เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 247 เอาชีวิตรอด
ตอนที่ 247 เอาชีวิตรอด
“พญายมขุมนรกที่เก้าจวนปฐพีตายแล้ว”
ตอนที่กงซุนเยวี่ยพูดกับกู้เชียน ก็นั่งอยู่ในร้านน้ำชาเช้าบนถนนนิมิตชาดในเมืองหลวง เขาถือชาน้ำมันถ้วยหนึ่ง แววตาสงบนิ่งมาก แต่ใบหน้ากลับดูเหี้ยมโหดผิดปกติ
สายฝนใบไม้ผลิยาวเหยียด เป็นฤดูฝนดอกเหมยเมืองหลวง
กู้เชียนนั่งตรงข้ามกงซุนเยวี่ย เขาก้มหน้ามองเกี๊ยวสองลูกในจานตน โจ๊กพุทราแดงยังร้อนๆ อยู่ ไข่พะโล้ปอกเปลือกแล้ว เผยลายละเอียดสีแดงและขาวตัดกัน
พญายมสิบวิหารแห่งจวนปฐพีเป็นคนที่สำคัญอย่างยิ่งในกรมผู้คุมกฎของเมืองหลวง กลุ่มนี้เหนือกว่าขอบเขตการควบคุมของต้าสุย ยอดพญายมสามคนแรกล้วนเป็นบุคคลไม่ธรรมดาขอบเขตราชันดารา หากก้าวสู่เขตเมืองหลวง ย่อมเป็นที่จับตามองของเจ้ากรมใหญ่ที่สอดคล้องกัน ส่วนพญายมที่เจ็ดถึงเก้า จะอยู่ภายใต้การดูแลของทั้งกรมผู้คุมกฎและกรมข่าวกรอง
ร่องรอยของมือสังหารจวนปฐพีลอยล่องมาก แทบจะจับต้องไม่ได้ สิ่งที่สองกรมต้องรับรองคือหากมีคนในจวนทำผิดกฎเมืองหลวง จะต้องรายงานเบื้องบนทันที กฎหมายต้าสุยอยู่เบื้องบน และไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจจักรพรรดิในเมืองหลวง
“ข้ารู้ว่ากรมผู้คุมกฎรับผิดชอบตรวจตราจวนปฐพีมาตลอด ตั้งแต่มีข่าวออกมา กรมข้าตามรอยพญายมขุมนรกที่เก้ามานานมาก แต่ก็ไม่เคยได้อะไรเลย มั่นใจได้อย่างเดียวว่าเขาไม่ได้เข้าเมืองหลวง” กู้เชียนมองผู้บัญชาของตนพลางพูดอย่างระมัดระวัง “ในเมื่อไม่เข้าเมืองหลวง ก็ไม่เกี่ยวกับกรมผู้คุมกฎเรา”
กงซุนเยวี่ยตอบอืม “เมื่อคืนวานเกิดฝนตกหนัก เขาตายในเมืองโบราณรากษส”
กู้เชียนตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย
“ใครเป็นคนฆ่า”
กงซุนเยวี่ยไม่ตอบคำถามนี้ตรงๆ
เขามองกู้เชียน ผู้ช่วยคนก่อนที่ตนจะเปลี่ยนใหม่คนนี้ ก่อนหน้านี้ตามตนไปตรวจสอบเรื่องราวเก่าๆ เทียบกับคนใหม่พวกนั้นข้างกายตนแล้ว คนหนุ่มแซ่กู้คนนี้เก่งกว่ามาก ไม่เหมือนคนใหม่เลย ทำอะไรพึ่งพาได้และยังฉลาด
เขายังเก็บกู้เชียนไว้
คนหนุ่มที่เดิมทีควรจะถูกย้ายไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นผู้ติดตามเขา กงซุนเยวี่ยไม่ได้มอบหมายงานตรวจสอบจวนขุนนางรองท่องกระบี่กับกู้เชียนอีก แต่ให้เขาตามอยู่ข้างกาย ทำงานจิปาทะในกรมผู้คุมกฎ
กรมผู้คุมกฎต้องรับผิดชอบหลายเรื่องมาก
จากนอกไปสู่ใน จากห่างเหินถึงสนิทสนม
กู้เชียนได้ความไว้ใจส่วนหนึ่งไปจากเขาแล้ว
“ขยะพวกนั้นของกรมผู้คุมกฎ หามาเดือนหนึ่งแล้ว อย่าว่าแต่เจอพญายมขุมนรกที่เก้าเลย แม้แต่ก้นก็ยังหาไม่เจอ” กงซุนเยวี่ยพลันยิ้ม “ถ้าไม่ใช่เพราะเมืองรากษสถล่ม ทำให้พวกเราสนใจ ให้พวกเขาหาอีกเดือนก็คงไม่ได้อะไร กรมผู้คุมกฎต้าสุยเละเทะอยู่ภายใน เรื่องโกงกินมีอยู่ไม่น้อย กำลังตรวจสอบไม่เท่าเมื่อก่อน ก่อนถ่ายเลือดยังพอพึ่งพาได้ แต่พอเปลี่ยนคนพวกนั้นใหม่ ส่วนใหญ่เอาแต่นั่งรอเอาหน้าผลงานคนอื่นในอำนาจจักรพรรดิ”
กู้เชียนส่ายหน้า “ประตูเปิดๆ ปิดๆ ไม่ผุพัง น้ำไหลได้ไหลดีไม่มีเน่า หลักการนี้ ฝ่าบาททรงเข้าใจกว่าพวกเรา”
กงซุนเยวี่ยปรายตามองกู้เชียน “ฝ่าบาทไม่ได้เก่งทุกอย่าง คนหนึ่งยิ่งแกร่งมากเท่าไรก็ยิ่งมองข้ามบางเรื่องไปได้ง่ายมากเท่านั้น เพราะเขายืนอยู่สูงเกินไป เขาจึงต้องมีกรมผู้คุมกฎ บนล่าง ข้างในและนอก…เจ้าไม่ใช่คนพวกนั้นในอำนาจจักรพรรดิ เหตุใดถึงพูดแทนราชนิกุลต้าสุยบ่อยจริง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้
กงซุนเยวี่ยเงียบลง
เขาพูดอย่างเฉยชา “ช่างเถอะ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปสอน”
บางครั้งกู้เชียนมองกงซุนเยวี่ยจะรู้สึกว่าบุรุษคนนี้ทั้งเฉยชาและก็เป็นกันเอง
ในตัวกงซุนเยวี่ยมีความดุร้ายที่ซ่อนไว้ลึกมาก เขาดูจะไม่พอใจสภาพการณ์หลายอย่างของต้าสุย
“ตามระเบียบ ข้าควรจะย้ายเจ้าออกไปแล้ว” กงซุนเยวี่ยดื่มชาน้ำมันแก้วใหญ่แล้วก็หยิบผ้ามาเช็ดปาก จากนั้นนำผ้าดำออกมา เอาสองมืออ้อมหลังศีรษะ ปิดแก้มที่ถูกดาบฟันนั้น
“เรื่องตรวจสอบจวนขุนนางรองท่องกระบี่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา” เขามองกู้เชียนพลางพูดนิ่งๆ “แต่ด้วยกำลังข้าคนเดียวดูจะเกินกำลังไปหน่อย ดังนั้นข้าต้องการผู้ช่วย”
กู้เชียนมองกงซุนเยวี่ยพลางพูดอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ถูกเพิกถอนแล้ว”
กงซุนเยวี่ยมองกู้เชียน ไม่เหมือนมอง ‘คน’ แต่เหมือนมองบางสิ่งที่ตนคุ้นเคยมากกว่า
ในตัวกู้เชียนมีเอกลักษณ์ที่หาได้ยากอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่แสงสว่าง และไม่ใช่ความดี
แต่เป็นความเที่ยงตรง
กงซุนเยวี่ยกล่าว “เจ้าเข้ากรมผู้คุมกฎเพื่ออะไรกัน”
ก่อนกู้เชียนออกจากกรมข่าวกรองมาแฝงตัวในกรมผู้คุมกฎ ก็เคยมีคืนหนึ่งนอนไม่หลับ วันที่สองเขาก็พบกงซุนเยวี่ย เพื่อไม่ให้เผยพิรุธ เขาจึงคิดถึงบทสนทนาระหว่างสองคนไว้ในหัวก่อนแล้ว
ในนั้นมีคำพูดหนึ่ง
เขาพูดอย่างจริงจัง “เพื่อรักษากฎหมาย”
นี่เป็นคำพูดไร้สาระ
แต่เป็นคำพูดไร้สาระที่มีประโยชน์มาก
กงซุนเยวี่ยพลันยิ้ม
ตอนกู้เชียนยังเยาว์วัยและเจอกับเสิ่นหลิง เสิ่นหลิงก็เคยถามคำถามคล้ายๆ กันนี้
‘เจ้าเข้ากรมข่าวกรองเพื่ออะไร’
กู้เชียนตอบไปโง่ๆ
‘เพื่อหาข่าวกรอง…ข้าจะเป็นหูให้กับฝ่าบาท ตรวจสอบเสียงลม เสียงฝนและก็เสียงอ่านตำราในใต้ฟ้านี้ให้ฝ่าบาท’
ตอนนั้นเสิ่นหลิงด่าไปยิ้มไป ‘ต้องได้ยินทุกอย่างเลยสินะ ตัดอันหลังทิ้งไป สิ่งที่ไม่ควรพูดอย่าพูด พูดแค่ประโยคแรกก็พอ’
เพื่อหาข่าวกรอง
กู้เชียนสูดลมหายใจเข้า พูดคำนี้ออกมาต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากจริงๆ “หากความจริงอยู่เบื้องหลัง วันใดต้องให้ข้าลุกขึ้น ข้าก็จะลุกขึ้น”
กงซุนเยวี่ยมองกู้เชียน
“ดีมาก”
เขาชะงักไปก่อนจะพูดต่อ “แต่จำไว้อย่างหนึ่ง ตอนที่เจ้าต้องลุกขึ้นมา เจ้าอย่าลุกขึ้น ขอแค่เจ้าพูดก็พอ โลกนี้ไม่มีความดีตอบแทนให้กับคนดีผู้เที่ยงตรงหรอก”
กงซุนเยวี่ยมองกู้เชียน รู้สึกว่าอีกฝ่ายทั้งคร่ำครึและโง่ แต่ก็ไม่ทำให้คนรังเกียจ เขาพูดขึ้น “ข้าไม่ใช่คนดี หวังว่าเจ้าจะไม่ใช่คนดีเช่นกัน”
กู้เชียนเงียบ
สองคนนั่งใต้แสงตะวันในร้านน้ำชายามเช้า นั่งตรงข้ามกัน ไม่มีใครพูดอะไร
เวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบเช่นนี้ครึ่งก้านธูป
ครึ่งก้านธูป ผู้คนสัญจรไปมา
หลังครึ่งก้านธูป กู้เชียนก็รู้ว่าตนได้รับความไว้ใจจากบุรุษคนนี้จริงๆ
ไม่นานกงซุนเยวี่ยก็พูดขึ้น
“เมื่อคืนวานกรมผู้คุมกฎถูกกดดันอย่างหนัก แรงกดดันส่วนนี้มาจากแดนบูรพา ป้ายชีวิตหนึ่งในหลอดแก้วแดนบูรพาแตก มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลย เป็นอัจฉริยะหนุ่มใต้บัญชาคุณชายน้ำค้าง อนาคตมีหวังได้สืบทอดตำแหน่งสามเคราะห์สี่หายนะ กรมผู้คุมกฎไปถึงเมืองโบราณรากษสพังทลายตามสัมผัสของป้ายชีวิตแดนบูรพา ทั้งเมืองโบราณถูกพลังมหาศาลทำลาย ในแอ่งน้ำนอกเมืองยังเจอศพของพญายมขุมนรกที่เก้าเซียวจิ่ว ถูกคนใช้ปราณกระบี่แทงตาย”
กู้เชียนหรี่ตาลง
กงซุนเยวี่ยพูดต่ออย่างไร้ความรู้สึก “พญายมขุมนรกที่เก้าถูกหลิ่วสืออีฆ่า”
กู้เชียนเพ่งสายตา ปากพูดงึมงำ “หลิ่วสืออีผู้ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด เขาสังหารพญายมขุมนรกที่เก้าได้ และยังมีแรงเหลือสังหารพญายมขุมนรกที่เจ็ดรึ ผู้บำเพ็ญที่มีหวังได้สืบทอดสามเคราะห์สี่หายนะ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่ใกล้กับขอบเขตที่สิบ”
กงซุนเยวี่ยนิ่งไป มีสีหน้าหลากหลาย
“เมืองโบราณรากษสถูกทำลาย ถูกโจมตีสองครั้ง น่าจะเกิดการต่อสู้สองครั้งต่อกัน ครั้งแรกทำลายหัวเมือง ดึงพลังในหอไม้สองข้างในเมืองไปทั้งหมด ครั้งที่สองเกิดขึ้นเหนือหัวพญายมขุมนรกที่เจ็ด ในระยะโดยรอบหนึ่งลี้ถูกปราณกระบี่กดอัดเป็นผุยผง ได้ยินว่าพญายมขุมนรกที่เจ็ดที่สำแดงวิชาลับบรรลุขอบเขตที่สิบในพริบตายังหาร่างสมบูรณ์ไม่พบเลย ถูกบดทำลายเป็นเถ้าธุลี”
กู้เชียนตื่นตกใจ แม้จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์กับตาตัวเอง แต่แค่ได้ยินก็รู้สึกเหลือเชื่อแล้ว
“ใครทำ”
กงซุนเยวี่ยส่ายหน้า ไม่มีคำตอบ
กู้เชียนพูดอย่างระมัดระวัง “แดนบูรพาเลยเพ่งเล็งไปที่หลิ่วสืออีรึ”
กงซุนเยวี่ยไม่ปฏิเสธ เขาตอบอืมเบาๆ “ประมาณนั้น ครั้งนี้แดนบูรพามีคนโกรธจัด จะให้กรมผู้คุมกฎช่วย จากนี้จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้าบอกข่าวพวกนี้กับเจ้า”
กู้เชียนเม้มริมฝีปาก
“กินข้าวมื้อนี้เสร็จ เจ้าคือคนของข้ากงซุนเยวี่ย” บุรุษสวมผ้าปิดหน้าพูดอย่างเฉยชา “ช่วงนี้ออกจากเมืองหลวงก่อน ไปไกลๆ คำสั่งย้ายของกรมผู้คุมกฎไม่มีผลกับข้า เจ้าเป็นผู้ช่วยข้า ก็ได้สิทธิ์นี้เช่นกัน”
กู้เชียนมีสีหน้าอึ้งงัน คำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ
“ไปไหนรึ”
เขายกโจ๊กพุทราแดงขึ้น กระดกซดคำใหญ่
กงซุนเยวี่ยตอบนิ่งๆ “ไปเขาลั่วเจีย”
กู้เชียนถึงกับสำลักโจ๊ก แทบจะพ่นออกมา เขามองกงซุนเยวี่ย มั่นใจว่าในแววตาอีกฝ่ายไม่มีการล้อเล่นเลย
“เขาลั่วเจียปิดภูเขาแล้ว ศึกของเฉาหลันก่อนหน้านี้ก็นัดสู้กันบนเขาลั่วเจีย” กู้เชียนมองกงซุนเยวี่ยพลางพูดอย่างจริงจังมาก “หากเราจะเข้าไปก็มีโอกาสสูงมากที่จะเข้าไปไม่ได้ หากข้าดึงดันจะเข้าไป เราอาจจะถูกฆ่าเอาได้”
กงซุนเยวี่ยหัวเราะ “กฎใช้กับคนส่วนใหญ่ คนส่วนน้อยมีสิทธิพิเศษได้…อย่างเช่นข้า”
กู้เชียนสูดลมหายใจเบา เขามองกงซุนเยวี่ย ในแววตามีความฉงนที่ปกปิดไว้ไม่ได้นั้น ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก “ข้าแปลกใจมาตลอดเลย…ว่าเบื้องหลังท่านเป็นใครกันแน่”
เขานิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “ข้าแค่ถามเฉยๆ ถ้าไม่สะดวกตอบท่านก็ไม่ต้องตอบ หากข้ารู้ตัวตนคนใหญ่คนโตท่านนั้นแล้วต้องถูกตัดหัว ก็อย่าพูดดีกว่า”
กงซุนเยวี่ยส่ายหน้า “แดนบูรพาจะให้กรมผู้คุมกฎช่วย กรมผู้คุมกฎต้องช่วย แต่ข้าไม่ช่วยได้”
มีเพียงประโยคนี้ จบลงเท่านี้
นัยน์ตากู้เชียนฉายประกายไม่แน่ใจเล็กๆ
เขามองกงซุนเยวี่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านบอกว่ากินข้าวมื้อนี้เสร็จ ข้าจะเป็นคนของท่านรึ”
กู้เชียนวางตะเกียบลง “นี่ท่านกำลังปกป้องข้า เมื่อก่อนท่านเคยท่องยุทธภพมาก่อนรึ”
กงซุนเยวี่ยไม่ตอบ แต่กอดอก มีสีหน้าไม่แน่ใจ
เขานิ่งไปสามลมหายใจ
กงซุนเยวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “เคย แต่ไปไม่รอด เลยมาเอาชีวิตรอดในเมืองหลวง”
กู้เชียนนึกถึงรอยแผลเป็นตัดสลับบนใบหน้าบุรุษคนนี้ก่อนจะพูดเย้ยเยาะตัวเอง “ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
……………………….