เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 250 ตำหนักบูรพา
ตอนที่ 250 ตำหนักบูรพา
ในตำหนักดอกไม้ขาว ฉากกั้นห้องหนึ่ง
สองคนนั่งตรงข้ามกัน
หญิงผูกผ้าปิดหน้ามองหนิงอี้พลางถามนิ่งๆ “คำพูดนี้ น่าจะเป็นข้าถามเจ้ามากกว่า”
เจ้าตำหนักดอกไม้ขาวมองหนิงอี้ “คุณชายเชื่อใจข้ารึ”
หนิงอี้ยิ้ม “ในเมื่อมาแล้ว ก็ย่อมเชื่อ”
“พระสนมมีเรื่องใดหรือ” เมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ หนิงอี้ก็ไม่อ้อมค้อมอีก เขาถามออกไปตรงๆ
วังหลังต้าสุยแบ่งเป็นสี่เขต คนที่อยู่ในหนึ่งตำหนักได้อย่างมั่นคงล้วนไม่ใช่คนธรรมดา
เจ้าตำหนักดอกไม้ขาวมองหนิงอี้พลางพ่นมาห้าคำเรียบๆ
“ค่ายกลมารดาบุตร”
หนิงอี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาจ้องมองสตรีตรงหน้าพลางเงียบไม่พูดอะไร
“ที่นี่ไม่มีไข่มุกเชื่อมฟ้า ไม่มีการสอดแนมใดๆ คุณชายหนิงอี้วางใจได้” พระสนมดอกไม้ขาวเอ่ยเนิบนาบทีละคำ “กรมผู้คุมกฎของแดนทักษิณ ‘กักบริเวณ’ บุตรสาวข้า ตลอดหลายปีมานี้ตำหนักดอกไม้ขาวลองมาหลายวิธีแล้วก็ไม่มีประโยชน์ บุตรชายของซ่งเชวี่ยถูกคลุมถุงชน ส่งไปแดนทักษิณ ตอนนี้ที่ทำลายวิชาผนึกของเจ้ากรมผู้คุมกฎใหญ่แดนทักษิณได้ก็เพราะยันต์…เรื่องนี้ คุณชายไม่ต้องตรวจสอบว่าใครปล่อยข่าว ในวังมีหูมีตานับไม่ถ้วน ข้าดูเหมือนลำพัง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีกลอุบายอะไรเลย”
นางนิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “จะว่าไปก็ต้องขอบคุณคุณชาย แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็คืนอิสระให้ไป๋เถา ต่อให้อิสระนี้จะอยู่ไม่นาน แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันในแดนทักษิณ”
หนิงอี้ได้ยินดังนั้นก็ยังมีสีหน้าตึงเครียด
พระสนมดอกไม้ขาวเอ่ยต่อ “คุณชายวางใจเถอะ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ กรมผู้คุมกฎยังงมอยู่ในโข่ง แม้กระดาษจะห่อไฟไม่ได้ แต่ก็พอปิดข่าวไปได้สักระยะ”
หนิงอี้ถึงได้มีสีหน้าสบายขึ้นเล็กน้อย
เขารู้สึกโล่งอกขึ้นมา
เจ้าคนแซ่ซ่งนั่นเหมือนจะหนีจากแดนทักษิณสำเร็จ ยันต์ที่ตนให้ไปทำลายพันธนาการของกรมผู้คุมกฎแดนทักษิณ จะว่าไปนี่ก็เป็นการหนีตามใจตัวเอง ต่อให้ถูกจับได้ก็น่าจะไม่ถูกลงโทษอะไร
“ข้าเลื่อมใสคุณชายในวิถีแห่งยันต์และค่ายกล”
พระสนมดอกไม้ขาวพูดถึงตรงนี้ก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ข้ามีเงินขาวหมื่นตำลึง ไข่มุกตะวันอีกมากมาย ร่ำรวยมีเงินทอง”
เจ้าตำหนักที่ออกมือฟุ่มเฟือย คำพูดดูใจกว้างมาตลอดนั้น ตอนนี้กลับพูดเช่นนี้ออกมาราวกับไม่รู้จะพูดอย่างไร
หนิงอี้ถามเสียงเบา “พระสนมอยากได้ยันต์จากข้ารึ”
นางพยักหน้า
หนิงอี้ส่ายหน้าก่อนพูดอย่างจริงจัง “ยันต์ ไม่ขาย”
เจ้าตำหนักดอกไม้ขาวหรี่ตาลง
“ข้าไม่รู้จักองค์หญิงท่านนั้นของแดนทักษิณ และไม่ได้วาดยันต์นั่นเพื่อช่วยนาง” หนิงอี้มองพระสนมดอกไม้ขาว “ซ่งอีเหรินเป็นสหายของข้า”
พระสนมดอกไม้ขาวพูดนิ่งๆ “พวกเจ้าเป็นสหายกัน แต่ยันต์นั่นหมายถึงข้อตกลง เขาวิญญาณกับสำนักเต๋าไม่มีคนอยู่ในวัง เอกสารกับเรื่องราวของเด็กสาวแซ่เผยนั่น ข้าเป็นคนส่งคนไปลบออกเอง หากเผยออกไป ตามกฎต้าสุย เรื่องการปลอมแปลงถือมีโทษตัดหัว ไม่มีใครรอดได้ทั้งนั้น”
หนิงอี้ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “พระสนม นี่มันคนละเรื่องกันเลย ซ่งอีเหรินช่วยหลี่ไป๋เถาหนีออกจากแดนทักษิณ นี่เป็นเรื่องหนึ่ง ท่านช่วยเขา นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ระหว่างพวกท่านสองคนต่างหากที่เรียกว่าข้อตกลง ส่วนยันต์นั่นระหว่างข้ากับซ่งอีเหริน…คือน้ำใจ ไม่ใช่การข้อตกลง”
พระสนมดอกไม้ขาวเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
นางมองหนิงอี้พลางพูดขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว”
…….
“พระสนมอยู่ตำหนักดอกไม้ขาว ส่วนในสุดของเมืองหลวงต้าสุย” หนิงอี้มองเจ้าตำหนักดอกไม้ขาวพลางพูดเสียงเบา “ยันต์ค่ายกลมารดาบุตรนี้ ข้าให้ท่านไปแล้วอย่างไร หลายสิบปีนับจากนี้ พระสนมก็ยังมีวิชาคงใบหน้าอ่อนเยาว์ หรือว่าช่วงนี้ท่านไม่ยินยอม ไม่อยากเป็นนกในกรงแล้ว อยากจะดิ้นรนรึ”
พระสนมดอกไม้ขาวเพียงแค่หัวเราะกับคำพูดของหนิงอี้ “หากอยู่ในกรงตลอดชีวิต ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ข้าชอบความสันโดษ เงียบสงบ ที่นี่ดีมาก จะกลัวก็กลัวแต่ว่าที่นี่จะไม่ใช่อย่างที่ข้าหวัง”
นางมองหนิงอี้ “ข้าทำลายใบหน้านี้เพื่อคำว่าบริสุทธิ์ ไม่แก่งแย่งชิงกับใคร ฝ่าบาทไม่ได้มาตำหนักดอกไม้ขาวสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังมีคนจ้องเล่นงานข้า”
หนิงอี้มองพระสนม “แดนบูรพากับประจิมกำลังสู้กัน หากพระสนมไร้ซึ่งกลอุบายเลยจริงๆ เกรงว่าพวกนางคงไม่คิดจ้องเล่นงานตำหนักดอกไม้ขาว”
เรื่องที่เด็กสาวได้ตำหนักดอกไม้ขาวช่วยไว้ ในบางแง่มุมก็ได้ยืนยันศักยภาพของพระสนมดอกไม้ขาวแล้ว ดูเหมือนอยู่เงียบๆ ไม่ให้เป็นที่สนใจ แต่ความจริงค่อนข้างลึกล้ำ
พระสนมดอกไม้ขาวพูดอย่างเฉยชา “หากข้าไม่มีกลอุบายใดเลย ตอนนี้คงตายไปแล้ว เช่นนั้นก็คงไม่ถูกจ้องเล่นงาน ใครจะจ้องเล่นงานคนตายกันเล่า”
หนิงอี้หัวเราะไร้เสียง
“ในตำหนักนี้ ในเมื่อไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ก็ย่อมต้องมีกลอุบายป้องกันตัวไว้บ้าง ข้ามาหาคุณชายอยากได้ยันต์นี้ไม่ใช่อะไร แค่อยากได้คำว่าปลอดภัย ภายภาคหน้ามีไว้ป้องกันตัวบ้างเท่านั้น”
พระสนมดอกไม้ขาวรินชาเองดื่มเอง ก่อนจะพูดต่อ “คุณชายหนิงอี้ไม่ยอมรับข้อตกลง นี่เป็นเรื่องดี ข้าเองก็ไม่ชอบกฎวังที่ดูเย็นชากับประเพณีถือยศถือศักดิ์นั่นเหมือนกัน หากเป็นไปได้ คุณชายมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ตำหนักดอกไม้ขาวก็ช่วยได้ ถือเป็นการแสดงมิตรภาพ เป็นสหายกันนับจากนี้”
หนิงอี้ได้ยินดังนั้นก็หน้านิ่ง แต่ความจริงใจสั่นไหว
ในสี่หมื่นลี้ใต้ฟ้าต้าสุยนี้ มีคนยื่นมือมาก็จับหนึ่งดินแดนได้ อย่างเช่นหานเยวียแห่งแดนบูรพา เจ้าลัทธิแห่งเทือกเขาประจิม แต่อยู่ในเมืองหลวง ในที่ที่งูมังกรหลบซ่อน คนที่มีศักยภาพอย่างแท้จริงมีน้อยยิ่งนัก
หากพระสนมดอกไม้ขาวยินดียืนข้างหลังตน จะเป็นกำลังช่วยได้อย่างมาก
เพียงแต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงมาหาตน
หนิงอี้ครุ่นคิดในทันที ก่อนจะพูดเปรยๆ “พระสนมเหมือนจะป่วยอยู่ใช่หรือไม่”
“ใช่” เจ้าตำหนักดอกไม้ขาวไม่ปฏิเสธ แต่มองหนิงอี้ด้วยแววตาชื่นชม ก่อนจะพูดเสียงเบา “เกี่ยวกับโรคนี้จริงๆ ต้องการยันต์ของคุณชายก็เพราะตำหนักดอกไม้ขาว…”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง
“ช่วงนี้ไม่ค่อยสงบนัก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ลุกขึ้น กดฝ่ามือลงข้างล่าง เหมือนสัมผัสกลไกลึกลับบางอย่างบนโต๊ะ ใต้ถาดวางชาเกิดเสียงดังหนักๆ ทะเลหมอกกระเรียนขาวแยกออก ขยับออกช้าๆ กระดานหมากขาวดำยกขึ้นมาจากใต้โต๊ะ ตัวหมากกลมสีขาวดำ แกะสลักอย่างประณีต พันด้วยด้ายทอง
ไม่ใช่แค่กระดานหมากนั้นที่โผล่ขึ้นมาระหว่างหนิงอี้กับเจ้าตำหนักดอกไม้ขาว
บนสันหลังคาของตำหนักดอกไม้ขาวยังเกิดเสียงแตกหักเบาๆ
เส้นด้ายที่ผูกโยงระหว่างหลังคาขยับช้าๆ เปล่งแสงสีเงินออกมา หนิงอี้เงยหน้าขึ้นถึงพบว่าในตำหนักดอกไม้ขาววางกลไกไว้เต็มไปหมด แขนไม้ตกลงมาจากด้านบน ควบคุมด้วยเส้นด้าย ตอนที่ตกลงมายังแกว่งไปมา หยิบเครื่องชาดินปั้นแล้วก็เปลี่ยนท่าทาง การขยับแข็งทื่อ แต่กลับมั่นคง ขยับช้าๆ นำเครื่องชาไปวางไว้อีกโต๊ะชา
ตอไม้ขนาดเท่าเก้าอี้กลองไม้ขยับไปมาบนพื้น ดูน่าขันราวตุ๊กตาล้มลุก มือสั้นเท้าสั้น ใต้เท้าติดตั้งล้อหมุนพุ่งออกมาจากมุมเงามืดในตำหนัก วิ่งวนสลับกันเป็นวงโคจร
ฉากกั้นถูกพับขึ้น ตุ๊กตาล้มลุกสามสี่ตัวกอดเสาฉากกั้นไว้ กลิ้งไปมา โต๊ะชานั้นที่วางเหยือกชาดินปั้นถูกตุ๊กตาไม้ขยับตำแหน่งอย่างรู้ใจที่สุด
ทุกอย่างผ่านไปเพียงสามสี่ลมหายใจก็เงียบสงบลง
หนิงอี้มองพระสนมดอกไม้ขาว เขาไม่คาดคิดเลยว่าพระสนมท่านนี้จะชำนาญวิชากลไกลับแดนทักษิณ
“ในวังห้ามฝึกบำเพ็ญแสงดารา” นางเอ่ยเรียบๆ “เมื่อก่อนเคยเรียนลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง คุณชายเห็นแล้วคงจะขำ”
หนิงอี้ส่ายหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ
ภาพเมื่อครู่…ดูเหมือนพระสนมดอกไม้ขาวสำแดงกลอุบายคุณภาพต่ำ แต่วิชากลไกลับต้องใช้สมาธิอย่างมาก สมาธิเดียวทำหลายอย่าง ไม่ง่ายเลย หุ่นพวกนั้นที่เพิ่งออกมาแม้จะมีคุณภาพต่ำ แต่จำนวนน่าพอชม อยู่ในวังลึกและยังฝึกได้ถึงขนาดนี้ ต้องบอกว่าพระสนมตำหนักดอกไม้ขาวเป็น ‘หญิงแปลก’ ที่ฉลาดและมีศักยภาพควบคู่กัน
ตำหนักดอกไม้ขาวเงียบลง
ข้างนอกกลับเกิดเสียงดังแว่วมา
“คุณชายหนิงอี้ เล่นหมากเป็นหรือไม่”
พระสนมไม่เงยหน้าขึ้น เหมือนชินแล้ว นางนั่งลงอีกครั้ง
หนิงอี้ครุ่นคิด สายตามองข้ามกำแพงไปนอกตำหนักดอกไม้ขาวไกลๆ
เขาส่ายหน้า “รู้แค่กฎ แต่เล่นไม่เป็น”
พระสนมดอกไม้ขาวเอ่ยราบเรียบ “ทำแบบนี้ก็พอ”
เมื่อเอ่ยจบ…
เสียงนอกกำแพงดังใกล้เข้ามา มีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ
มาถึงหน้าตำหนักดอกไม้ขาว เสียงพูดคุยหัวเราะก็เงียบลงทีละนิด
ดูเหมือนเป็นคนกลุ่มหนึ่งมาตำหนักดอกไม้ขาว
ครู่ต่อมาก็มีคนเคาะประตู
พระสนมดอกไม้ขาวใช้มือข้างหนึ่งหยิบตัวหมากดำกับขาวขึ้นช้าๆ วางแบ่งฝั่งบนกระดานหมากแล้วสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ตุ๊กตาไม้กลิ้งออกมาจากในตำหนัก ยื่นมือสั้นยกขึ้นสูงแล้วดึงเส้นด้าย
ประตูโบราณเรียบง่ายของตำหนักดอกไม้ขาวเปิดออกเข้ามาด้านในช้าๆ
ข้างนอกตำหนักมีเกี้ยวจอดอยู่ พระสนมที่มีเอกลักษณ์สูงศักดิ์ลงมาจากเกี้ยว ด้านข้างปักปิ่นปักผม หงส์เจ็ดหางยาวลงมาถึงพู่ระย้าตรงบ่า นางกำนัลคนหนึ่งรับนางลงมา ใบหน้าเฉยเมย เชิดหน้าขึ้นสูง เหมือนกับเซียนบนสวรรค์มายังโลกมนุษย์ครั้งแรก ไม่เห็นใครในสายตา
นางปรายตามองกำแพงตำหนักดอกไม้ขาวก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น แม้จะไม่พูดสักคำ แต่ในแววตาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม สิ่งนี้แทนคำพูดหมดแล้ว
พระสนมท่านนี้ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักดอกไม้ขาว ไม่ยอมเข้าไป
“ข้าได้ยินว่าในตำหนักดอกไม้ขาวมีคนป่วย เลยปรุงยามาให้เป็นพิเศษ”
นางกำนัลยกแขนของพระสนมท่านนี้ขึ้น เดิมทีก้มหน้าระมัดระวัง พอมาถึงตำหนักดอกไม้ขาวก็มีสีหน้าเป็นธรรมชาติขึ้นสามส่วน
ภายในตำหนักดอกไม้ขาวเงียบสงัด
หญิงที่ยืนอยู่นอกประตูขมวดคิ้วพูด “อะไรกัน ไม่คิดจะเชิญเข้าไปนั่งในตำหนักหน่อยรึ”
หนิงอี้หยิบตัวหมากสีขาวขึ้นมาจากในตะกร้าหมาก
พระสนมดอกไม้ขาววางหมากของตนเรียบร้อยแล้ว
หนิงอี้ถอนหายใจก่อนถามเสียงเบา “ใครกัน”
พระสนมดอกไม้ขาวตอบ “คนรบกวนความสงบของข้า จากตำหนักบูรพา”
……………………………