เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 253 หลีเม่ย
ตอนที่ 253 หลีเม่ย
กวางป่านั่นเงยหน้าขึ้นส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ เอาหัวถูกับหน้าอกนุ่มของเด็กสาวไปมา ดูชอบมาก…มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเคยถูกยิงธนูมา
บนเขาเล็ก เงาหมอกหนาแน่น
เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กสาวดังก้องอยู่กลางหมอก
ดวงตะวันลับภูเขาแล้ว ฉากยามราตรีมาเยือน
“หมอกป่าสนน่าจะเปิดได้ด้วยมนตร์ใจพิสุทธิ์” ข้างกองไฟเล็ก สวีชิงเยี่ยนคลึงระหว่างคิ้วตนเอง หมวกนั่นถูกถอดออกวางไว้ข้างมือตามอำเภอใจแล้ว สายลมอ่อนพัดผ่าน เปลวเพลิงวูบไหว นางวางหล่อแกไว้บนตัก ท่องมนตร์ใจพิสุทธิ์เบาๆ…วัดกันที่การบำเพ็ญ นางเพียงแค่เพิ่งเข้าสู่พื้นฐาน อีกทั้งพลังที่ใช้ยังต่างกับผู้บำเพ็ญทุกคนอย่างสิ้นเชิง
ต่อให้เป็นเจ้าภูเขาลั่วเจียน้อยฝูเหยา ก็ยังทำไม่ได้เหมือนสวีชิงเยี่ยน ที่ใช้ความเป็นเทพสำแดงวิชาทั้งหมด
หากสำแดงสำเร็จ เช่นนั้นวิชาเล็กๆ ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้
ต่อให้เป็น ‘วิชาสายลมพิสุทธิ์’ หากใช้ความเป็นเทพสำแดงก็อาจจะกลายเป็นวิชาพายุหมุนของยอดผู้บำเพ็ญ!
ใช้ความเป็นเทพสำแดงวิชา ข้อเสียอย่างเดียวคือกินพลังมากเกินไป นอกจากนี้แล้วก็สำเร็จได้ยาก
วิธีการใส่ความเป็นเทพไปในกระบี่สุดชีวิตอย่างหนิงอี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อานุภาพของหนึ่งกระบี่ความเป็นเทพนั้นอาศัยปริมาณความเป็นเทพทั้งหมด
การออกกระบี่อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ไม่มีพลาด บทสรุปที่แย่ที่สุดคือความเป็นเทพไม่เพียงพอจึงทำให้ปราณกระบี่ไม่ออก
สวีชิงเยี่ยนหลับตาลง หล่อแกในมือสั่นไหวเบาๆ
นางท่องมนตร์ใจพิสุทธิ์เงียบๆ ในใจ
“จิตใจใสสะอาดดุจเหมันต์ ฟ้าถล่มก็ไม่หวั่น…จิตใจใสสะอาดดุจเหมันต์ ฟ้าถล่มก็ไม่หวั่น…”
หมอกรอบๆ เริ่มอ้อมนางไป
กวางโง่ที่เอาหัวซุกอยู่ข้างเด็กสาวงัวเงียจะหลับตัวนั้นพลันเงยหน้าด้วยความตื่นตัว ทำจมูกฟุดฟิด เหมือนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณเดิมของฟ้าดินรอบกาย มันพลันตื่นตัวขึ้นมา เปลี่ยนจากนอนเป็นลุกขึ้นยืนสี่ขา สายตามองไปรอบๆ ไม่หยุด ดมกลิ่นตลอด เหมือนเป็นม้าสงครามน้อยฉุนเฉียว
สวีชิงเยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นทันที
นางรู้สึกผิดปกติเช่นกัน
ความเป็นเทพของตนแผ่ออกไปผ่านมนตร์ใจพิสุทธิ์ หมอกบนเขาถูกความเป็นเทพขับไล่ไปจริงๆ แต่ว่า…เหมือนจะล่อบางสิ่งที่มีมลทินมา
สรรพสิ่งมีจิตวิญญาณ เลี่ยงภัยเข้าหาโชค
สวีชิงเยี่ยนขมวดคิ้ว นางยื่นมือไปคว้าคันศรยาว อีกมือดึงลูกธนูออกมาจากกล่องธนู
ก่อนจะนั่งบนพื้น ใส่ธนู ง้างคันศรและยิงออกไป
นางเคลื่อนไหวเช่นนี้ที่ห้องบูรพามาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
ฟิ้ว!
เสียงลูกธนูทะลวงอากาศทำลายความเงียบสงบบนภูเขา
หลังยิงธนูออกไป ก็เหมือนมีเสียงทะลวงอากาศแหลมเล็กดังมาข้างหูนาง นางอาศัยแรงดีดของธนูนี้ถอยไปข้างหลัง เอียงตัวกลิ้ง ตรงจุดที่นั่งเมื่อครู่พลันถูกระเบิดเป็นหลุม
นี่มันอะไร
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเคร่งขรึม จ้องไปยังทิศที่ยิงธนูออกไป…เป็นลูกไฟขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง ตอนเห็นครั้งแรกยังเป็นเพียงแสงไฟอ่อนๆ อยู่ไกลๆ พริบตาต่อมาก็เข้าใกล้ภูเขา กำลังพุ่งมาหาตนด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ภายในธนูซ่อนความเป็นเทพไว้ไม่มาก เพราะความเป็นเทพที่สวีชิงเยี่ยนควบคุมได้กับ ‘คลังสมบัติ’ ในร่างกายนางไม่อาจเทียบสัดส่วนกันได้ นางใช้ความเป็นเทพได้แค่ส่วนน้อยมาก
ใช้ไปกับธนูนั้นทั้งหมดแล้ว…
ธนูลดความเร็วลงเมื่ออยู่ตรงหน้าลูกไฟขนาดเท่าสามสี่คนโอบนั้น ก่อนระเบิดออกดังปังเหมือนกับดอกไม้ไฟ แตกกระจายใส่ปราการไร้รูป
ลูกไฟกลุ่มนั้นพลันหยุดนิ่ง อยู่บนเขาเล็กตรงข้ามสวีชิงเยี่ยน
เด็กสาวที่เข้าสู่สภาวะการต่อสู้ไม่ลืมหยิบหมวกของตนขึ้นมากดลงบนศีรษะ ผ้าปิดหน้าโบกสะบัด
สวีชิงเยี่ยนจ้องลูกไฟกลุ่มนั้นไกลๆ ด้วยสายตาเย็นชา…เห็นชัดแล้วว่าในนั้นซ่อนเทพภูตผีอะไรไว้ และเข้าใจแล้วว่าหลุมตรงหน้าตนมาจากที่ใด
ในหลุมยังมีเปลวเพลิงสีฟ้าลุกโชน
เสียงทะลวงอากาศเมื่อครู่พุ่งมาจากในลูกไฟกลุ่มนั้น เพลิงภูตผียักษ์ ภายในห่อหุ้มร่างแห้งเหี่ยวไว้ เหมือนคนแต่ก็ไม่ใช่คน บนศีรษะมีเขางอยาว หลังคอยกขึ้น ในปากอมเปลวเพลิง รวมเป็นน้ำวนสีฟ้ากลุ่มเล็ก
“หลีเม่ย เกิดในที่อากาศเย็นและหมอกหนาทางเหนือ พื้นที่โดยรอบหนึ่งลี้จะเกิดหมอก ตัวมีเพลิงเหมันต์ลุกโชนตลอด หากถูกไฟเผาจะถูกความเย็นเยือกกัดกิน กลายเป็นน้ำแข็ง แตกเป็นเสี่ยงๆ” สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าลง เปลวเพลิงในหลุมนั้นดับลงช้าๆ บนพื้นหลุมเกิดเป็นน้ำแข็งเต็มไปหมด
นี่คือปีศาจ
ทั้งยังเป็นปีศาจที่หายากมาก
ในที่สุดสวีชิงเยี่ยนก็เข้าใจว่าเหตุใดที่นี่ถึงมีหมอก…ที่แท้ตนไล่ตามกระดิ่งเงินมาถึงที่นี่ ไม่ระวังพลัดหลงเข้ามาในถิ่นของหลีเม่ยแล้ว
ยอดปีศาจตนนี้ ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ เกรงว่าจะหนีก็ยังยาก
ฆราวาสไม่ปรากฏตัว…
สวีชิงเยี่ยนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดถึงปัญหาหนึ่ง
นางไม่เข้าใจ ลานล่าสัตว์ภูเขาสนกำหนดพื้นที่ของยอดปีศาจกับสัตว์ป่าไว้ชัดเจน นางมั่นใจได้ว่าพื้นที่ที่นางอยู่ในตอนนี้ไม่มีเผ่าปีศาจแน่นอน
หลีเม่ยนี่มาจากที่ใดกัน
เว้นแต่…
ลูกไฟกลุ่มนั้นที่หยุดบนภูเขาเล็กห่อหุ้มหลีเม่ยแห้งเหี่ยว ปีศาจเพลิงมีเขานั่นดวงตาเย็นชา ปรายตามองเด็กสาวเผ่ามนุษย์ไกลๆ มั่นใจได้ว่านี่เป็นเพียงคนธรรมดาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ จากนั้นก็เบนความสนใจทั้งหมดไปในทิศทางหนึ่งในเงามืดข้างหลังเด็กสาว
เปลวเพลิงสีฟ้าในปากลุกโชน ก่อนมันจะพ่นออกมาเสียงดังสนั่น
……
หมอกแหวกออก
สวีชิงเยี่ยนใช้มือข้างหนึ่งบังหน้า ตรงหน้ากลายเป็นผืนสีฟ้า แรงปะทะของเปลวเพลิงเฉียดผ่านหมวกของนางรวมถึงชุดคลุมเล็กน้อย เศษน้ำแข็งแตกดังกึกๆ อาภรณ์ดำนั้นพลันถูกเพลิงน้ำแข็งเผาทำลาย แรงปะทะมหาศาลกระแทกนางจนสองขาลอยขึ้นจากพื้นไปข้างหลัง
ทันใดนั้นเอง
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกตัวเบานิดๆ
มีคนจับเอวนางไว้
เสียงม้าร้องดังขึ้นข้างหูนาง
ขนแผงคอของม้างามลอยขึ้นสูง ตอนที่ตกลงมาอีกครั้ง บนหลังม้าก็มีเด็กสาวสวมหมวกและผ้าปิดหน้าโบกสะบัดเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง บุรุษวัยหนุ่มที่จับเอวนางไว้สวมอาภรณ์บาง เหมือนแค่ทำตามอำเภอใจ แต่ไม่มีการเสียมารยาทแม้แต่น้อย
ข้ามผ่านเปลวเพลิงสีฟ้าหนาวเยือกมาแล้ว บุรุษผู้นั้นก็ปล่อยเอวสวีชิงเยี่ยน อีกมือจับเชือกบังเหียน ม้างามส่งเสียงร้องดัง เงยหน้าขึ้นมองหลีเม่ยในคืนมืดอย่างไม่เกรงกลัว จิตต่อสู้เอ่อล้น
สวีชิงเยี่ยนเหม่อไปเล็กน้อย
บุรุษคนนั้นน่าดึงดูดสายตาจริงๆ
มวยเส้นผมแบบง่าย ใบหน้าขาวซีดดูป่วยนิดๆ คิ้วกระบี่ดวงตาดารา เรียกได้ว่าเทพวายุต้นไม้หยก อาภรณ์บางคลุมตัว เปิดอกเล็กน้อย ตรงเอวยังผูกไหสุรา
พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าดึงดูดที่สุด
ตรงหน้าบุรุษเป็นหญิงงามเท้าข้อศอกสองข้างขดตัวอยู่ด้วยท่าทางเกียจคร้าน
หญิงชุดแดงมีสีหน้าเกียจคร้าน เส้นผมนางสยายตกลงมา ตอนที่มองสวีชิงเยี่ยน นัยน์ตาเหมือนจะฉายแววตกใจเล็กๆ ส่งเสียงอุทานเบาๆ
ถ้าบอกว่าความงามของสวีชิงเยี่ยนเป็นความงามล่มเมืองแต่ไม่รู้ตัว
เช่นนั้นหญิงชุดแดงในอ้อมกอดบุรุษผู้นี้ สิ่งที่แผ่ออกมาก็เป็นความงามอีกแบบ
เป็นความงามแบบไม่เกรงกลัว ไม่ปิดบัง ไม่ซ่อนส่วนใด และดูไม่ฉาบฉวยเกินไป
เหมือนตอนเก็บท้อน้ำผึ้งสุก อุดมสมบูรณ์แต่ก็ทรงสวย ใสสะอาดแต่ก็ดูร้าย
ไม่เกินไม่ขาดแม้แต่ส่วนเดียว
พอเห็นหญิงงามเช่นนี้ สวีชิงเยี่ยนก็อึ้งไปเล็กน้อย
และสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่าคือบุรุษที่ขี่หลังม้าดูเหมือนป่วย แต่ตรงเอวกลับห้อยกระบี่ยาว ดาบยาว ธนูล่าสัตว์ อาวุธสามชนิดล้วนดูเก่าแก่ เหมือนผ่านกาลเวลามาค่อนข้างนาน
“ข้าล่อหลีเม่ยมาที่นี่ ตามหลักแล้ว ที่นี่ตอนนี้น่าจะไม่มีใครอยู่” บุรุษผู้นั้นมองสวีชิงเยี่ยนก่อนขมวดคิ้วขึ้น “เจ้าเป็นใครกัน”
สวีชิงเยี่ยนยังไม่ทันพูด หางตาก็เห็นแสงสว่างจึงพูดอย่างร้อนใจ “ระวัง!”
ทันใดนั้นเอง ลูกไฟนั้นที่ลอยอยู่บนภูเขาก็สั่นไหวอีกครั้ง
ร่างแห้งเหี่ยวนั้นหน้าอกพลันนูนขึ้น ก่อนจะพุ่งเข้ามา ลากผ่านเป็นเส้นโค้งกระเทือนวิญญาณราวกับดาวตกสวยงาม
บุรุษที่ขี่หลังม้างามสีขาวมีใบหน้าไร้ความรู้สึก มือข้างหนึ่งกดด้ามดาบ พูดกับสตรีตรงหน้าเสียงเบา “หลับตา”
หญิงชุดแดงหลับตาลงอย่างว่าง่าย
แสงสว่างสายหนึ่งฟันออกไป
สวีชิงเยี่ยนไม่ได้หลับตา นางได้เห็นภาพนี้
เพลิงภูตผีที่พุ่งเข้ามานั้นชนกับดาบยาวที่บุรุษวัยหนุ่มชักออกมา
หลีเม่ยฝึกเพลิงเหมันต์ สิบปีสีเขียว ร้อยปีสีฟ้า พันปีสีม่วง หมื่นปีสีแดง โลกนี้ไม่มีใครเคยเจอหลีเม่ยหมื่นปี แต่ในเพลิงกลุ่มนั้นเป็นสีฟ้าทั้งหมด แต่ก็ยังมีสีม่วงเล็กน้อย…นี่คือยอดปีศาจหลีเม่ยเกือบพันปี!
แต่กลับถูกดาบฟันแยกเป็นสองส่วนเช่นนี้!
บุรุษวัยหนุ่มตวัดดาบและเก็บเข้าฝักอย่างสงบนิ่งที่สุด
ลูกไฟของหลีเม่ยกระจายไปรอบๆ หมอกโดยรอบหายไปทีละนิด
ร่างแห้งเหี่ยวนั้น หลังสิ้นพลังชีวิตทั้งหมดก็กลายเป็นเปลวเพลิงลุกไหม้กลุ่มหนึ่ง แข็งเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง จากนั้นก็แตกออกกลายเป็นฝุ่นธุลี
เขาสองข้างนั้นตกลงพื้น
บุรุษพลิกตัวลงจากหลังม้า เก็บเขาระดับพันปีสองข้างนั้นขึ้นมาใส่กระเป๋า
สวีชิงเยี่ยนยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
นางชี้ฝุ่นธุลีบนพื้น และก็ชี้กระเป๋าเอวของบุรุษผู้นี้
“เขาของหลีเม่ย ใช้ทำสุรา และใช้บำรุงร่างกายได้” บุรุษมองหญิงสวมหมวกไม่เห็นหน้าคนนี้พลางพูดนิ่งๆ “หลีเม่ยมีนิสัยขี้สงสัย การจะเอาเขาของมันต้องลงมือก่อนมันจะตาย ข้ายิงธนูยั่วโมโหมัน แสร้งเป็นสู้ไม่ได้ ล่อมันมาที่นี่ หากรู้ว่าที่นี่มีคน…ข้าจะเปลี่ยนที่”
สวีชิงเยี่ยนเพียงแค่ตอบอืมเบาๆ
“ยังมีคำถามอะไรอีกหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนส่ายหน้า
“ดีมาก ทีนี้ข้าถามเจ้าบ้าง”
บุรุษเลิกคิ้วขึ้น เขาส่งกระเป๋าเอวให้หญิงชุดแดงบนหลังม้า ก่อนพูดกำชับเบาๆ “หงลู่ เก็บไว้ให้ดี กลับไปข้าจะให้เจ้าปรุงยาให้”
นางขานรับอย่างหนักแน่น รับกระเป๋าเอวมา ดูมีความสุขมาก
บุรุษวัยหนุ่มหันหน้ามา
“เจ้าชื่ออะไร เหตุใดข้าไม่เคยเจอเจ้าเลย”
……………………..