เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 249 ดอกไม้ขาว
ตอนที่ 249 ดอกไม้ขาว
เพราะเหตุใดกัน
ยอมตาย แต่ไม่ยอมกลับไปนอกกำแพงเมืองแดนบูรพา
หนิงอี้มองขุนนางชราพลางพูดขึ้น “ไห่กงกง…ข้ามาจากเทือกเขาประจิม อยู่นอกกำแพงเมืองแดนประจิม เติบใหญ่ที่เมืองไร้มลทิน”
ขุนนางชราอึ้งงัน
หนิงอี้ยิ้ม “นี่ไม่ใช่ความลับ ก่อนข้ามาเมืองหลวงก็มีหลายคนใช้โอกาสนี้ด้อยค่าข้า เย้ยเยาะข้า บอกว่าข้าเป็นเด็กกำพร้าเทือกเขาประจิม”
ขุนนางชราเพียงแค่เงียบ
“นอกกำแพงเมืองเทือกเขาประจิมลำบากมาก แดนบูรพาคงไม่ต่างกันเท่าไร” สุดท้ายหนิงอี้มองคราบเลือดสะอาดแต่ยังคงเหลือสีแดงนั้นใต้เงาเสาหิน เหมือนกับเลือดยุงที่ถูกตบตายไป ไม่เป็นที่สนใจของใคร เขาพูดอย่างจริงจัง “ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีกี่คนที่ปลงอนิจจังบอกว่าประหยัดไปฟุ่มเฟือยง่าย ฟุ่มเฟือยไปประหยัดยาก และจะมีกี่คนที่เย้ยเยาะว่านางกำนัลคนนั้นอ่อนแอ ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องแค่นี้…เห็นๆ ว่ามีสิบสองตำลึงเงินแล้ว เห็นๆ ว่ามีชีวิตต่อไปได้”
“แต่ความจริงบางครั้ง ความหวังกับการสิ้นหวังก็ห่างกันเพียงเส้นบางๆ” หนิงอี้ก้มหน้าลง พูดด้วยรอยยิ้ม “บางทีนางอาจจะผ่านความทุกข์ที่ไม่มีใครรู้มามาก และเดินมาถึงก้าวนี้ก็กินแรงไปทั้งหมดแล้ว นางประจบผู้สูงศักดิ์ในวัง ถูกไล่ออกจากวัง ทำผิดกฎ ต่อให้ถูกส่งกลับไปนอกกำแพงเมืองแดนบูรพา ก็เป็นคนเร่ร่อนอีกครั้ง…หากนางยังมีชีวิตรอด ครอบครัวก็ต้องใช้ชีวิตแบบ ‘ตายเสียดีกว่าอยู่’ ทว่าหากนางตาย อย่างน้อยก็ปกป้องครอบครัวได้”
ไห่กงกงมองหนิงอี้ก่อนพูดเสียงเบา “ก่อนนางตายได้ขอร้องข้า ไม่ขอสิ่งอื่น ขอแค่เรื่องนี้”
หนิงอี้พูดอย่างเฉยเมย “นั่นคือความจริง”
ขุนนางชราพูด “นอกสี่เขตแดนเลวร้ายเช่นนี้จริงๆ รึ”
หนิงอี้ไม่ได้ตอบในทันที เขาเห็นชายชรามีแววตาสงสัยเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่แน่ใจทั้งสี่เขตแดน ข้าไม่เคยไปทั่วต้าสุย นี่เป็นเรื่องน่าเสียดาย…แต่นอกแดนประจิมเลวร้ายกว่าที่ท่านคิดไว้อีก”
ไห่กงกงเม้มริมฝีปาก “ที่แท้ก็เป็นคนน่าสงสาร”
……
ระหว่างทางไม่มีคำพูดใดอีก
ชั่วครู่ต่อมา
“ถึงแล้ว”
ไห่กงกงพลันพูดขึ้น
สองคนหยุดอยู่หน้าวังหลังหนึ่ง หนิงอี้มีสีหน้าหลากหลายขึ้นมา การตกแต่งวังหลังนี้ค่อนข้างเก่าแก่และเรียบง่าย ไม่มีที่ใดดูยิ่งใหญ่ทรงพลัง กำแพงแดงกระเบื้องขาว ไม่ใช่แค่เก่าแก่เรียบง่าย กระทั่งมีความโบราณนิดๆ
หากไม่ใช่เพราะคำว่า ‘ดอกไม้ขาว’ ที่เขียนไว้อย่างสวยงามสามคำนั้น หนิงอี้ก็ไม่กล้าเชื่อเลยว่า ที่นี่จะเป็นที่อยู่ของพระสนมแดนทักษิณท่านนั้น
“ตำหนักดอกไม้ขาว” หนิงอี้พูดพึมพำก่อนจะยิ้ม “เหตุใดตำหนักดอกไม้ขาวถึงไม่ยิ่งใหญ่เท่าห้องบูรพาเลย”
ไห่กงกงชำเลืองตาเห็นแววตาสงสัยของคนหนุ่มข้างหลังก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม “เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่ พระสนมท่านนั้นแห่งตำหนักดอกไม้ขาวเป็นคนเรียบง่าย ขุนนางรองเข้าไปก็จะเข้าใจเอง”
หนิงอี้ไม่รีบร้อนเข้าไป แต่พูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงจะเดาได้ว่าเป็นพระสนมท่านนี้ แต่ข้าก็ต้องขอคำชี้แนะจากไห่กงกงด้วย รู้หรือไม่ว่าพระสนมตำหนักดอกไม้ขาวเรียกพบข้าด้วยเรื่องใด”
ไห่กงกงส่ายหน้า “เขตสี่ทิศ พระสนมสี่ท่าน ทุกท่านล้วนต่างกัน นอกจากพระมเหสีแล้ว พระสนมท่านนี้คุยง่ายที่สุด นิสัยอ่อนโยนที่สุด ไม่เคยวิวาทกับใคร ขุนนางรองวางใจได้เลย ก่อนหน้านี้พระสนมตำหนักดอกไม้ขาวบ่นอยากพบเจ้ามานานแล้ว”
หนิงอี้ส่ายหน้าก่อนจะพูดเย้ยเยาะตัวเอง “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนดังในเมืองหลวงเลย”
ไห่กงกงหัวเราะ “หากขุนนางรองไม่ใช่ แล้วใครจะใช่ล่ะ”
…….
หนิงอี้ผลักประตูเปิดออก ในตำหนักดอกไม้ขาวไม่ถือว่าทรุดโทรม สะพานเล็กสายน้ำไหลริน ไผ่เขียวชอุ่ม ร้อยวัชพืชพลิ้วไหว พื้นที่กว้างในลานบ้านเป็นโต๊ะไม้จันทน์เขียวกลมเล็ก ห่างไปหนึ่งจั้งมีเก้าอี้พับไผ่เขียววางอยู่
ไอร้อนพวยพุ่ง ไฟอ่อนลอยขึ้นมาจากเตาไฟดินเหนียวสีแดง กาน้ำดินปั้นมีไอร้อนลอยขึ้นมา ผู้สูงศักดิ์ในวังไม่ชอบดื่มสุรา แต่ให้ความสำคัญกับการดื่มชา ระดับใบชาดีไม่ดีล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
หนิงอี้มีใจฝึกบำเพ็ญ ในด้านอื่นนับว่าเป็นคนหยาบ อ่านได้ไม่เยอะ ที่จำได้ก็ไม่เยอะ หลังจากเขาเปิดประตูไม้ก็อึ้งไปเล็กน้อย ข้าวของในลานบ้านวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนเมื่อครู่เพิ่งมีคนทำความสะอาดไป แต่ในลานบ้านกลับไม่มีใครเลย
ตำหนักดอกไม้ขาวก็ยังเป็นตำหนักดอกไม้ขาว ต่อให้ภายนอกจะดูโกโรโกโส แต่ก็ยังเป็นตำหนัก
เสียงสตรีอ่อนหวานดังมาจากในตำหนัก
“ใช่ขุนนางรองหนิงหรือไม่”
หนิงอี้โค้งตัวแสดงความเคารพประตูตำหนัก ก่อนพูดราบเรียบ “หนิงอี้ขอคารวะพระสนม”
คนคนนั้นยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “ดีมาก ข้าก็คิดว่า…คุณชายหนิงอี้จะไม่มาตำหนักดอกไม้ขาวเสียแล้ว”
หนิงอี้พูดด้วยความจนปัญญา “พระสนมพูดเล่นแล้ว”
เขายังคงยืนอยู่หน้าประตูอย่างประหม่า ไม่ได้เดินเข้าไป
“คุณชายหนิงอี้ ไฉนต้องประหม่าด้วย” พระสนมดอกไม้ขาวยังคงใช้คำพูดเคารพ เสียงนางลอยมาจากในตำหนัก พูดอย่างอ่อนหวาน “ในตำหนักไม่มีใคร มีแค่เจ้ากับข้า ไม่มีทหาร ข้าไม่สะดวกจะออกไป”
หนิงอี้ถอนหายใจเงียบๆ ในใจก่อนจะเดินเข้าไป ตอนที่เดินผ่านเตาไฟเล็กนั้น กาน้ำชาดินปั้นสั่นไหวปุดๆๆ เขาเงยหน้ามองไปไม่ไกล
พระสนมดอกไม้ขาวพูดนิ่งๆ “รบกวนคุณชายหยิบกาน้ำมาด้วย ข้างในมีถ้วยชา”
นางนิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อ “บนโต๊ะไม้จันทน์ครามมีผ้าขนหนูสีขาววางไว้อยู่ กามันร้อน”
นางเงียบไปอีก ก่อนจะพูดยิ้มๆ “ลืมไปเลยว่าคุณชายหนิงอี้เป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา ย่อมไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้…ตอนคุณชายหยิบกาน้ำก็เบาหน่อย อย่าดับไฟเตา”
หนิงอี้ทำตามที่นางบอก เดินเข้าไปในตำหนัก เขาพลันได้กลิ่นหอมสดชื่น นี่ไม่ใช่กลิ่นหอมที่ได้จากตัวสตรีแล้วจะเพ้อฝัน แต่เป็นกลิ่นหอมสมุนไพรอ่อนๆ ได้กลิ่นแล้วจะซึมซาบถึงจิตใจ ความคิดปลอดโปร่งขึ้นมาก
เขาเจอฉากกั้นห้องหนึ่ง
ข้างหลังฉากกั้นห้องมีเงาแสงขมุกขมัว มองเห็นเป็นหญิงร่างอรชร มัดผมมวยหันหลังให้หนิงอี้ มองแค่แผ่นหลังอาจมองไม่ออกว่าเป็นสตรี อากัปกิริยาอ่อนช้อยงดงาม
“วางไว้บนถาดรองน้ำชาก็พอ”
พระสนมดอกไม้ขาวยื่นมือมาข้างหนึ่ง ชี้ไปไม่ไกล
ถาดรองน้ำชาที่วาดไม้เซียนกระเรียนขาว ดูมีพลังลึกล้ำแทบจะลึกถึงกระดูก หนิงอี้วางกาน้ำดินปั้นลงบนถาดรองน้ำชาเบาๆ นี่คือ ‘ของเล่น’ ที่คนร่ำรวยเท่านั้นจึงจะเล่นได้ ในวังชอบความพิถีพิถัน ให้ความสำคัญกับทุกอย่าง หากจะสงบใจฝึกวิถีน้ำชาจริงๆ เช่นนั้นเครื่องชา จานรองชาทุกอย่าง จะต้องอยู่ระดับสูงสุด
สิ่งที่หนิงอี้สนใจไม่ใช่ถาดรองน้ำชากระเรียนเซียนโผออกจากทะเลหมอกอันยิ่งใหญ่นั้น แต่เป็นมือขาวราวหิมะที่ยื่นออกมาจากฉากกั้นห้อง
เขาขมวดคิ้ว
อาภรณ์ในวังปกติจะต้องคลุมถึงข้อมือ แต่พระสนมท่านนี้กลับโผล่มาครึ่งแขน
เขามองเงาอ่อนช้อยนั้นในฉากกั้นห้อง เหมือนถอดอาภรณ์ออกครึ่งหนึ่ง เผยเงาแผ่นหลังขยับไปมา
หนิงอี้หรี่ตาลง สายตามองไปที่กระเป๋าเข็มที่วางบนโต๊ะไม้นอกฉากกั้นห้อง ปากกระเป๋าเปิดออก เข็มเงินในนั้นถูกนำออกมาใช้พอประมาณแล้ว
“ข้าพอเข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้าง แม้จะแค่ผิวเผิน ก็ยังดีกว่าไม่รู้เรื่องเลย”
พระสนมท่านนั้นพูดนิ่งๆ “ฝังเข็มเสร็จแล้ว ต้องรออีกสักครู่”
ราวสิบลมหายใจ
หนิงอี้มองเงาในฉากกั้นห้องขยับแขนช้าๆ ดึงอาภรณ์ที่ถอดออกขึ้นมาใหม่ จากนั้นเปิดฉากกั้นห้องช้าๆ
เดิมทีหนิงอี้คิดว่าอีกด้านของฉากกั้นจะเป็นใบหน้าหญิงงดงามที่สุดแห่งยุค เสียงพระสนมดอกไม้ขาวอ่อนหวานมาก การเคลื่อนไหวยังอ่อนช้อยเช่นนี้
แต่เขาไม่นึกเลยว่า
รอยแผลเป็นสองรอยจะตัดสลับกันบนใบหน้าพระสนมตำหนักดอกไม้ขาว ฉีกออกตรงใต้คิ้วและดวงตา อ้อมปากและจมูก ลากยาวไปบนผิวหนัง ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีเรียกได้ว่างดงามที่สุดในแผ่นดินราวกับถูกกระเบื้องกรีด
แม้ว่าคิ้วและดวงตาจะอ่อนโยน
แต่มองไปก็ยังน่าตกใจอยู่ดี
ดูมีความน่ากลัวอยู่สามส่วน
หนิงอี้สังเกตเห็นว่าข้างมือพระสนมมีผ้าขนหนูสีดำวางอยู่
ไม่ได้ปิดไว้
นางไม่กลัวการเผยใบหน้าต่อหน้าตนเลยหรือ
หนิงอี้รีบก้มหน้าลง เดิมทีเขาคิดว่าตนปกปิดความตกใจตอนที่พบไว้อย่างดีแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าทุกอย่างจะอยู่ในสายตาพระสนม นางแค่พูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อให้เจ้าเห็น ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ข้าเป็นคนกรีดเอง”
หนิงอี้พูดเสียงเบา “ข้ากับพระสนม…ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แบบนี้จะเหมาะสมหรือ”
เจ้าตำหนักดอกไม้ขาวลุกขึ้น เขย่ากาน้ำดินปั้นบนถาดวางน้ำชาเบาๆ ก่อนจะเทน้ำชาลงมา ทั้งถาดรองน้ำชาเปลี่ยนสีไปทันที ย้อมเป็นทิวทัศน์ชวนตกใจ ตรงกระเรียนขาว เมฆหมอกลอยขึ้นกลายเป็นผืนสีขาวเงิน เหมือนอยู่ในแดนเซียนจริงๆ หมอกเมฆลอยขึ้น น้ำชาบางๆ ทำให้ทิวทัศน์ถาดรองน้ำชาโดดออกมา
นางรินน้ำชาสองถ้วย
หนิงอี้ดันถ้วยนั้นของตนกลับไปช้าๆ ก่อนจะพูดนิ่งๆ “ข้าไม่ดื่มแล้ว”
“ท่องในยุทธภพ รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ ดังนั้นต้องระวังตัวไว้” พระสนมตำหนักดอกไม้ขาวยื่นมือมาหยิบผ้าปิดหน้า สองมืออ้อมหลังศีรษะไปผูก ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหนิงอี้ เจ้ากับข้าไม่เคยรู้จักกัน ข้าถอดผ้าปิดหน้ามาพบเจ้าถือเป็นการแสดงความจริงใจ น้ำชาถ้วยนี้ หากกังวลว่ามีพิษ ก็ดื่มถ้วยนี้ได้ ถือว่าไว้หน้าข้าสามส่วน”
พูดจบนางก็ดันถ้วยของตนไปหาหนิงอี้
หนิงอี้จนปัญญานิดๆ ได้แต่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบๆ พอเป็นพิธี
พระสนมตำหนักดอกไม้ขาวเห็นดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ ใช้มือเปิดผ้าปิดหน้าแล้วยกถ้วยชาจิบเบาๆ
“นี่เป็นชาแดงต้นแม่พันธุ์ที่เก็บมาจากบนเขาจอมยุทธเมืองหลวง ต้นแม่พันธุ์มีอายุสามพันห้าร้อยปีแล้ว ทุกปีจะเก็บได้แค่เล็กน้อย…” นางเพิ่งพูด หนิงอี้ก็วางถ้วยชาลง นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “พระสนม ข้าว่าท่านเรียกข้าเข้าวังมาคงไม่ใช่เพราะดื่มชากระมัง”
พระสนมตำหนักดอกไม้ขาวอึ้งไปเล็กน้อย
หนิงอี้พูดออกมาตรงๆ “ข้าไม่เข้าใจวิถีชา…แต่ข้าเข้าใจวิชาแพทย์เล็กน้อย”
สีหน้าสตรีผู้นี้กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว
หนิงอี้มองแขนของนาง เมื่อครู่ตอนอยู่หลังฉากกั้น พระสนมตำหนักดอกไม้ขาวฝังเข็มตัวเอง ทุกเข็มแทงไปที่แขน ตามหลัก เข็มเงินไล่ความหนาว ไล่ความชื้นออกจากร่างกายให้เหลือน้อยลง แต่ตอนนี้พระสนมสวมชุดคลุม บนแขนยังปกติเหมือนเดิม ไม่มีรอยเข็มเลย
เข็มเงินจมเข้าไปในร่างกายทั้งหมด
“ในตำหนักดอกไม้ขาวไม่มีคน ก็เพราะพระสนมไม่เชื่อใจใคร ชงชา ฝังเข็ม ล้วนเป็นเช่นนี้”
หญิงที่มาจากแดนทักษิณมองหนิงอี้ ไม่พยักหน้าและไม่ส่ายหน้า
ต้องบอกว่าหลังผ้าดำที่ปิดหน้าก็เห็นเพียงดวงตาปราดเปรียวยิ่งคู่นั้น ในดวงตาซ่อนไอวิญญาณไว้ มีความชุ่มชื้นโดยธรรมชาติสามส่วน ชวนให้เกิดความสงสาร
นี่เป็นการยอมรับโดยนัยอย่างหนึ่ง
หนิงอี้มองหญิงตรงหน้า จิตมรรคของเขาไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
หนิงอี้ถามนิ่งๆ “พระสนมเชื่อใจข้ารึ”
…………………………