เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 252 ภูเขาสน
ตอนที่ 252 ภูเขาสน
หนิงอี้ออกจากตำหนักดอกไม้ขาว เดินไปได้ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกเบาๆ
“โอ้…ขุนนางรอง บังเอิญจังเลย”
หนิงอี้หมุนตัวกลับมา ไม่เหนือความคาดหมาย เขาเจอนางกำนัลอยู่ไกลๆ นางก้มหน้าลงประคองผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งเดินมาช้าๆ
พระสนมตำหนักบูรพาฉีอวี๋ยิ้มบางๆ พูดราบเรียบ “ข้ามาเดินเล่นที่นี่ ไม่นึกเลยว่าขุนนางรองดื่มชาในตำหนักดอกไม้ขาวแล้วจะมาเจอกันอีก”
ครั้งนี้หนิงอี้ไม่เห็นกองกำลังใหญ่ที่อยู่หน้าประตูตำหนักดอกไม้ขาวเมื่อครู่ ดูท่าพระสนมตำหนักบูรพาคนนี้คงจะแค่พากองกำลังกลุ่มใหญ่มาส่งถ้วยยาที่ตำหนักดอกไม้ขาวเท่านั้น
คนมากมายมารวมกัน ประกอบกับความรู้สึกกดดันอันสูงศักดิ์นั้นที่ฉีอวี๋มีติดตัว…
ยาถ้วยนั้น นางไม่ใช่แค่จะเอามาให้ แต่ยังจะดูจ้าวเจี่ยวดื่มด้วยตนเอง
ตอนนี้กองกำลังสลายไปแล้ว สีหน้านางในตอนนี้ดูเหมือนมาเดินเล่นจริงๆ แต่หนิงอี้ไม่เชื่อเลยว่าโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ ตนเพิ่งออกจากตำหนักดอกไม้ขาวก็เจอกับเจ้าตำหนักบูรพาคนนี้
เขาป้องมือตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีความบังเอิญก็เขียนแต่งเป็นหนังสือไม่ได้”
พระสนมตำหนักบูรพาเลิกคิ้วขึ้น “ก่อนหน้านี้ขุนนางรองบอกว่าต้องรอคนที่ห้องบูรพา แล้วต้องรอนานเท่าไร”
หนิงอี้ตอบ “รอแม่นางสวีกลับตำหนัก คงราวๆ ช่วงเย็น”
พระสนมฉีอวี๋เงยหน้าขึ้นมองสีท้องฟ้าก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ขุนนางรองบอกว่าไม่มีใครยินดีเชิญเจ้าเข้าตำหนักไปดื่มชา ตำหนักดอกไม้ขาวของจ้าวเจี่ยวเชิญ ตำหนักบูรพาข้าย่อมต้องเชิญเช่นกัน”
หนิงอี้หัวเราะ “พระสนมอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย ข้าไม่กล้าดื่มชาของตำหนักบูรพาหรอก”
ฉีอวี๋หรี่ตาลง
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักบูรพายิ่งใหญ่ หูตาเชื่อมฟ้า ข้าเป็นเพียงสามัญชน จะเข้าไปดื่มชาในตำหนักบูรพาได้อย่างไร หากพระสนมมีเรื่องใด ก็พูดที่นี่เถอะ แซ่หนิงไม่อยากรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ในการเดินเล่นของท่าน”
พระสนมตำหนักบูรพาแค่นยิ้มก่อนจะโบกมือไล่นางกำนัลคนนั้นไป นางกำนัลโค้งตัวรับคำสั่งแล้วปล่อยมือที่ประคองพระสนม ก้มหน้าลงเดินไปทีละก้าวอย่างระมัดระวัง
ลึกข้างในวังมีไข่มุกเชื่อมฟ้าลอยอยู่ ขยับไปมาช้าๆ เหมือนองครักษ์เกราะทอง ไข่มุกเชื่อมฟ้าพวกนี้ใช้แสงดารากับพลังต้นกำเนิดทำงานค่ายกลข้างใน จะวนเวียนไปมาอยู่ตลอดเวลา…นี่คือสมบัติที่ละเอียดและอยู่ได้นานกว่าดวงตาของคน มีเพียงพื้นที่ใจกลางสุดของต้าสุยเท่านั้นที่จะฟุ่มเฟือยใช้ไข่มุกเช่นนี้
“หนิงอี้ ข้าไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็น ‘คนดัง’ ผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงจริงๆ”
พระสนมตำหนักบูรพามองหนิงอี้ สีหน้าไม่มีการเหยียดหรือมีเจตนาร้ายเลย นางเกิดมามีใบหน้างดงามยิ่ง บางครั้งไม่พูดไม่จาก็ดูเย็นชาน่าเกรงขาม ดังนั้นในวังจึงมีคำเล่าลือกันทั่วว่าพระสนมตำหนักบูรพาท่านนี้อารมณ์ร้าย ด่าว่าคนเป็นประจำ
แต่ในแววตานางตอนนี้มีความชื่นชมอยู่บางๆ
หนิงอี้ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาพูดเสียงเบา “คนดังคำนี้ สำหรับข้าแล้วไม่ใช่คำยกย่อง ตอนลั่วฉางเซิงนั่งอันดับหนึ่งรายนามดารา ไม่มีใครบอกว่าเขาเป็นคนดังเลย เหมือนว่านี่เป็นเรื่องสมเหตุผล ความจริงอันดับหนึ่งรายนามดาราเพียงแค่เสริมความแกร่งของเขา หอบัวจัดรายนามนี้ขึ้น หากคุณชายหยวนฉุนเป็นอาจารย์ของข้า ข้าจะต้องถอดนามของข้าออกแน่…ถึงอย่างไร ยิ่งเป็นคนดังก็ยิ่งมีเรื่องเยอะ”
“อย่างเช่นตำหนักดอกไม้ขาวเรียกไปดื่มชา หรือตำหนักบูรพาเรียกมาคุย” หนิงอี้ยักไหล่ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “หากพระสนมไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่ เช่นนั้นก็อย่าพูด ความสัมพันธ์ของข้ากับแดนบูรพาไม่ดีมาตลอด หลี่ไป๋จิงเกือบจะฆ่าข้าบนที่ราบสูงภูเขาแดง เรื่องนี้ท่านไม่เอ่ยข้าไม่เอ่ย ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
พระสนมตำหนักบูรพาแค่ยิ้ม ไม่ได้สนใจบุญคุณความแค้นส่วนตัวที่หนิงอี้เพิ่งเอ่ยถึง
“ข้าว่าเจ้าน่าสนใจนะ”
ฉีอวี๋มองหนิงอี้ “หนิงอี้ ใต้หล้านี้ล้วนเป็นผืนดินของราชา จากนี้บุตรชายข้าจะนั่งตำแหน่งใด เจ้าน่าจะรู้แก่ใจดี”
หนิงอี้ยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองไข่มุกเชื่อมฟ้านั้น ก่อนยื่นมือไปชี้ไข่มุกนั่น “แซ่หนิงโง่เขลา ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร พระสนมช่วยอธิบายให้เข้าใจอีกหน่อยได้หรือไม่”
ฉีอวี๋ถึงกับสะอึก
นางยิ้มด้วยความโกรธ “หนิงอี้ เรื่องของเจ้ากับแดนบูรพายังพอคุยกันได้อยู่นะ”
หนิงอี้มองพระสนมตำหนักบูรพาพลางพูดด้วยความตกใจ “พระสนมจะบอกว่าหากเอาของมาชดใช้โทษให้มากพอ ก็จะจบบุญคุณความแค้นนี้รึ”
ฉีอวี๋แค่มองหนิงอี้นิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร
มั่นใจได้ว่าคำพูดนี้ไม่มีกับดัก
ครู่ต่อมานางก็เอ่ยอย่างเฉยเมย “นั่นก็ต้องดูว่าเป็นของสิ่งใด มีความจริงใจพอหรือไม่”
หนิงอี้หลุดหัวเราะ “กระบี่โบราณที่สืบทอดกันมาพันปี อาวุธประจำเขาศักดิ์สิทธิ์ จริงใจพอหรือไม่”
พระสนมตำหนักบูรพามองร่มกระดาษมันตรงเอวหนิงอี้
พินิจเหมันต์แห่งเขาสู่ซาน คุณชายเจ้าหรุยหลอมขึ้นด้วยตัวเอง คุณภาพแข็งทนทานยิ่ง เทพภูตผียังต้านไว้ไม่อยู่ เป็นกระบี่ประจำเขาสู่ซาน สืบทอดกันมาหลายร้อยปี
รอเดี๋ยว…เมื่อครู่หนิงอี้บอกว่าสืบทอดกันมาพันปีหรือ
ฉีอวี๋ขมวดคิ้ว
หนิงอี้ยิ้มก่อนจะพูดต่อ “หากพระสนมยินดีนำกระบี่โบราณอีกสามเล่มของเขาเชียงซาน ซึ่งคือมโหฬาร คัมภีร์สงบและไร้อักษรมาให้ บุญคุณความแค้นนี้ก็ใช่ว่าจะจบลงไม่ได้ ข้าเป็นคนใจกว้าง ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว”
ฉีอวี๋ยิ้ม
นางมองหนิงอี้ “หนิงอี้ เจ้าดีมาก เหตุใดเจ้าถึงได้เพ้อฝันอะไรเช่นนี้”
หนิงอี้ยิ้มเช่นกัน “พระสนม คำพูดนี้น่าจะเป็นข้าพูดกับท่านมากกว่า”
เขาพลันกลับมามีสีหน้าไร้ความรู้สึก “ตำหนักบูรพาไม่เกี่ยวข้องกับข้า สตรีทั้งสี่บนเวที พวกท่านก็ค่อยๆ ร้องรำทำเพลงกันไปเถอะ ไฉนต้องมาดึงข้าไปเกี่ยวด้วย พระสนมฉีมือใหญ่กว่านี้ก็ยื่นไม่ถึงหัวข้าหรอก ไม่จำเป็นต้องพูดขู่กัน ส่วนบุญคุณความแค้นระหว่างบุตรชายท่านกับข้า ตอนนั้นเขาวางแผนจะฆ่าข้า…บัญชีนี้ ข้าจะค่อยๆ เก็บกับเขา วันนี้ขอพูดให้ชัดเลย มันไม่มีทางดีกันได้แล้ว”
พระสนมฉีพูดอย่างเย็นชา “คุณชายหนิงอี้คิดบัญชีเก่ง มีความสามารถ ข้าเป็นเพียงหญิงอ่อนแอไร้กำลัง ทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่ข้าได้ยินมาว่าในห้องบูรพามีหญิงแซ่สวีใบหน้างดงามยิ่งคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่งเกิดมางดงามนั่นเป็นความสามารถ แต่หากงดงามมากเกินไปนั่นจะเป็นหายนะ”
หนิงอี้มองพระสนมตำหนักบูรพาก่อนพูดทีละคำด้วยใบหน้าราบเรียบ “อยากรู้เหมือนกันว่าพระสนมมีฝีมือเป็นอย่างไร”
ฉีอวี๋ยิ้มและส่ายหน้า “คุณชายหนิงอี้ เจ้าพูดเล่นอีกแล้ว ข้าจะไปมีฝีมืออะไรได้ ผู้มีคุณธรรมสูงส่งเขาวิญญาณอยู่ข้างกายแม่นางสวี ไม่มีใครโง่หาเรื่องใส่ตัวหรอก เพียงแต่เรื่องในวัง เมฆลมคาดเดาได้ยาก วันนี้แม่นางสวีคิดถึงคุณชายหนิงมิลืมเลือน พรุ่งนี้ วันมะรืน…ปีหน้า ปีถัดๆ ไป จะยังเป็นเช่นนี้หรือไม่”
หนิงอี้เงียบ
“คุณชายลองดูสิ รอถึงเย็นวันนี้ ดูสิว่าแม่นางสวีคนนั้นจะกลับวังหรือไม่”
ฉีอวี๋ยิ้ม นางปรบมือเบาๆ หลังได้ยินเสียงปรบมือ นางกำนัลที่อยู่ไกลออกไปก็ย่ำเท้าก้มหน้าโค้งตัวเข้ามา ประคองแขนนางไว้ ก่อนสองคนจะกลับออกไปช้าๆ
หนิงอี้ขมวดคิ้ว
เขามองไปทางห้องบูรพา
นี่ก็สายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
……
สายแล้ว ตะวันจะลับภูเขาแล้ว
หญิงวัยแรกแย้มสวมหมวก แบกคันศรยาวและกล่องธนู ตอนนี้ขึ้นไปบนยอดเขาเล็ก
เทือกเขาทอดตัวกันเป็นแนวยาว หมอกอบอวล เห็นแสงตะวันยามโพล้เพล้ลับลงมาช้าๆ แต่หาทิศทางที่แน่นอนไม่พบ
นี่เป็นวันสุดท้ายของการฝึกล่าในภูเขาสน ข้างกายหญิงสวมหมวกเป็นกวางบาดเจ็บนอนอยู่ตัวหนึ่ง ขาเล็กถูกฟัน นอนบนพื้นไร้เรี่ยวแรง ตัวสั่น เลือดไหลนองมาจากบาดแผล
ตรงคอกวางห้อยเชือกแดง บนนั้นมีกระดิ่งเล็ก
วันนี้เป็นวันจบการศึกษาของนาง ฆราวาสให้บททดสอบกับนางคือเก็บกระดิ่งเล็กอันนี้
นางไม่อยากฆ่าสัตว์ และกวางตัวนี้ยังเร็วมากอีก
หากไม่ใช่เพื่อรักษาชีวิตมัน นางก็คงไม่ต้องไล่ตามมาจนถึงที่นี่ จนหลงทาง
วันนี้เป็นวันสุดท้าย นางจะต้องเข้าภูเขาสนเพียงลำพัง จากนั้นก็ออกจากภูเขาสน
ความจริงเป็นเรื่องไม่ยากเลย
ต่อให้ฆราวาสเขาเสียวซานจะไม่อยู่ข้างนาง นางก็ไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอะไร
เพราะสวีชิงเยี่ยนรู้ว่าผู้มีคุณธรรมสูงส่งเขาวิญญาณท่านนี้แอบมองตนอยู่ลับๆ
ที่นี่เป็นลานล่าสัตว์ภูเขาสน ตนไม่มีทางเป็นอะไรไปได้
ภูเขาสนเป็นที่ล่าสัตว์เพื่อความบันเทิงของเหล่าราชนิกุล…ที่นี่ไม่ได้แค่มีกวาง กวางอูฐ แต่ยังมีสัตว์ปีศาจที่ถูกยอดผู้บำเพ็ญขังไว้ที่นี่ สัตว์ปีศาจพวกนี้อยู่ส่วนลึกของภูเขาสน ราชนิกุลที่มีพลังบำเพ็ญสูงส่งที่แท้จริงย่อมไม่อยากล่าสัตว์ป่าปกติในภูเขาสน ต่อให้เจอเสือ ถ้าไม่มีสายเลือดเผ่าปีศาจ แรงเยอะเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ธนูดอกเดียวทะลุหัวตาย ต่อให้ทิ้งธนู แค่ใช้แสงดารา ฝ่ามือเดียวก็ตบเสือกระดูกแหลกทั้งตัวได้
สวีชิงเยี่ยนเคยอ่านแผนที่ภูเขาสนมาก่อน นางรู้ดีว่าจุดที่ตนอยู่ไม่ไกลจากรอบนอกของลานล่าสัตว์ภูเขาสน แม้แต่สัตว์ป่าขนาดใหญ่ยังไม่มี จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสัตว์ปีศาจ
สวีชิงเยี่ยนย่อตัวลง ดึงกระดิ่งเล็กที่สั่นไหวและส่งเสียงไม่หยุดตรงคอกวางนั้นออกมา “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”
กวางป่าภูเขาสนที่ตัวสั่นนั้นหูใหญ่กีบกว้าง เมื่อเห็นเด็กสาวถอดผ้าปิดหน้าออกก็อึ้งไปทันที เหมือนลืมความเจ็บปวด ในดวงตาสีดำนั้นสะท้อนเป็นแววตาใสสะอาดของเด็กสาว
สวีชิงเยี่ยนจุดกองไฟเล็กบนภูเขา
นางฉีกแขนเสื้อ ลองใช้วิธีที่ผู้มีคุณธรรมสูงส่งแห่งเขาวิญญาณท่านนั้นสอนตน ใช้แสงสว่างความเป็นเทพอ่อนๆ ลบเลือดและบาดแผลของกวางตัวนี้…ผลลัพธ์ดีมาก กวางตัวนี้โซเซเล็กน้อย สี่ขาเรียวเล็กสั่นไหวพลางทรงตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะวิ่งวนรอบเด็กสาวเร็วๆ เห็นอยู่ชัดว่าไปได้แล้ว แต่กลับโผเข้าไปในอ้อมกอดสวีชิงเยี่ยน
ส่งเสียงร้องดังบนภูเขาเล็ก
สวีชิงเยี่ยนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางขยี้หัวกวาง ก่อนจะนำหล่อแกออกมาจากกระเป๋าเอว “ภูเขาสนหมอกหนา หลงทางได้ง่าย รอข้าหาทิศทางที่แน่ชัดก่อนก็จะไปจากที่นี่ได้”
กวางที่ตอนแรกทำหน้างง ใบหูตกลง ตอนนี้พลันหูดีดขึ้นมา มองเด็กสาว สีหน้าเชื่องเปลี่ยนเป็นปั้นยากขึ้นมา ก่อนจะแลบลิ้นสีแดง เลียแผลตรงปลายขา แสร้งทำเป็นร้องอ้อนวอน
กวางฉลาด
สวีชิงเยี่ยนพูดไม่ออก ก่อนเอ่ยเสียงนุ่มนวลเหมือนสายลมกลางหุบเขา กระทบน้ำแร่ “ข้ายิงธนูใส่เจ้า ถือว่าติดค้างเจ้า…หากเจ้าไม่อยากอยู่ในภูเขาสนอีก ข้าจะพาเจ้ากลับห้องบูรพา ดีหรือไม่”
………………………..