เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 248 สิบสองตำลึงเงิน
ตอนที่ 248 สิบสองตำลึงเงิน
แสงตะวันยามรุ่งอรุณส่องไปในจวนขุนนางรองท่องกระบี่
ภายในลานบ้านมีเพียงคนสองคน
หลิ่วสืออีนั่งอยู่ในลานบ้าน
เขามองรอยกระบี่บนกำแพงหิน ท่าทางเหม่อลอย
“แม่นางเผย”
หลิ่วสืออียื่นมือมาข้างหนึ่ง เขายังคงสวมชุดขาวขาดวิ่นนั้น คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนผ่านลมผ่านแดดจนกลายเป็นลายพร้อยไปแล้ว คิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดเขาถึงยึดมั่นในชุดนี้เช่นนี้…หลิ่วสืออีสัมผัสรอยบนกำแพงหิน เพ่งสายตามอง ในความคิดเขามีปราณกระบี่วูบผ่านทีละสาย วนเวียนตัดสลับไปมา สุดท้ายก็ฉายภาพในวันนั้นอีกครั้ง
ค่ายกลสยบเทพกำราบเฉาหลัน
เผยฝานที่เช็ดกระบี่อยู่ในลานบ้านตอบอืมเบาๆ
“ข้าอยากถามหน่อย ท่านรวมปราณกระบี่ไว้ในค่ายกลได้อย่างไรกัน” แววตาหลิ่วสืออีจดจ่อมาก เขาเงยหน้าขึ้นมองรอยปราณกระบี่บนกำแพงหิน ก่อนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อย สังหารพญายมขุมนรกที่เจ็ดแห่งจวนปฐพีได้ทันที…เพราะเหตุใด”
เด็กสาวหยุดมือ นางมองหลิ่วสืออีที่กำลังครุ่นคิดเงียบๆ ในลานบ้าน
หลิ่วสืออีพูดน้อยมาก นั่งทีก็เหมือนกับตอไม้ แต่ก็เหมือนก้อนหินมากกว่า…อย่างน้อยหนิงอี้ก็บอกว่าหลิ่วสืออีเหมือนก้อนหิน อีกทั้งทุกครั้งที่เห็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่ใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับทำสีหน้าเย็นชาแล้ว หนิงอี้มักจะใส่คำคุณศัพท์เข้าไปเป็นการเสริมเติมแต่งก้อนหิน
อย่างเช่น…ก้อนหินในห้องส้วม
นิสัยของหลิ่วสืออีทั้งน่ารังเกียจและยังหัวดื้อ
เผยฝานลูบจอนผมเบาๆ นางมองหลิ่วสืออี ไม่รู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่คนนี้ตัดสินใจจะเรียนค่ายกลจริงๆ หรือแค่ถามไปอย่างนั้น
“ค่ายกลสยบเทพในลานบ้านใช้แสงดารา ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อยในวันนั้น เหมือนจะไม่ได้รองรับด้วยแสงดารา”
หลิ่วสืออีพ่นลมหายใจ เขาหันหลังให้เผยฝาน ถามด้วยความงุนงง “ข้าสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ลี้ลับยิ่งกว่า…แข็งแกร่งกว่าแสงดารา”
“ความเป็นเทพ” เด็กสาวเดินมาข้างหลังหลิ่วสืออี นางยื่นนิ้วมือหนึ่งมากดบนกำแพง บนกำแพงมีฝุ่นร่วงหล่นลงมา ถูกนิ้วมือนางเจาะเป็นรูเล็กตื้นๆ
เด็กสาวขยับแขนช้าๆ วาดเป็นภาพหมุนวนตรงใจกลางค่ายกล
หลิ่วสืออีมองตาไม่กะพริบ
ทุกการขยับมือของเด็กสาวล้วนเร็วมาก ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย หลิ่วสืออีใช้สองมือกดพื้นเงียบๆ ดันตัวเองให้อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ก้นเสียดสีกับพื้น เขาไม่ยอมลุกขึ้น เข้าสู่สภาวะครุ่นคิดบางอย่าง เขาตกอยู่ในห้วงนั้นอย่างน่าประหลาด ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่เป็นการรบกวน
สิ่งที่หลิ่วสืออีต้องทำในตอนนี้คือมองลายเส้นค่ายกลที่เผยฝานวาดให้ชัดเจน
เด็กสาวใช้ปลายนิ้ววาดบนกำแพงหินเงียบๆ การเคลื่อนไหวของนางคล่องแคล่วมาก ไร้ซึ่งการหยุดชะงัก คราแรกใช้เพียงแค่มือเดียว จากนั้นก็เริ่มเป็นสองมือ ขยับแขนซ้ายขวาพร้อมกัน ปลายนิ้ววาดบนกำแพงหิน ฝุ่นละอองถูกแขนเสื้อพัดออกไป ภาพที่ใหญ่และละเอียดปรากฏขึ้นบนกำแพงหินเช่นนี้
หลิ่วสืออียังคงมีสีหน้าครุ่นคิด
เผยฝานหมุนตัวกลับมา ให้พื้นที่ชื่นชม นางพูดอย่างจริงจัง “นี่คือค่ายกลเสริมของค่ายกลพิฆาตเซียนน้อย ฝั่งซวิ่น[1]มุมเดียวก็ใช้ยันต์ทั้งหมดหกสิบสี่แผ่นเป็นมุมค่ายกล ใช้กางค่ายกลหลักง่ายๆ ได้ ค่ายกลที่วางในเมืองรากษสไม่สมบูรณ์เพราะเวลามีจำกัด เลยวางได้แค่สามสิบสองแผ่น อานุภาพไม่ได้หายไปแค่ครึ่งเดียว แต่ใช้อานุภาพได้แค่ราวๆ สามส่วน หากไม่มีกระบี่คุมค่ายกล ก็จะลดไปอีกสองส่วน”
หลิ่วสืออีสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย
จะเห็นได้ว่าเขากำลังศึกษาภาพนี้อย่างจริงจัง
“หากเจ้าอยากเรียนค่ายกลก็ควรจะเริ่มจากการวาดยันต์ ข้าแนะนำว่าให้เจ้าเริ่มจากการลอกแบบภาพของปรมาจารย์ค่ายกลเมื่อสองพันปีก่อน หนึ่งบรรพจารย์สามสำนัก ตำราหุบเขาของนักพรตหุบเขาหวงอวี้จาง กลอนปิ้งฉี่ของนักพรตหลังเขาเฉินซือเต้า ล้วนเป็นแบบที่ดีมากทั้งนั้น” เผยฝานมองหลิ่วสืออี พูดไม่เร็ว เพื่อให้อีกฝ่ายได้ยินทุกคำ
“ปรมาจารย์ค่ายกลยุคโบราณ ส่วนใหญ่เก่งกาจในค่ายกลที่อยู่ตรงใจกลาง แต่ก็ถูกคัดออกไปทีละนิดแล้ว คุณชายลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซานเป็นผู้รวบรวมค่ายกลตลอดพันปีมานี้ บนเขาน้ำค้างเล็กของเขาสู่ซานก็มีตำราและความรู้ด้านค่ายกลของคุณชายลู่เซิ่ง หากเจ้าอยากเรียน…”
นางนิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “ข้าสอนเจ้าได้”
หลิ่วสืออีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
เขามองเผยฝานเหมือนมองสัตว์ประหลาด “เจ้าจำได้หมดรึ”
เขาไม่ได้บอกว่าจำอะไรได้ และไม่ได้ถามว่ามีอะไร
เด็กสาวพยักหน้า “ข้าจำได้หมด”
หลิ่วสืออีมองเผยฝานก่อนจะมองรอยขีดเขียนบนกำแพงหิน
เขาอดพูดไม่ได้ว่า “หนิงอี้จะกลับมาเมื่อไร”
เผยฝานก้มหน้าลงเอ่ยราบเรียบ “ไม่รู้ อาจจะบ่าย หรืออาจจะเย็น”
หลิ่วสืออีพูดเขินๆ “เขาไปหาแม่นางสวีคนนั้นในวังรึ”
เด็กสาวพยักหน้า
หลิ่วสืออีถามอีก “เจ้าไม่ไปรึ”
เด็กสาวส่ายหน้า
“เขาไปรักษาให้แม่นางสวี” เผยฝานพูด “แม่นางสวีชิงเยี่ยนส่งจดหมายมาจากห้องบูรพา นางสุขภาพไม่ดีมาตลอด ป่วยเป็นโรครักษายาก ต้องให้หนิงอี้ไปรักษา ข้ารักษาไม่ได้ เหตุใดต้องตามไปด้วย”
หลิ่วสืออีพูดไม่ออก
…..
“สวีชิงเยี่ยนไม่อยู่ห้องบูรพารึ”
“ขุนนางรองหนิง ช่วงนี้แม่นางสวีเรียนกับฆราวาสเขาเสียวซาน ออกไปตั้งแต่กลางวันแล้ว”
ณ วังเมืองหลวง นอกสวนห้องบูรพา
ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาแห่งเขาวิญญาณโค้งตัวพูด “ข้ารับหน้าที่เฝ้าประตูสวนห้องบูรพา หากขุนนางรองอยากพบแม่นางสวี ก็รอจนตะวันลับภูเขาได้ แม่นางสวีจะกลับวังตอนเย็นทุกวัน”
หนิงอี้ถามด้วยความแปลกใจ “นางตามฆราวาสเขาเสียวซานออกไปฝึกฝนรึ”
หนิงอี้กำลังจะพูดบางอย่าง ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยากลับขัดไว้ “ข้าไม่รู้เรื่องอื่นแล้ว แม่นางสวีไม่ได้กำชับอะไรไว้”
หนิงอี้ยิ้ม
“ว่างอยู่พอดี ข้าจะรอ”
ตอนนี้เขาไม่มีธุระอะไร ฝึกจิตกระบี่ เดินบนเส้นทางถูกต้อง จิตกระบี่ทุกสรรพสิ่งกำเนิดขึ้นแล้ว ผลของการฝึกบำเพ็ญอย่างหนักได้น้อยมาก ต่อให้นั่งฌานในจวนวันละสิบสองชั่วยาม ก็ไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย
หนิงอี้มองห้องบูรพา ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาแห่งเขาวิญญาณกับฆราวาสเขาเสียวซาน คนพวกนี้เหมือนกับนักพรตชุดหยาบ บอกว่าห้ามเข้าก็ห้ามเข้า ลาหัวดื้อพวกนี้ ต่อให้จักรพรรดิมา พวกเขาก็ไม่เปิดประตู
หนิงอี้ยืนอยู่หน้าประตูสวนห้องบูรพา ยังลังเลอยู่ว่าตนจะไปเดินเล่นในวังจักรพรรดิแห่งนี้ดีหรือไม่
ไม่นานนักก็มีเสียงเท้าดังแว่วมาไกลๆ
องครักษ์เกราะทองตามหลังขุนนางชรามา องครักษ์ลงเท้าหนัก เกิดฝุ่นตลบขึ้น
เขาเอาสองมือสอดในแขนเสื้อ กลางวันฟ้าใสยังถือตะเกียงแดงในมือ คิ้วและเคราเป็นสีขาวทั้งหมด ริมฝีปากแดง ชุดคลุมพลิ้วไหว แม้ใบหน้าจะดูมีเมตตา แต่ก็ยังมีความร้ายอยู่สามส่วน
“ไห่กงกง” หนิงอี้โค้งตัวแสดงความเคารพด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบคุณที่ขุนนางรองหนิงเป็นห่วง ทุกวันนี้ว่างไม่มีเรื่องอะไรเลย ไม่ได้เจอคนรู้จักในวังมานาน ตอนนี้แม่นางสวีออกไปฝึกฝนกับท่านฆราวาสทุกวัน เจอกันบางครั้งก็คุยกันไม่กี่คำ” ไห่กงกงยิ้ม “วันนี้ได้พบ ข้าดีใจ แต่น่าเสียดายเวลาไม่อำนวย ไม่อย่างนั้นก็อยากจะคุยกับขุนนางรองสักหน่อยจริงๆ”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น
“ขุนนางรอง มีคนใหญ่คนโตในวังอยากพบเจ้า”
ไห่กงกงก้มหน้าลง สองมือซ้ายขวาตบอาภรณ์ ทำมือ ‘เชิญ’ ก่อนพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ตามข้ามาเถอะ”
หนิงอี้อุทานเบาๆ ในใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ลดลงเลย ทำท่าทางว่าไปตามนั้น “เช่นนั้น…รบกวนไห่กงกงนำทางด้วย”
…..
หลังวังใหญ่มาก วัชพืชขึ้นเต็มไปหมด
ระหว่างทางสองคนตามหลังกัน หนิงอี้เว้นระยะห่างครึ่งหัวไหล่ตามจิตใต้สำนึก ให้ไห่กงกงนำทางก่อน ขุนนางชราฉลาดคนนี้ไม่เผยร่องรอยเลย มือข้างหนึ่งตบบ่าหนิงอี้เบาๆ ให้สองคนเดินข้างกัน ไม่มีใครสูงกว่าใคร
เดินไปได้สักระยะ หนิงอี้ก้มหน้าลง นัยน์ตาเพ่งสมาธิเล็กน้อย เขาปรายตามองไปเห็นเสาหินต้นหนึ่ง ใต้เงาสะอาดสะอ้าน หญ้าถูกถอนออกหมด แต่ก็ยังมีคราบเลือดเหลือเล็กน้อย
……
ขุนนางชราพูดเสียงเบา “ห้ามถอนหญ้าในวัง นี่เป็นกฎ ขุนนางรองตาดี เห็นสิ่งที่ไม่สะอาด ความจริงก่อนหน้านี้ก็มี ‘ขี้ข้า’ ไม่ดูตาม้าตาเรือ อยากจะประจบพระสนมท่านหนึ่ง ดึกดื่นมาทำงานที่นี่ ปรากฏว่าถูกพบเข้าจึงถูกตีเกือบตาย และที่น่าเวทนากว่านั้นคือวันต่อมา นางถูกพระสนมท่านนั้นไล่ออกจากวังอย่างกับหมูกับหมา”
“ไล่ออกจากวังรึ” หนิงอี้มองไห่กงกงพลางพูดด้วยความฉงนนิดๆ “ได้ยินว่าเมื่อได้เข้ามายังวังหลังที่ลึกราวสมุทร หากกระทำผิด การไล่ออกจากวัง คืนอิสรภาพให้ เทียบกับการถูกประหารแล้วมันน่าเวทนากว่ารึ”
ไห่กงกงพูดอย่างเฉยเมย “ขี้ข้าคนนั้น…มาจากแดนบูรพา เข้าวังจากนอกกำแพงเมืองแดนบูรพา ไล่ออกจากวังก็ต้องส่งกลับภูมิลำเนาเดิม ขุนนางรองคงยังไม่เข้าใจสภาพแวดล้อมนอกสี่แดนต้าสุยดีกระมัง”
หนิงอี้เงียบ
“ได้แต่บอกว่า ถึงในวังจะเข้มงวด แต่หากไม่ทำความผิด ไม่มีความคิดร้าย ทำงานอย่างซื่อตรง เป็นคนซื่อสัตย์ ฝ่าบาทก็จะมอบเงินเดือนให้ ครอบครัวก็ไปหาที่สงบสุขอยู่อาศัยในสามร้อยลี้รอบเขตเมืองหลวงได้เลย” ไห่กงกงหรี่ตาลงก่อนเอ่ยราบเรียบ “ความจริงขี้ข้าคนนั้น…ไม่ได้คิดร้าย เพียงแค่โชคไม่ดี ทำผิดกฎ ใครก็ช่วยนางไม่ได้ ข้าจำได้ว่าวันนั้นพานางออกจากวัง นางคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด น้ำตานองหน้าขอความเมตตาจากพระสนม น่าเสียดายเนื้อหนังงดงามนั้น หัวแตกเลือดนอง ไม่มีใครถามไถ่”
หนิงอี้ละสายตากลับเงียบๆ
“จากนั้นล่ะ”
“ข้าพานางออกจากวัง ให้นางไปสิบสองตำลึงเงิน” ไห่กงกงนิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อ “ตำลึงเงินนี้ไม่น้อยเลย ให้นางมีชีวิตได้ช่วงหนึ่ง”
นี่เป็นเงินไม่น้อยจริงๆ ชาวบ้านธรรมดาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้พักหนึ่ง
แต่หนิงอี้ก็ยังมองขุนนางชราก่อนจะถามอีกครั้ง “จากนั้นอีกล่ะ”
“นางไม่รับเงินสิบสองตำลึงนั่น” ไห่กงกงพูด “นางแขวนคอตาย วันถัดมาก็ตายอยู่นอกวัง ข้าบอกกับพระสนม ในเมื่อคนตายไปแล้ว ก็ช่างเรื่องส่งกลับแดนบูรพาเถอะ พระสนมท่านนั้นมีเมตตา ให้ครอบครัวนางอยู่ในเมืองหลวงต่อได้”
หนิงอี้ถาม “เป็นท่านใด”
ไห่กงกงส่ายหน้า “เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ขุนนางรองแค่ฟังก็พอ ข้าไม่สะดวกจะบอกรายละเอียด”
หนิงอี้ถอนหายใจ สายตามองไปทางตะวันออก
ไห่กงกงก้มหน้าลงอย่างไร้ร่องรอย ก่อนยิ้มเยาะตัวเอง “ขี้ข้าคนนั้นช่างน่าขำนัก นางไม่ต้องการเงิน ยอมตาย แต่ไม่ยอมกลับไปนอกกำแพงเมืองแดนบูรพา ขุนนางรอง เจ้าว่าเพราะเหตุใดกัน”
……………………..
[1] ซวิ่น คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ในยันต์แปดทิศ