เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 246 ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อย
ตอนที่ 246 ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อย
“เข้ามาสิ”
หนิงอี้ทำท่าทางแบบเดียวกับพญายมขุมนรกที่เจ็ด เพียงแค่ต่างไปเล็กน้อย…เขายื่นมือออกมาก่อน กำหมัด จากนั้นยกนิ้วกลางขึ้นมา
นี่เป็นการเหยียดหยามอย่างมาก
หนิงอี้ยิ้มแป้น ร่างเงาผอมแห้งตรงหน้าเขาพลันหายวับไป สองคนห่างเพียงจั้งกว่า ได้ยินเพียงเสียงแตกหักดังปังๆๆ
พญายมขุมนรกที่เจ็ดเข้ามาในระยะสามฉื่อรอบตัวหนิงอี้
ตรงหน้าหนิงอี้เป็นใบหน้ายิ้มขาวซีดไร้ความรู้สึกและไม่มีดวงตา ตรงกระบอกตาว่างเปล่า
น่าขนหัวลุก และยังรวดเร็วมาก
เขาก้มตัวลง งัดขึ้น
หมัดหนักชกตรงกลางฝ่ามือหนิงอี้ที่กดลงมาอย่างฉับพลัน กระแทกหนิงอี้ลอยไปข้างหลังเล็กน้อย
ทันทีที่สองขาลอยขึ้นจากพื้น
พญายมขุมนรกที่เจ็ดงอเข่าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จะพุ่งไปข้างหน้าไม่ยอมอ่อนข้อให้เลย
เพียงแค่หยุดชะงักชั่วครู่สั้นๆ ก็เกิดเสียงดังกังวานมาจากตรงแก้ม
นี่เป็นการตบหน้า
และยังเป็นฝ่ามือที่หนักและแรงยิ่งกว่า
เร็วจนเหมือนเงา ฟาดที่แก้มของบุรุษผอม
ไม่ทันตั้งตัวเลย พญายมขุมนรกที่เจ็ดที่เพิ่งชกหนิงอี้ลอยขึ้นและเตรียมจะพุ่งเข้าไป เกิดเป็นภาพน่าตลกกับฝ่ามือของหนิงอี้ เหมือนว่าเขาเอาแก้มตัวเองเข้าไปชนกับแรงตบรุนแรงนั่น
บุรุษดวงตาว่างเปล่ายังคงอยู่ในท่าจะพุ่งไปข้างหน้า แต่ศีรษะกลับถูกตบบิดไปข้างหลัง คอบิดเป็นขนมหมาฮวา
ความคิดเขาว่างเปล่า
มือนั่นมาจากที่ใดกัน
ท่ามกลางฟ้าดินมืดครึ้ม แก้มเขาถูกหมัดชก จมูกและปากยุบลงไป สายลมหมัดที่ทำให้คนหายใจติดขัดถาโถมเข้ามา จากนั้นเป็นหน้าอก ส่วนท้อง หัวไหล่ ต้นแขนรวมถึงปลายแขนที่ใช้ปัดป้อง
หนิงอี้ที่ถูกชกลอยอยู่กลางอากาศ ปล่อยมือนั้นที่ยังกดด้ามกระบี่พินิจเหมันต์
ไม่มีใครเห็นชัดว่าหนิงอี้เคลื่อนไหวอย่างไร
ฝุ่นควันกระจายกลางอากาศทีละกลุ่ม ยันต์ลอยผนึกสุดทางเมืองโบราณรากษส ทำให้ในระยะสิบจั้งรอบตัวสองคนเงียบสงัด สายฝนตกลงมาในพื้นที่ระหว่างหนิงอี้กับพญายมขุมนรกที่เจ็ดก็ถูกแสงสว่างลบหายไป
เสียงต่ำดังขึ้น
“พันกร!”
หนิงอี้ตะโกนก่อนจะใช้กำลังทั้งหมดสำแดงวิชาสังหารที่ฝึกกับศิษย์พี่หญิงบนเขาน้ำค้างเล็ก เวลานี้ ปางหมัดพุ่งออกไป กระแทกเป็นเสียงดังรุนแรง อัดใส่ร่างพญายมขุมนรกที่เจ็ดที่หลบไม่พ้น ร่างผอมที่พุ่งเข้ามาตลอดนั้น เดิมทีผ่านการชะล้างจากหลอดแก้วแดนบูรพาแล้ว รวมถึงมีวิชาลับจวนปฐพี จึงเป็นสมบัติชั้นดีดุจเหล็กและทองคำ แต่กลับถูกชกยุบลงไปหลายสิบรอย เลือดเนื้อแตกกระจาย
เลือดเนื้อที่ถูกชกออกมาเหมือนใยหลิ่วลอยกลางสายลม ดูเหมือน ‘เชื่องช้า’ หลังออกจากร่างก็พุ่งไปราวกับลูกธนู ปักลงกลางซากกำแพงเมือง เจาะกำแพงอิฐหนาครึ่งจั้งเป็นรูพรุน เศษรอบๆ ตกลงพื้น เผาไหม้เป็นหมอกที่มีการกัดกร่อนรุนแรงยิ่ง
พวกนี้คือ ‘แก่นโลหิต’ ของร่างนี้ของพญายมขุมนรกที่เจ็ด ในผู้บำเพ็ญภูตผี มีหลายสำนักเป็นผู้บำเพ็ญโลหิต ผู้บำเพ็ญโลหิตฝึกฝนเลือดของตัวเอง แก่นโลหิตทุกหยดสำคัญมาก วิชาที่ฝึกฝนดั้งเดิมที่สุดคือใช้เลือดบ่มเพาะเลือด เห็นชื่อก็จะเข้าใจความหมาย สังหารสิ่งมีชีวิตชิงเลือด หล่อหลอมและกดให้เล็กลง สุดท้ายได้มาเป็นแก่นโลหิตประจำตัว เสริมความแกร่งให้ตัวเองทีละนิด
เลือดของพญายมขุมนรกที่เจ็ดแค่พุ่งออกมาส่วนเล็กก็ถล่มกำแพงเมืองได้ หากโดนตัวคน ผู้บำเพ็ญขอบเขตพลังเดียวกัน หากไม่ระวังก็อาจจะถูกแทงเป็นตะกร้าได้ ต่อให้เป็นสมบัติระดับสูงก็ยังถูกแก่นโลหิตของผู้บำเพ็ญโลหิตหยามเหยียดได้ หากอีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์วิถีมาร หรือยอดผู้บำเพ็ญภูตผีที่มีพลังบำเพ็ญสูงกว่าหลายขั้น แค่ความคิดเดียวก็ชิงสมบัติของเจ้าของมาใช้เองได้
ยังมีเหนือกว่านั้น ขอแค่ยังมีแก่นโลหิตเหลืออยู่หยดเดียวก็จะไม่ตายได้ หาร่างใหม่คืนชีพได้
เพียงแต่การจะฝึกไปถึงขั้นนั้นยากมากจริงๆ หลายปีมานี้แทบจะไม่มีใครทำได้ จักรพรรดิไท่จงกำราบผู้บำเพ็ญภูตผี หานเยวียก้าวออกมาจากแดนทักษิณได้เพราะโชคช่วยทั้งนั้น คุณชายน้ำค้างคนนี้ยอมคุกเข่าอยู่ใต้บัลลังก์ต้าสุยเพื่อแลกกับโอกาสการมีชีวิตรอดไปวันๆ ผ่านมานานก็ยังไม่กล้านิพพาน กลัวจะโดนทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็กลัวผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้วไม่รอดจากฎีกาของเมืองหลวงมากกว่า
การจะไปถึงขั้นที่แก่นโลหิตหยดเดียวก็คืนชีพใหม่ได้นั้น อย่างน้อยต้องเป็นยอดมารที่ล้างบางหลายเมืองและฆ่าล้างหลายหมื่นชีวิต แบกรับไอชั่วร้ายล้นฟ้า ต้องสังหารทุกคน
เลือดของพญายมขุมนรกที่เจ็ดมาถึงขั้น ‘หยดเลือดกร่อนหิน’ ในตอนนี้ได้ จะต้องเสียพลังเลือดลมไปมหาศาล ไม่รู้ว่าต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเท่าไร
หนิงอี้แค่นยิ้ม เขามองร่างนั้นที่ถูกวิชาลับพันกรของตนทุบตีแตกกระจาย อัดร่างกระเด็นไปหลายสิบจั้ง ล้มไปในร่างคนยักษ์สูงตระหง่านพวกนั้น
“คงฆ่าคนมาไม่น้อยเลยสิ”
‘พญายมขุมนรกที่เจ็ด’ ตอนนี้ไม่นับว่าเป็นพญายมขุมนรกที่เจ็ดแล้ว
ยอดฝีมือสำแดงวิชา พลาดนิดเดียวก็แพ้ได้
เขาเดินพลาดหนึ่งก้าว เกือบโดนหนิงอี้บิดหัว ร่างถูกชกเป็นรูหลายสิบรู พลังเลือดลมหายไปมากกว่าครึ่ง ตอนนี้โซเซลุกขึ้นอีกครั้ง เขาใช้สองมือบิดคอกลับมาที่เดิม รูบนตัวก็เปล่งแสงโลหิตสีแดง หยดเลือดที่ทะลวงอิฐไปไกล ตอนนี้ลอยล่องเหมือนหมอก ไหลมารวมกันกลางหมอกเป็นธารเล็กก่อนจะไหลกลับมาเติมเต็มบาดแผล แสงสว่างสีดำปกคลุมร่างกาย ดูชั่วร้ายแต่ก็สะอาดบริสุทธิ์
เพียงสามสี่ลมหายใจ เขาก็กลับมามีใบหน้าดังเดิม
พญายมขุมนรกที่เจ็ดหน้าซีดขาวขึ้นหลายส่วน หลังจากไม่ทันตั้งตัวโดนพันกรของหนิงอี้ ต่อให้เขามีวิชาลับเรียกแก่นโลหิตที่เสียไปส่วนหนึ่งกลับมาได้ แต่ความเสียหายแท้จริงหนักมาก แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญปกติคงถูกทุบตีเป็นเศษเนื้อไปนานแล้ว ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว
ร่างกายเขาเหมือนกับสมบัติจริงๆ เปล่งแสงอ่อนๆ ส่วนที่ยุบลงไปนูนขึ้นมาเอง กลับมาอยู่ในสภาพเดิม
พญายมขุมนรกที่เจ็ดดูผอมลงกว่าเดิม ครั้งนี้เขาไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ แต่จ้องหนิงอี้ พลังเลือดลมในกระบอกตาลุกแผดเผา เหมือนกับตะเกียงสีแดง
“เจ้าเป็นผู้ฝึกหลอมกายรึ”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นในเมืองโบราณรากษส
พญายมขุมนรกที่เจ็ดมองหนิงอี้ น้ำเสียงต่ำลง “ปุถุชนล้วนบอกว่าเจ้าเป็นนักกระบี่อัจฉริยะที่สืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากสวีจั้ง…หนิงอี้ ข้าประเมินเจ้าต่ำไป”
เขาเอ่ยนิ่งๆ “แค่เข้าใจวิชาหลอมกายงูๆ ปลาๆ ไม่ได้เข้าใจเท่าไรนัก”
พญายมขุมนรกที่เจ็ดแค่นหัวเราะ ไม่โต้แย้ง
หนิงอี้มองออกว่าตอนนี้พญายมขุมนรกที่เจ็ดไม่คิดจะโจมตีครั้งที่สอง พญายมจวนปฐพีกระบอกตาว่าเปล่าคนนั้น ตอนนี้ได้คนยักษ์สูงใหญ่ดุจภูเขาเล็กประคองไว้ ระหว่างหายใจ กลิ่นอายพลังก็เพิ่มขึ้นทีละนิด ก่อนหน้านี้พญายมขุมนรกที่เจ็ดจะใช้ขอบเขตที่แปดตัดสินกับตน แต่หลังจากโดนวิชาลับพันกร เขาเหมือนจะทิ้งความคิดนี้ไป
เขาเริ่มรวมกำลัง
หนิงอี้ทำเป็นไม่สนใจทุกอย่าง เขาเพียงแค่อยู่ในท่ากดมือตรงด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ มองพญายมขุมนรกที่เจ็ดพลางถามด้วยความสนใจ “จวนปฐพีมีพญายมทั้งหมดสิบวิหาร พญายมน้อยคนที่สิบถูกข้าสังหาร พญายมขุมนรกที่เก้าถูกหลิ่วสืออีฆ่า…พลังบำเพ็ญและกำลังรบที่แท้จริงของพวกเขาสองคน ต่อให้รวมกันแล้วก็ยังไม่เท่าเจ้า”
หนิงอี้พูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป ก่อนจะยื่นมานิ้วมือหนึ่ง ชี้ไปไกลๆ ที่ร่างแยกภูเขาเล็กของพญายมขุมนรกที่เจ็ด จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกและเกียจคร้าน “ร่างแยกเก้าร่าง ทุกร่างล้วนเป็นขอบเขตที่เก้า มากพอจะทุบตีพญายมน้อยกับพญายมขุมนรกที่เก้าได้พร้อมกัน…เจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญระดับนี้เลย เหตุใดถึงอยู่แค่อันดับเจ็ดในจวนปฐพี”
พญายมขุมนรกที่เจ็ดเอ่ยอย่างเย็นชา “ภูเขาย่อมมีภูเขาที่สูงกว่า ข้าอยู่อันดับเจ็ด นั่นหมายความว่าข้าอยู่ได้แค่อันดับเจ็ด”
“ข้าได้ยินมาว่าพญายมใหญ่ของจวนปฐพีไม่อยู่ใต้ฟ้าต้าสุยแล้ว หกร้อยปีมานี้ จักรพรรดิไท่จงกุมทุกอย่างไว้ในมือ เขาศักดิ์สิทธิ์และขุมอำนาจทั้งหมดต้องได้รับอนุญาตจากเขา แต่จวนปฐพีกลับเหนือกว่าข้อจำกัดตรงนี้” หนิงอี้ยิ้ม “พญายมใหญ่ที่หลุดพ้นจากความเป็นตายคนนั้น ปล่อยให้จวนปฐพีแตกกิ่งออกใบ ถึงได้มีพญายมสิบวิหาร พญายมขุมนรกที่หนึ่งเป็นมือสังหารคนแรกของต้าสุยเมื่อสามร้อยปีก่อน ติดตามฝึกฝนกับพญายมใหญ่ แทบจะไม่เคยปรากฏตัว พญายมขุมนรกที่สองยังเคยสังหารราชันปีศาจสองตนในโลกเทา…พญายมจวนปฐพีสามคนแรกล้วนเป็นมือสังหารระดับราชันดารา จากตรงนี้จะเห็นว่าวิหารที่สี่ถึงหกสามคน เป็นยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตา”
หนิงอี้ครุ่นคิดก่อนจะพูดงึมงำ “รุ่นหนุ่มสาวจวนปฐพีแทบจะไม่มีใครแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มมองพญายมขุมนรกที่เจ็ด “เจ้านั่งตำแหน่งที่เจ็ด และเป็นตำแหน่งไร้พ่ายในขอบเขตที่สิบ เหตุใดถึงเทียบกับเฉาหลันไม่ได้แม้แต่เส้นผมล่ะ”
พญายมขุมนรกที่เจ็ดฉีกมุมปากขึ้น แค่นยิ้ม “เจ้าบอกว่าข้าเทียบกับเฉาหลันไม่ได้แม้แต่เส้นผมรึ เจ้ามีสิทธิ์อะไรกัน”
หนิงอี้ไม่ลดรอยยิ้มลงเลย
พญายมขุมนรกที่เจ็ดดูดซับแก่นโลหิตของภูเขาเล็กสองลูก พลังเลือดลมกลับมาจุดสูงสุดอีกครั้ง
เขาแหงนหน้าคำรามเสียงดัง ประกายโลหิตสว่างวาบในดวงตา แทบจะออกจากเบ้าตาแล้ว บนฟ้าเมืองรากษส เกิดคลื่นลมขึ้น เมฆโลหิตวนเวียนรอบศีรษะเขา ดูยิ่งใหญ่มาก
“มีสิทธิ์อะไรหรือ”
หนิงอี้กำพินิจเหมันต์
ก่อนหน้านี้เขาสำแดงวิชาพันกรก็ยังไม่เคยชักกระบี่
ในเมืองรากษสไม่มีปราณกระบี่แม้แต่น้อย
หลิ่วสืออีเก็บพลังไปทั้งหมดแล้ว
ตอนนี้ พินิจเหมันต์ออกจากฝักเพียงชุ่นเดียว
เปล่งแสงเย็นเยียบ
ดังนั้นจึงได้มีปราณกระบี่โผล่มาในฟ้าดินสายหนึ่ง
หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “ก็เพราะกระบี่นี้ของข้าจะเผาเจ้าเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีก”
พญายมขุมนรกที่เจ็ดหรี่ตาลง
ยันต์รอบด้านเริ่มไม่มั่นคงอีก
รูปปั้นตรงสุดเมืองโบราณรากษสเกิดเสียงดังกึก เกิดรอยร้าวขึ้น
เกิดแสงสว่างวาบกลางฟ้าดิน
พญายมขุมนรกที่เจ็ดที่กลับมามีพลังเลือดลมถึงจุดสูงสุดอีกครั้งไม่ได้ปัดป้องเป็นอย่างแรก แต่เลือกหนีไป สองมือลูบผ่านภูเขาเล็กกำบังสูงใหญ่ เด็ดศีรษะมาทีละข้าง ยัดใส่ท้องตัวเองราวกับกินพุทรา หลังกลืนไปดังอึกๆ พลังเลือดลมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีปราณกระบี่แรกในฟ้าดิน ดังนั้นจึงจุดชนวนการทำงานของทั้งค่ายกล
ใต้เท้าหนิงอี้ เงียบสงบ เริ่มตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น
พินิจเหมันต์ปักลงดิน
สายลมพัดผ่าน พลันแผ่กระจายออก
ค่ำคืนราตรี สายฝนไหลย้อนกลับ
คืนราตรีพลันกลายเป็นยามกลางวัน
ในดวงตาหลิ่วสืออีเป็นสีขาวเงิน
เสียงคำรามฉีกหัวใจฉีกปอดดังแว่วมาไกลๆ
พลันดับสลายเป็นความว่างเปล่า
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลิ่วสืออีเปียกทั้งตัว เขาเงยหน้าขึ้น ฝนยังตกอยู่
ในเมืองเงียบสงัดแล้ว
เขามองเด็กสาวข้างๆ อย่างเหนื่อยล้า ถามแค่คำถามเดียว
“นี่ค่ายกลอะไร”
เสียงเด็กสาวดังขึ้นกลางเสียงฝน
“ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อย”
เด็กสาวมองไกลออกไปนิ่งๆ ในดวงตานางมีความตกใจ และก็มีความดีใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเรียบนิ่งหลังกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
นางพูดด้วยความเสียดาย “ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อย ที่ไม่สมบูรณ์”
……………………….