เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 251 น้ำใจกับข้อตกลง
ตอนที่ 251 น้ำใจกับข้อตกลง
หนึ่งก้าวโยกสามที อรชรอ้อนแอ้น
เจ้าตำหนักบูรพาถูกประคองพาเข้าตำหนักดอกไม้ขาว
นางขมวดคิ้ว เห็นกระดานหมากนั้นในตำหนัก
“หนิงอี้ขอคารวะพระสนมฉี”
หนิงอี้ลุกขึ้น โค้งตัวแสดงความเคารพปกติ
เจ้าตำหนักบูรพาฉีอวี๋ยกมุมปาก แค่นยิ้ม “ข้าไม่นึกเลยว่าในตำหนักดอกไม้ขาวเล็กๆ นี้จะยังมีอีกโลก ขุนนางรองหนิงคนดังในเมืองหลวง มาเล่นหมากดื่มชากับจ้าวเจี่ยวที่นี่รึ”
หนิงอี้ลดสองแขนลงไว้ข้างกาย ตบๆ อาภรณ์ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง และไม่อธิบายอะไร ดูเหมือนเป็นคนนอกเหตุการณ์
จ้าวเจี่ยว
พระสนมดอกไม้ขาวที่ถูกเรียกนามจริงมีใบหน้าเรียบเฉย ไม่เห็นถึงความโกรธเลยแม้แต่น้อย
ฉีอวี๋ยิ้ม “ขุนนางรองหนิง ไม่ใช่มาหาคนที่ห้องบูรพารึ เหตุใดถึงมาอยู่ที่ตำหนักดอกไม้ขาวได้ล่ะ”
หนิงอี้ส่ายหน้า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ “ในวังใหญ่มาก ห้องบูรพากว้างโล่งแต่ไม่มีที่นั่ง นอกจากตำหนักดอกไม้ขาวแล้ว ยังมีที่ใดยินดีเชิญข้าไปดื่มชาอีก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉีอวี๋หน้าแข็งทื่อ จ้าวเจี่ยวแอบหัวเราะ ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล “ตำหนักบูรพากว้างใหญ่ งานยุ่งนัก ยังมีใจปรุงยามาให้ข้าอีก รบกวนท่านพี่จริงๆ”
เจ้าตำหนักบูรพายกมือขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นางกำนัลข้างหลังยกถาดเดินเข้ามาช้าๆ โค้งตัวลง ส่งถ้วยลายครามมาตรงหน้าพระสนมดอกไม้ขาว แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
จ้าวเจี่ยวมองฉีอวี๋แห่งตำหนักบูรพา
นางยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเปิดผ้าปิดหน้าขึ้น ยกถ้วยลายครามขึ้นมาดื่มทั้งหมด
จากนั้นส่งถ้วยลายครามคืน
พระสนมดอกไม้ขาวยิ้มก่อนจะพ่นลมหายใจช้าๆ แล้วส่ายหน้า “ยานี่ขมนิดๆ”
“ยาดีต้องขม ขมหมดหวานก็จะมา” เจ้าตำหนักบูรพามองลงมาจากข้างบน นางกำนัลข้างๆ ยกถาดหยกนั้นถอยกลับไปข้างกายนางช้าๆ ก่อนฉีอวี๋จะมองจ้าวเจี่ยวและเตือนด้วย ‘เจตนาดี’ “ฤดูหนาวเปลี่ยนผ่านสู่ใบไม้ผลิ ที่นี่มีลมหนาว ระวังความเย็นด้วย จะป่วยเรื้อรังได้”
พระสนมดอกไม้ขาวพูดนิ่งๆ “ขอบใจ”
กลุ่มคนกลับออกไป
ตรงไปตรงมา ไม่มีการอ้อมค้อม
มาเร็ว ไปก็เร็ว
ประตูใหญ่ปิดลง
หนิงอี้ได้ยินเสียงถ้วยลายครามแตกดังมาจากนอกกำแพง
เขามีสีหน้าหลากหลายขึ้นมานิดๆ
หนิงอี้พูดด้วยความอึดอัดใจ “คนมาไม่หวังดี…ท่านดื่มยาจากตำหนักบูรพาไปแบบนี้เลยรึ”
จ้าวเจี่ยวมองหนิงอี้ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “แล้วถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ”
พระสนมดอกไม้ขาวอ่านความคิดหนิงอี้ออก นางเอ่ยเรียบๆ “หากไม่ดื่มก็ทำให้นางหยุดพูดไม่ได้ ผลักกันไปๆ มาๆ ตอนนั้นก็คงจะไม่เงียบสงบเช่นนี้”
หนิงอี้ถึงกับพูดไม่ออก คิดอยู่นานมากก็ได้แต่เงียบ
ภายในใจคิดว่าพระสนมท่านนี้ไม่ใช่แค่คนแปลก แต่ยังเป็นคนประหลาด ชอบความสงบ พวกคนจากตำหนักบูรพาตีกลองตีฆ้องกันมาเสียงดัง ส่งยาให้ถ้วยหนึ่ง ไม่พูดไม่จาก็ดื่มไปเลย
รับแขก ส่งแขก
ในช่วงเวลานั้นไหลลื่นเหมือนสายน้ำ รวมกับความตรงไปตรงมาในคำพูดแล้ว เจ้าตำหนักบูรพามีเจตนาจะยั่วยุ แต่ก็หาช่องโหว่ไม่พบ
โกรธจนออกจากตำหนักดอกไม้ขาวได้ก็ปาถ้วยลายครามทิ้ง
หนิงอี้ถามอย่างจริงจัง “ถ้ายานี่ไม่ปลอดภัยจะทำอย่างไร”
พระสนมดอกไม้ขาวไม่ได้ตอบในทันที แต่ยื่นมือมาข้างหนึ่ง รูดแขนเสื้อขึ้นช้าๆ รูดจนมาถึงข้างหัวไหล่ เผยแขนขาวเนียนสมบูรณ์แบบ
นางวางแขนไว้บนกระดานหมากเบาๆ
ตอนนี้แขนยังคงขาวสว่างดุจดอกบัว อีกมือของพระสนมจ้าวเจี่ยว นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยขัดกัน อีกสามนิ้วที่เหลือกดลงช้าๆ แบ่งกันกดที่ ‘จุดไท่ยวน’ ‘จุดต้าหลิง’ และจุดเสินเหมิน เหมือนไม่ได้ใช้แรงเท่าไร แต่ก็เกิดเสียงดังกึกเบาๆ ทั้งแขนพลันเกิดจุดแดงเต็มไปหมด
หนิงอี้เห็นแล้วรู้สึกขนหัวลุกนิดๆ
“คุณชายหนิงอี้”
พระสนมดอกไม้ขาวเห็นหนิงอี้ทำหน้าอึ้งไปก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะถอนเข็มแล้ว ช่วยข้ากดไว้หน่อย”
สองคนสบตากัน แขนของพระสนมดอกไม้ขาววางไว้ตรงหน้าหนิงอี้ สามนิ้วมือนางกดสามจุดชีพจร ขึ้นสีแดงเล็กน้อย พระสนมพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ไม่ต้องออกแรงกด ไม่ต้องใช้แสงดารา กดเบาๆ ห้ามเลือดไว้ก็พอ”
ในที่สุดหนิงอี้ก็ได้สติกลับมา
พระสนมจ้าวเจี่ยวปล่อยสามนิ้วที่กดบนแขน
ความคิดแรกคือชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน…ความคิดที่สองคือแบบนี้จะถือว่าเสียมารยาทกับพระสนมดอกไม้ขาวหรือไม่
แต่หนิงอี้ก็ยังยื่นมือออกไป สามนิ้วมือหุบไปในแขนเสื้อตน กดสามจุดชีพจรของจ้าวเจี่ยวผ่านผ้า
จุดไท่ยวน จุดต้าหลิง จุดเสินเหมิน
ชั่วอึดใจเดียว ข้อมือก็แดงขึ้น
อีกมือของพระสนมดอกไม้ขาวเริ่มถอนเข็ม
ในที่สุดหนิงอี้ก็เข้าใจว่าที่พระสนมทำในฉากกั้นห้องก่อนหน้านี้เพื่ออะไร
เพื่อยาถ้วยนี้ของตำหนักบูรพา
เข็มเงินเข้าไปในกาย ดึงออกมาอย่างประณีต แต่กลับไม่มีเลือดเลย วิจิตรงดงาม แต่กลับโดนลมแล้วเกิดหมอกขาวขึ้น ทุกเข็มเหมือนไส้ตะเกียง ชั่วครู่เดียวพระสนมดอกไม้ขาวก็ปักไปในกระเป๋าเข็ม กลอุบายพวกนี้ หนิงอี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
เขามองแววตาของพระสนมดอกไม้ขาวด้วยความแปลกประหลาดสามส่วน
อยู่ในวังลึกมานาน คงจะมีความสามารถไม่น้อย
“วิชาแปลกแดนทักษิณ ไม่เท่าไรหรอก” จ้าวเจี่ยวเอ่ยเรียบๆ “หลายปีก่อน แดนทักษิณมีสำนักเก่าแก่หนึ่งที่ฝึกฝนตำราแปลกโดยเฉพาะ ชื่อว่าตำหนักทมิฬ ต่อมาย้ายออกไปนอกสมุทร เล่าลือว่าออกไปจากที่นี่พร้อมกับวิมานเทพ ไม่รู้ว่าคุณชายเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ก่อนพูดว่า “วิชาเข็มของพระสนมและยังมีวิชากลไกมาจากตำหนักทมิฬรึ”
“ตำหนักทมิฬหายสาบสูญไป แต่ก็ยังเหลือมรดกไว้ส่วนหนึ่ง เหมือนกับที่ใต้ฟ้าต้าสุยฝากมรดกอันน้อยยิ่งไว้ ท่านพ่อข้าเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของตำหนักทมิฬ ตอนเด็กเขาสอนวิชาแปลกให้กับข้า ข้าจำมาตั้งแต่ตอนนั้น จดลงในบันทึก ตอนเข้าวังมาว่างๆ ก็จะศึกษาวิชาตำหนักทมิฬ”
พระสนมดอกไม้ขาวเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดเย้ยเยาะตัวเอง “ไม่มีอาจารย์ ย่อมไม่ถือว่าเป็นผู้สืบทอดถูกต้อง ได้แต่เรียกว่าลุยน้ำข้ามแม่น้ำ ความจริงมันก็ฆ่าเวลาได้ตอนว่างๆ ต่อมา…ข้าเผาตำราที่บันทึกวิชาตำหนักทมิฬเล่มนั้น เพื่อไม่ให้ตกถึงมือคนในวัง”
ระหว่างพูดอยู่นั้น อีกมือของนางเร็วปานสายฟ้า กดบนผิวหนัง ปลายเข็มเงินถูกกดออกจากผิวหนัง จากนั้นเป็นหัวเข็ม ดึงเข็ม ถอนเข็ม ไหลลื่นดุจสายน้ำ
เชื่อมกันเป็นเส้น มีเป็นร้อยเข็มซ่อนอยู่ในร่างกาย
หมอกขาวพวกนี้เป็นยาของตำหนักบูรพาที่เพิ่งดื่มไป ชั่วอึดใจเดียวก็ระเหยเป็นควัน
คบคนต้องระวังคน
หนิงอี้ได้เห็นฝีมือของพระสนมดอกไม้ขาวท่านนี้อย่างแท้จริงแล้ว
จ้าวเจี่ยวพูดราบเรียบ “ทีนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าเหตุใดในตำหนักดอกไม้ขาวข้าถึงไม่มีคน ข้าไม่เชื่อใจใคร เพียงแค่มันค่อนข้าง…ที่สำคัญกว่านั้นคือข้าใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวได้เป็นอย่างดี ข้าเดาใจคนไม่ได้ และไม่อยากเดาใจคน สิ่งของในกลไกตำหนักทมิฬพวกนี้ พวกมันไม่หลอกข้า ไม่ปิดบังข้า และยิ่งไม่ทำร้ายข้า”
หนิงอี้ปล่อยมือที่กดข้อมือสามจุดชีพจรออกช้าๆ
พระสนมดอกไม้ขาววางแขนนั้นลงช้าๆ
“ก่อนหน้านี้คุณชายหนิงอี้บอกว่าไม่ทำข้อตกลง ทำแต่น้ำใจ”
นางพูดเสียงเบา “ข้าไม่มีเรื่องน้ำใจอะไรจะพูด แต่ข้ารู้อย่างหนึ่ง…ศัตรูของศัตรู คือสหาย”
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาในที่สุด
“คุณชายหนิงอี้เข้าวังครั้งนี้เพื่อมาหาสวีชิงเยี่ยนที่ห้องบูรพา” พระสนมดอกไม้ขาวพูดนิ่งๆ “เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ทุกคนรู้”
“สวีชิงเยี่ยนฝึกฝนกับผู้มีคุณธรรมสูงส่งแห่งเขาวิญญาณ นี่เป็นเรื่องดี” พระสนมดอกไม้ขาวมองหนิงอี้ด้วยรอยยิ้ม “ฆราวาสเขาเสียวซานอยู่จะไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง ‘เมฆลมแปรปรวน’ ในวังนี้ พูดตรงๆ คือการต่อสู้ของหญิงกลุ่มหนึ่ง แผนการและเล่ห์เหลี่ยมพวกนั้น สำหรับยอดผู้บำเพ็ญแล้วเป็นเรื่องไร้สาระและน่าขำ”
หนิงอี้พยักหน้าเบาๆ
“แต่ฆราวาสเขาเสียวซานจะปกป้องนางไปได้ทั้งชีวิตหรือ แม่นางสวีเป็นเพียงคนธรรมดา สุราพิษ ชาพิษ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในวังนี้คือใจคน หากมีคนคิดจะทำร้ายนาง ต้องทำอย่างไรถึงจะรอดไปได้” พระสนมดอกไม้ขาวพูดเสียงเบา “อย่างเช่น…แม่ชีนั่นแห่งอารามน้ำค้าง”
จิ้งไป๋
หนิงอี้กำหมัดแน่น
“คุณชายหนิงอี้ ข้ารู้อะไรมากกว่าที่เจ้าคิดไว้” จ้าวเจี่ยวจิบน้ำชาเบาๆ “ยันต์นี่ ข้าไม่รีบใช้ ดอกไม้ขาวยินดีจะผูกมิตรกับคุณชาย”
หนิงอี้เข้าสู่ห้วงความคิด
เขายกถ้วยชาตามพระสนมดอกไม้ขาวตามจิตใต้สำนึก แต่ก็พบว่าในถ้วยชาตนว่างเปล่า
พระสนมดอกไม้ขาวเห็นดังนั้นก็แอบขำ
แขนไม้ที่ห้อยอยู่บนเพดานไกลๆ สั่นไหวทีหนึ่งเหมือนมนุษย์ ก่อนจะโคลงเคลงหยิบเหยือกชาดินปั้นขึ้น ก่อนหน้านี้เหยือกเล็กถูกวางไว้อีกโต๊ะ นั่นคือโต๊ะเตาที่จ้าวเจี่ยวตั้งใจทำขึ้น ไฟอ่อนๆ ลุกอยู่ใต้โต๊ะ อุ่นอยู่ตลอด ทำให้น้ำชาในเหยือกยังคงร้อน
ปากเหยือกเอียงลงช้าๆ รินน้ำชาเต็มแปดส่วน
จากนั้นแขนตำหนักทมิฬนั้นก็ถือเหยือกชาดินปั้นกลับไปที่โต๊ะเตา
“ข้าอยู่ในเมืองหลวงมาครึ่งปีแล้ว” หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้วก่อนจะพูดเสียงเบาด้วยความขมขื่น “ถึงจะคิดไว้ว่าไม่อยากมีปัญหา แต่ข้าก็ยังก่อปัญหามากมาย สร้างปัญหาให้คนรอบข้างหลายอย่าง”
พระสนมดอกไม้ขาวอึ้งไปเล็กน้อย
หนิงอี้ยิ้มแห้งๆ “หากข้าไม่ล่วงเกินแดนบูรพา บางทีสวีชิงเยี่ยนก็อาจจะไม่ถูกตำหนักบูรพากดขี่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าติดค้างนาง”
พระสนมจ้าวเจี่ยวเงียบลง
“ข้าจะส่งยันต์มาที่ตำหนักดอกไม้ขาวเย็นๆ หน่อย”
หนิงอี้ลุกขึ้น ประสานสองมือคารวะและพูดอย่างจริงจัง “หากเป็นไปได้ ก็ขอให้ช่วยดูแลด้วย”
พระสนมดอกไม้ขาวลุกขึ้นเช่นกัน นางโค้งตัวเล็กน้อย ตอนนี้ได้ยันต์ตามที่หวังแล้ว แต่ใบหน้ากลับไม่เห็นความดีใจแม้แต่น้อย นางพูดเบาๆ “เช่นนั้นก็ตามนี้…”
หนิงอี้ลุกขึ้นจะไป เดินไปได้ราวสามสี่ก้าว
“เดี๋ยวก่อน”
พระสนมดอกไม้ขาวมองหนิงอี้พลางถามคำถามนั้นในใจ
“เจ้ากับแม่นางสวีคนนั้นเป็นอะไรกัน หรือคงต้องถามว่า เจ้าทำแบบนี้กับทุกคนหรือไม่”
หนิงอี้ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้หันกลับมา
เขายิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “เมื่อก่อนข้าคิดว่าข้าช่วยชีวิตนาง ตอนนี้ดูแล้ว นางช่วยชีวิตข้าต่างหาก ข้าไม่ใช่คนดีเลิศอะไร จะไปดูแลคนอื่นเฉยๆ ได้อย่างไร ข้ากับแม่นางสวีไม่เรียกว่าความสัมพันธ์ เพราะความสัมพันธ์พวกนี้ไม่สำคัญ…อีกอย่าง ยันต์นี้ไม่นับว่าเป็นอะไรสำหรับข้า แต่กลับทำให้นางลดศัตรูที่ซ่อนอยู่ในเงามืดไปได้คนหนึ่ง พระสนม รู้ว่าข้อตกลงนี้คุ้มค่ากับท่านและข้ามากก็พอแล้วไม่ใช่รึ”
…………………………