เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 255 ชะตาได้พบกัน
ตอนที่ 255 ชะตาได้พบกัน
ในจวนขุนนางรองท่องกระบี่
สองร่างด้านในยังคงเงียบ
เด็กสาวหยุดการวาดบนกระดาษแล้วเงยหน้าขึ้น ไส้ตะเกียงน้ำมันจากแสงดารายังเหลืออีกส่วนหนึ่งก่อนจะหมด นางยื่นมือไป สองนิ้วมือคีบไส้ตะเกียงนั้นพร้อมกับเปลวเพลิงมาไว้ในมือเบาๆ แสงดารากระบี่ซ่อนของตนไหลเข้าไป ทำให้เชื้อไฟอ่อนเปล่งแสงสว่างขึ้นมา
ห่างไปไม่ไกลเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวนั่งหันเข้ากำแพงหิน
เขาตกใจตื่นขึ้นมา
ตอนที่ตกใจตื่นยังบิดเอวขี้เกียจอย่างไม่รู้ตัว…
หลิ่วสืออีไม่ได้หลับสบายเช่นนี้มานานมาก
เขามองค่ายกลเสริม ‘ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อย’ ที่เผยฝานวาดบนกำแพงหินนั้น ยันต์หกสิบสี่แผ่นอะไรนั่น วางตรงมุมเหลี่ยมอะไรนั่น คำพูดพวกนี้โดดออกจากความคิดไปทีละอย่าง กลายเป็นยันต์ที่รับมือยาก เวลานี้ ตนเข้าสู่การต่อสู้ของคนสวรรค์ จิตวิญญาณง่วงงุนจะหลับ…นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลับหน้ากำแพง
น่าเหลือเชื่อ
หลิ่วสืออีหาวอย่างเกียจคร้าน
“เจ้าตื่นแล้วรึ” เด็กสาวคีบเปลวเพลิงเดินมาข้างเขา “เข้าใจมุมหนึ่งของค่ายกลพิฆาตเซียนน้อยบนกำแพงแล้วหรือว่ายอมแพ้แล้วล่ะ”
หลิ่วสืออีมองเด็กสาวด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะพูดทีละคำ “ตอนข้าสี่ขวบ หลังจับกระบี่ก็หันหน้าเข้ากำแพงสามวันสามคืน นับจากนั้นมาวิถีกระบี่ข้าก็เป็นเลิศ ไม่เคยเหนื่อยล้า…เดิมทีข้าคิดว่าเป็นเพราะมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนอื่น ดังนั้นหันหน้าเข้ากำแพงนานแค่ไหน ฝึกหนักนานแค่ไหนก็จะไม่ง่วง แต่ตอนนี้…ในที่สุดข้าก็เข้าใจความรู้สึกคนโง่พวกนั้นแล้ว”
เผยฝานหัวเราะพลางมองหลิ่วสืออี
ดวงตาเด็กหนุ่มชุดขาวจริงจังมาก
“ข้ารู้ว่าวิถีค่ายกลไม่ง่าย จากนี้ยังต้องตั้งใจฝึกกระบี่”
คำพูดนี้ตัดสินแล้ว
หลิ่วสืออีกระแอมไอ แอบบอกความจริงอันน่าอายเรื่องพรสวรรค์วิถีค่ายกลและยันต์ของตนไม่ดีพอผ่านคำพูดนี้
ความจริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก…
สามพันมหามรรค ไหนเลยจะมีคนที่เดินได้ทุกเส้นทางใหญ่ ไหนเลยจะมีคนเป็นอัจฉริยะในทุกด้าน
เขาหยัดกายขึ้นช้าๆ คลึงระหว่างคิ้ว “แม่นางเผย วันนี้วาดยันต์ทั้งวันเลยรึ”
เผยฝานตอบอืม
ประโยคที่ว่า ‘เจ้าไม่เหนื่อยเลยรึ’ ถูกหลิ่วสืออีดันกลับเข้าไปในปาก ก่อนจะนึกไปถึงตอนที่ฝึกฝนในตำหนักทะเลสาบกระบี่ ก็เคยมีสหายในสำนักถามเขาเช่นนี้
เขาปิดด่านบำเพ็ญที่กำแพงหินภูผาหิมะแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ นั่งทีเดียวเจ็ดวัน ทุกครั้งที่ออกด่านบำเพ็ญจะยังกระปรี้กระเปร่า
หลิ่วสืออีมองลายยันต์เต็มกำแพงหิน ยิ่งมองยิ่งปลงอนิจจัง ยิ่งมองยิ่งเงียบ มองไปมองมาก็รู้สึกว่ายันต์พวกนี้ลี้ลับจริงๆ จะแค้นก็ได้แต่แค้นตัวเอง ไม่ใช่อัจฉริยะยันต์ค่ายกลจริงๆ…อย่าว่าแต่ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อยนี้เลย ต่อให้เป็นค่ายกลพิฆาตเซียนใหญ่ของยอดฝีมือขอบเขตนิพพาน วางอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“วาดยันต์ทั้งวัน คงจะเหนื่อยน่าดู” หลิ่วสืออีมองเผยฝาน
เผยฝานพูดเสียงเบา “ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น”
หลิ่วสืออีในชุดขาวทำเสียง ‘หืม’ เขามองเด็กสาว นางคีบเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่ง ปราณกระบี่ไหลจากจุดกึ่งกลางไฟในฝ่ามือ เฉียดผ่านกำแพงหิน ลบร่องรอยบนกำแพงหินทั้งหมด เศษลุกไหม้กลางอากาศ ถูกสายลมพาลอยขึ้นฟ้าจวนขุนนางรองท่องกระบี่ จากนั้นก็ดับสลายไป
“หนิงอี้กับข้า ฝึกในเมืองหลวงมานานแล้ว ต้นไม้ขยับตาย คนขยับเป็น ที่นี่น่าอึดอัดนัก ต้องออกไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ เสียแล้ว”
เด็กสาวเช็ดร่องรอยบนกำแพงหินแล้วก็กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง ก่อนพูดเสียงเบา “ก็น่าจะช่วงนี้เหมือนกัน”
หลังพูดจบ เด็กสาวต่อไส้ตะเกียงน้ำมันใหม่ แสงไฟลุกโชน แสงดาราไหลเวียนในจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ตัวจวนกางปราการวงกลมเอาไว้ อยู่ข้างในสว่างเหมือนยามกลางวัน
หลิ่วสืออีหันไปมองเผยฝาน “นี่…”
เดิมทีเขายังมีคำพูดจะพูดอีก นั่นคือหนิงอี้ยังไม่กลับจวนเลย
เด็กสาวก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
หลิ่วสืออีจะพูดแต่ก็เงียบไป ได้แต่ช่างมัน
เขาหันหน้ากลับมา ยืนหน้ากำแพงหินว่างเปล่า
“อือ…”
บนกำแพงหินนี้ ร่องรอยของเฉาหลัน ปราณกระบี่ของหนิงอี้ ลายยันต์ของเด็กสาว เดิมทีผสมกันซับซ้อนยิ่ง ตอนนี้ถูกล้างจนสะอาด ไม่เห็นอะไรเลย
เรียบง่ายถึงความว่างเปล่า
หลิ่วสืออีแววตาว่างเปล่า ก่อนจะเกิดการตระหนักรู้ขึ้นเสี้ยวหนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุ
ฝ่ามือกดกับกำแพงหิน
กำแพงหินนี้เดิมทีเต็มไปด้วยรอยต่างๆ ทำให้เขามองอะไรไม่เห็น ทว่าตอนนี้ว่างเปล่า เหมือนถูกหิมะกลบ
แต่กลับทำให้มองเห็นง่ายขึ้น
หลิ่วสืออีพูดงึมงำ “ขาวโพลน…สะอาดจริงๆ”
เขาห่างจากการทะลวงคอขวดขอบเขตกระบี่ที่พูดได้ยากเพียงเส้นเดียว
ในตัวหลิ่วสืออีพกป้ายคำสั่งศิษย์สายตรงเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่นั้นไว้ตลอด
ป้ายคำสั่งนั้นสั่นไหวเบาๆ ส่งข้อมูลต่างๆ มา
……
พระสนมตำหนักบูรพาท่านนั้นพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ
หนิงอี้รอจนเย็น สวีชิงเยี่ยนก็ยังไม่กลับตำหนัก
เขาทิ้งท้ายไว้กับผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณสองคนนั้นหน้าประตูสวนห้องบูรพา บอกว่าตนมารออยู่พักหนึ่ง ต้องกลับแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง
ความจริงมาหาแม่นางสวีก็ไม่มีเรื่องอะไร
ช่วงนี้อาจจะต้องออกจากเมืองหลวง
ก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นการบอกลากันชั่วคราวอย่างเป็นทางการ
หนิงอี้คิดว่าหากได้ฝึกฝนกับผู้มีคุณธรรมสูงส่งเขาวิญญาณ ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยสำหรับสวีชิงเยี่ยน…ตนแค่เห็นแม่นางสวีสบายดีก็พอแล้ว
หนิงอี้เดินเลียบเส้นทางกลับ สองมือประสานไว้ท้ายทอย เขาเดินมาครึ่งทางก็เหมือนรู้สึกได้
ใบไม้ขลุ่ยกระดูกขยับไหวเบาๆ
เขามองไปนอกเมืองหลวง
ตรงนั้นคือทิศทางของภูเขาสนหรือไม่ หนิงอี้ไม่รู้…แต่เขาก็เดินไปตามความคิดในใจ ตามการขยับของใบไม้ขลุ่ยกระดูก
……
รถม้าโคลงเคลง
กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง
สวีชิงเยี่ยนกอดกวางไร้ประโยชน์นั่นไว้ ฆราวาสเขาเสียวซานชอบเรียกมันว่าลาโง่ ไปๆ มาๆ กวางนี่ได้แต่โกรธอยู่ในใจ เบิกตาถมึงทึง ทำเสียงจมูกฟึดฟัดตลอด คนกับกวางสู้กันไปมาไม่หยุด
“เมื่อนานมาแล้ว เขาวิญญาณก็มีลาโง่อยู่ตัวหนึ่ง เหมือนกับเจ้าเลย” ฆราวาสเขาเสียวซานถอนหายใจ “ข้าจะเรียกเขาว่าลาโง่ทุกวัน”
หึ!
กวางเล็งรูจมูกไปทางฆราวาสชุดขาวเขาวิญญาณก่อนจะพ่นลมหายใจ
ฆราวาสเขาเสียวซานมองกวางด้วยรอยยิ้ม “แต่เขาไม่เหมือนเจ้า เขาพูดได้ ข้าเลยเรียกเขาว่าลาโง่ เขามักจะด่ากลับมา ไม่ได้พ่นลมหายใจใส่อย่างคับแค้นใจเช่นเจ้า เจ้าพ่นลมหายใจเก่งกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร”
ครั้งนี้กวางเพียงแค่เบิกตาโต
“ตั้งใจฝึกบำเพ็ญ ทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณ หากเจ้าพูดได้ เจ้าก็จะรู้…ว่าการด่ากลับก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน” ฆราวาสชุดขาวเขาวิญญาณพูดปลง “เพราะเขาสู้ข้าไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าเรียกเขาว่าลาโง่ เขาด่ากลับมา ข้าก็ทำได้เช่นกัน”
เกิดเสียงดังตึง
ทุ้มแต่มีพลัง
กวางเงยหน้างงๆ พยายามมองหัวของตน ตรงนั้นนูนขึ้นมาเป็นซาลาเปาลูกใหญ่อย่างรวดเร็ว
ฆราวาสชุดขาวเขาวิญญาณดึงมือที่เขกหัวกวางกลับมา ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล “ข้าก็จะให้ไอ้นี่กับเขา”
“เจ้าล่าโง่ เจ็บหรือไม่”
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้มหยีตา
ดวงตากวางมีน้ำตาคลอแวววาวแล้ว
ไม่กล้าพยักหน้าและก็ไม่กล้าส่ายหน้า
สวีชิงเยี่ยนเห็นแบบนั้นก็เอาแต่เงียบ ช่วงนี้…นางพอจะเข้าใจอาจารย์ของตนแล้ว ว่าผู้มีคุณธรรมสูงส่งเขาวิญญาณคนนี้เป็นคนแบบใดกันแน่
นางสงสัยอย่างหนึ่ง ที่เล่าลือว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเขาวิญญาณต่างไปขอคำชี้แนะจากเขา…นั่นจะใช่ข่าวลือหรือไม่
อย่างเช่นความจริงของเรื่องคือเขาพูดคุยกับสัตว์บนเขาวิญญาณ หากไม่ยอมฟังก็จะจับอีกฝ่ายมา
ฆราวาสชุดขาวเขาวิญญาณท่านนี้ จริงๆ เลย…
ในห้องบูรพา
ตรงข้างเอวฆราวาสเขาเสียวซานเหมือนจะมีสิ่งเล็กๆ กำลังสั่นไหว
เขาอุทานเสียงเบา ก่อนจะนำกระจกทองสัมฤทธิ์เล็กออกมาจากกระเป๋าเอว จากนั้นพูดด้วยความเสียดายนิดๆ “เป็นข่าวไม่ดีเลย…”
ฆราวาสชุดขาวเขาวิญญาณส่งกระจกทองสัมฤทธิ์ให้สวีชิงเยี่ยน
ในกระจกสะท้อนเป็นภาพใบหน้าเฉยชาของผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาหน้าประตูห้องบูรพา
“คุณชายหนิงอี้มาแต่เช้า รอจนเย็นท่านก็ยังไม่กลับ เขาเลยกลับไปแล้ว”
นี่เป็นข่าวที่ไม่ดีจริงๆ
สวีชิงเยี่ยนอุทานด้วยความโมโห โมโหจนแทบจะกระทืบเท้าในรถม้า
ลาโง่ที่โคลงเคลงไปมาเผยแววตาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้านายตนถึงโกรธขึ้นมา
ฆราวาสเขาเสียวซานมองเด็กสาว รู้สึกว่าแม่นางแซ่สวีคนนี้น่ารักจริงๆ น่ารักกว่าดอกหญ้าและชายหญิงที่อยู่ในเขาวิญญาณมาร้อยกว่าปีอีก
สวีชิงเยี่ยนมองอาจารย์ของตนด้วยท่าทางน่าสงสาร
รู้จักบอกเป็นนัยแล้วรึ
ฆราวาสชุดขาวเขาวิญญาณยังคงนิ่ง แต่พูดด้วยความสนใจ “อะไรกัน จะให้ข้าช่วยรึ”
ระหว่างพูดอยู่นั้น เขายังแผ่พลังจิตออกไปอย่างเงียบเชียบ
สวีชิงเยี่ยนพูดอย่างจริงจัง “ต้องตามไป”
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้ม “พบกันคือโชคชะตา ชะตามาถึงย่อมได้พบกัน”
สวีชิงเยี่ยนขมวดคิ้ว
ฆราวาสเขาเสียวซานกลับไม่คิดอย่างนั้น เขายื่นมือมาข้างหนึ่งอุ้มลาโง่ขึ้น กอดไว้ในอก ไม่มีการลูบขน แต่เขกหัวกวางโง่ไปอีกทีโดยไม่รู้ตัว
ดังโป๊ก
มันถึงกับมึน
ครู่ใหญ่ต่อมากวางที่ได้สติกลับมาอยากจะร้องไห้ เริ่มเสียใจที่ตามเจ้านายออกจากภูเขาสนแล้ว
“ขอโทษที ข้าพลั้งมือไป คราวหลังจะค่อยๆ แก้” ฆราวาสชุดขาวเขาวิญญาณยิ้มตาหยีมองกวางโง่พลางพูดขึ้น “พอดูดีๆ แล้ว เจ้าไม่เหมือนลาโง่นั่นเลย หาได้ยากจริงๆ…เจ้าโง่กว่าอีก”
รถม้าโคลงเคลงออกจากป่าสน จะกลับถึงเมืองหลวงแล้ว
ใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งตรงหน้าอกสวีชิงเยี่ยนเหมือนจะสั่นไหวขึ้นมา
เด็กสาวเหมือนนึกอะไรได้
ดวงตานางเป็นประกายสว่างไสวขึ้นมา
ฆราวาสเขาเสียวซานขยี้ศีรษะลาโง่ เอามือกดๆ ซาลาเปาลูกใหญ่ที่นูนขึ้นมานั้นให้ลงไป
เขาพูดอย่างสบายใจ “ความหมายของโชคชะตาน่ะ…คือไม่ต้องไล่ตาม แค่ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ ถ้าจะได้พบก็ต้องได้พบ”
สวีชิงเยี่ยนเปิดม่านรถ รถม้าลดความเร็วลงทีละนิด
ประตูเมืองหลวงที่อยู่ไกลๆ เปิดออกช้าๆ
นางเห็นร่างคนคุ้นตา สองมือประสานท้ายทอยอยู่
ม่านรถโบกสะบัด เด็กสาวชะเง้อศีรษะออกมาสบตากับเด็กหนุ่ม
ผู้คนสัญจรไปมา สายตามองภาพนี้อึ้งๆ
…………………………