป เกือบจะฆ่าเจ้าแล้ว…ร่างนี้ของเจ้าอ่อนแอกว่าที่ข้าคิดไว้มาก แต่เจ้าอย่ากังวลไป ครั้งนี้ข้าจะเบามือหน่อย”
หลิ่วสืออียังคงหันหลังให้บุรุษชุดกันฝน เขาหยัดกายขึ้นช้าๆ ปล่อยยันต์กันน้ำ น้ำฝนที่ตกลงบนบ่าไหลลงมาตามชุดขาว
ในจวนปฐพี มือสังหารสิบวิหารที่ปรากฏตัวมา ข้อมูลจริงรวมถึงการเคลื่อนไหวล้วนไม่อาจรู้ได้
แต่รูปแบบการปฏิบัติการและนิสัยของพญายมจวนปฐพีทุกคนกลับถูกวิเคราะห์จนรู้กันหมดแล้ว
“วิหารที่เจ็ดแห่งจวนปฐพี พญายมขุมนรกที่เจ็ด”
หลิ่วสืออีพ่นลมหายใจ ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าไม่ชอบฆ่าเหยื่อทันที แต่ชอบค่อยๆ ไล่จับ เหยียบย่ำ เล่นจนตาย”
บุรุษสวมชุดกันฝนยักไหล่ เขามองศพนั้นบนพื้น น้ำเสียงยังเสียดายนิดๆ “เดิมทีข้าว่าจะกุมพวกเจ้าสองคนไว้ในมือ เล่นไปอีกสักหน่อย…พญายมขุมนรกที่เก้าอ่อนแอกว่าที่ข้าคิดไว้ ส่วนเจ้า หลิ่วสืออี เจ้าสุดยอดมาก”
พญายมขุมนรกที่เจ็ดไม่ปิดความดีใจในแววตาตนเอง ตัวอยู่กลางฝนตกหนัก ริมฝีปากเขายังคงแห้งกร้าน ลิ้นสีแดงเลียมุมปากช้าๆ เลียรอยแตกแห้งนั้น
เขายืนอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกกดดันกับหลิ่วสืออีอย่างยิ่ง
เหมือนภูเขาเล็ก แต่ก็ต่างออกไป หากบอกว่าก่อนที่พญายมขุมนรกที่เก้าจะเผยตัวตน เหมือนเงาในหมอกที่จะลอยหายไปได้ตลอดเวลาแล้ว เช่นนั้นพญายมขุมนรกที่เจ็ด…ก็เหมือนปีศาจที่แผ่ความชั่วร้ายมาทั้งตัว
เหมือนกับงูเหลือม
“มีเรื่องหนึ่ง ข้าว่าน่าสนใจมาก ก่อนลงมือ ข้าไม่ถือสาจะใช้เวลาอันมีค่าถามเจ้าหน่อย” พญายมขุมนรกที่เจ็ดหัวเราะเหอะๆๆ ในลำคอมีบางสิ่งแหลมคมกลิ้งไปมา เขาพูดเสียงเบา “เจ้าสังหารเซียวจิ่วได้ด้วยกระบี่เดียวแท้ๆ เหตุใดต้องใช้กระบี่มากขนาดนั้นล่ะ”
ชุดกันฝนเหมือนพู่ระย้า บุรุษชี้นิ้วไปที่พญายมขุมนรกที่เก้าที่นอนกลางบ่อเลือดอย่างไม่คิดอะไร
หลิ่วสืออีตอบสองคำ
“รวบรัด”
พญายมขุมนรกที่เจ็ดหรี่ตาลง เข้าสู่ห้วงความคิดช่วงสั้นๆ ก่อนทำเสียงจิ๊ๆ “รวบรัด…รวบรัดหรือ ในหญ้าน้ำค้างนั่นซ่อนเจตจำนงกระบี่หลายอย่าง…ดูเหมือนเป็นกระบี่เดียว แต่ความจริงไม่ใช่ มีลม มีไฟ มีสายฟ้า มีกฎเกณฑ์ เจ้าคิดจะรวบรัดพวกมันเป็นกระบี่เดียวรึ”
บุรุษชุดกันฝนพูดถึงตรงนี้ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ก่อนพูดงึมงำ “มีทั้งหมดสามร้อยยี่สิบกระบี่ เจ้าจะให้พวกมันรวมเป็นกระบี่เดียว”
เขามองศพของพญายมขุมนรกที่เก้าบนพื้น หากมีคนนับดูดีๆ ถอดชุดของศพนั้นออก จะพบว่าเขาถูกหญ้าน้ำค้างนั่นของหลิ่วสืออีฟันเป็นแผลสามร้อยยี่สิบแผล
สามร้อยยี่สิบแผล ไม่เกินและไม่ขาด
ทุกรอยล้วนเป็นเจตจำนงกระบี่เรียวยาว ดังนั้นจึงมีเจตจำนงกระบี่ทั้งหมดสามร้อยยี่สิบสาย
เช่นนั้นพญายมขุมนรกที่เจ็ดก็พูดไว้ไม่ผิด
หลิ่วสืออีกำลังเก็บเกี่ยวเจตจำนงกระบี่
หลิ่วสืออีไม่มีท่าทีตอบโต้กับคำพูดของพญายมขุมนรกที่เจ็ด เขาเพียงแค่มองบุรุษชุดกันฝนอย่างเฉยชา รออีกฝ่ายเดินก้าวนั้นเข้ามาในระยะสามฉื่อของตน
ราวสามสี่ลมหายใจต่อมา
พญายมขุมนรกที่เจ็ดพูดด้วยความสงสัย “แต่เจ้าจะมีเจตจำนงกระบี่สามร้อยยี่สิบสายได้อย่างไร”
หลิ่วสืออีพูดเสียงเบา “เจ้าจะลองดูเองก็ได้ คำถามทุกอย่างจะได้คำตอบ”
บุรุษชุดกันฝนยิ้ม ก่อนเอ่ยอย่างนุ่มนวล “น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีแรงจะแทงกระบี่แบบนั้นได้อีก ไม่อย่างนั้นข้าก็อยากลองดูจริงๆ”
หลิ่วสืออีม่านตาแคบลงเล็กน้อย
เด็กหนุ่มชุดขาวยังคงหายใจปกติ เขายืนอยู่ที่เดิม กระบี่นั้นเพียงหนึ่งเดียวปักดินในระยะสามฉื่อซ้ายและขวา หากเขามีวิชาคุมกระบี่ แค่พริบตาเดียวก็ดึงปราณนิรันดร์ขึ้นมาได้
แต่พญายมขุมนรกที่เจ็ดยืนอยู่หน้าปราณนิรันดร์
สายฝนไหลลงมาตามชุดกันฝน เป็นจังหวะเหมือนน้ำตก พญายมขุมนรกที่เจ็ดพูดช้าๆ “บาดแผลเจ้ายังไม่หายดี นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ…เห็นๆ อยู่ว่าประหยัดแรงสังหารพญายมขุมนรกที่เก้าไปได้มาก แต่เจ้ากลับใช้กำลังทั้งหมด แล้วตอนนี้ข้ามา เจ้าจะทำอย่างไร”
บุรุษชุดกันฝนพลันยิ้ม “เหยื่อที่ดิ้นรนไม่ได้ก็ไม่ใช่เหยื่อดีแล้ว…ข้าให้โอกาสเจ้าหนีสิบลมหายใจ หรือจะหยิบกระบี่นี่มาแทงข้าก็ได้”
เขาไม่ได้นับเลขเลย
เห็นหลิ่วสืออีที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ยังคงมองตนด้วยแววตาเฉยเมยแล้ว นัยน์ตาพญายมขุมนรกที่เจ็ดทอประกายเบื่อหน่ายเสี้ยวหนึ่ง เขาเอามือข้างหนึ่งกดงอบชุดกันฝนหญ้าของตนไว้ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”
ร่างเขาหายไปทันควัน
ครู่ต่อมา พญายมขุมนรกที่เจ็ดก้าวเข้ามาในระยะสามฉื่อรอบตัวหลิ่วสืออี
ร่างเงาสูงใหญ่ดุจภูเขานี้สร้างแรงกดดันกับหลิ่วสืออีอย่างยิ่ง ยังไม่ทันถอยไปข้างหลัง ก็มีเงาดำกดลงมาเหนือศีรษะแล้ว!
พญายมขุมนรกที่เจ็ดชกหมัดเข้ามา
ตึง!
เกิดเสียงระเบิดในพื้นที่แคบยิ่ง ระเบิดออกตรงหน้าหลิ่วสืออี
ปราการปราณกระบี่ส่งเสียงดังวิ้งก่อนจะเกิดรอยแตกทันทีทันใด
หลิ่วสืออีหลบไม่ทัน
เขาเองก็ไม่คิดจะหลบอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มชุดขาวมีใบหน้าไร้ความรู้สึก เขากำยันต์กันน้ำนั้นไว้แน่น เส้นสายปราณกระบี่ถูกเขาควบคุม ยันต์นี้รับคลื่นจากแรงมหาศาลของหมัดพญายมขุมนรกที่เจ็ด พลันถูกกระแทกเกิดเป็นรอยยับนับไม่ถ้วน แทบจะปริแตก ตอนนี้เขาบีบไว้ในมือ แทบจะบีบขาดแล้ว
หลิ่วสืออียกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ปราณนิรันดร์ที่ปักพื้นพลันพุ่งเข้ามา
ปราณนิรันดร์พุ่งผ่านพายุสายฟ้า ฟันฝนตกหนัก สายฝนกลางฟ้าดินถูกตัดแล้วก็ต่อกันใหม่
ปราณกระบี่นั้นวาดเป็นเส้นแนวนอน ฟันกึ่งกลางเอว
หยดน้ำกระจายออกตรงเอวพญายมขุมนรกที่เจ็ด ชุดกันฝนเขาถูกฟันขาด เผยตรงเอวที่สว่างไสวดุจเหล็กและทองคำ เกิดเสียงปะทะดังกึกก้อง ตอนนี้ เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นใช้สองมือกดปราการปราณกระบี่ของหลิ่วสืออี งอบกระเทือนจนขนนกแตกไปหลายเส้น ก่อนสองคนจะพุ่งชนกันเข้าไปกลางเมืองโบราณรากษสที่ถล่มลง
ปราณนิรันดร์ไม่มีที่ให้ใช้เลย
หลิ่วสืออีเพียงแค่ใช้เจตจำนงกระบี่สายหนึ่งควบคุมกระบี่มีชื่อเขาเชียงเล่มนี้ ออกกระบี่นั้นในตอนแรกสุดตรงหัวเมืองรากษสเท่านั้น ตอนนั้นสายฟ้าแลบ กระบี่โบราณที่ปาออกไปลากผ่านอากาศเป็นเส้นโค้งช้าๆ แต่กลับสว่างไสว
เวลาช้าลง
แผ่นหลังหลิ่วสืออีชนกับเสาหินมหึมาต้นหนึ่ง เสาหินถล่มลงทันควัน ใบหน้าเขาแดงขึ้นมา พญายมขุมนรกที่เจ็ดใช้มือทำลายปราการปราณกระบี่ของตนแล้ว ห้านิ้วมือบีบคอตน ตรงกลางห่างกันเพียงปราณกระบี่หนาเท่านิ้วมือ เกิดเสียงโลหะกระทบดังไม่หยุด
เขาเสียอำนาจการตัดสินใจทุกอย่างแล้ว
เสาหินต้นที่สองต้นที่สามและต้นที่สี่ถูกชนแตก ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นมาที่แผ่นหลังหลิ่วสืออี ภายใต้การเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง สิ่งที่ตามพญายมขุมนรกที่เจ็ดทัน นอกจากสติแล้วก็มีเพียงปราณกระบี่เบาบาง เขาไม่มีปราณกระบี่ใช้คุ้มกันมากกว่านี้แล้ว
เขามองเห็นไม่ชัดว่าใบหน้าใต้งอบนั้นมีสีหน้าแบบใด
แต่เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าพญายมขุมนรกที่เจ็ดเกิดจิตสังหารแล้ว
พญายมขุมนรกที่เจ็ดที่ใช้สองมือบีบคอหลิ่วสืออีหัวใจเต้นตึกตัก เขาพลันรู้สึกว่าตนตกอยู่ในอันตรายบางอย่าง การมาของอันตรายนี้แปลกประหลาด แต่กลับทำให้เขาสันหลังเย็นวาบ
หลิ่วสืออีไม่ได้ออกกระบี่ที่สอง
เช่นนั้นความรู้สึกอันตรายนี้มาจากที่ใด
พญายมขุมนรกที่เจ็ดไม่เข้าใจเลย
เขาไม่เคยสนใจเรื่องที่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
ดังนั้นเขาจึงจะสังหารหลิ่วสืออีทันที
ทันใดนั้นเองปราณกระบี่เบาบางแทงที่ข้างหลังเขา ปราณกระบี่นี้เหมือนกับเข็มเงินแหลมคม รู้สึกเจ็บเล็กๆ เท่านั้น
เขาจ้องหลิ่วสืออี ก็เห็นอีกฝ่ายมองตนจากข้างบนด้วยแววตาสงบนิ่งจนแทบจะเฉยชา แต่กลับมีการเย้าหยอกสามส่วน
ปราณกระบี่เบาบางที่สองพุ่งมาจากที่ลับ
บุรุษสวมงอบใช้สองมือยกหลิ่วสืออีขึ้น ใต้เท้าแตกเป็นเศษหินมากมาย ความเร็วพุ่งพรวดขึ้น เขาบิดปลายเท้าพลันเปลี่ยนทิศทาง ทว่าพริบตาต่อมา ปราณกระบี่เต็มฟ้าก็พุ่งเข้ามาจากความว่างเปล่าราวกับพายุห่าฝน
ชุดกันฝนคนหนึ่งกับชุดขาวพลันเพิ่มความเร็วขึ้น หมุนเปลี่ยนทิศทางไม่หยุด จนปราณกระบี่ของหลิ่วสืออีถูกพญายมขุมนรกที่เจ็ดทิ้งไว้ข้างหลัง
สองคนพุ่งชนเข้ามาส่วนลึกสุดของเมืองรากษส
เงียบสงัด
ปราณกระบี่ของหลิ่วสืออีแทบจะสลายไป ยื้อไว้ไม่ไหวแล้ว
เขากระแอมไอด้วยความเจ็บปวด
พญายมขุมนรกที่เจ็ดแห่งจวนปฐพีแค่นยิ้ม “นี่คือกลอุบายสุดท้ายของเจ้ารึ”
ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกขนลุกขึ้นมา
พญายมขุมนรกที่เจ็ดเงยหน้าขึ้น
ฝนหยุดตก แสงอ่อนสว่างขึ้นไปรอบๆ
ในเงามืดห่างไปไม่ไกล เหมือนจะมีสองร่างเงาเล็กใหญ่ยืนอยู่
เสียงจนปัญญาแต่ก็แปลกใจดังขึ้นเนิบนาบ
“ยัยหนู…นี่คือค่ายกลที่มีอานุภาพแข็งแกร่งมากๆ ที่เจ้าบอกรึ”
…………………………….
…………………………………….