เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 3 เจ้าลัทธิ
ตอนที่ 3 เจ้าลัทธิ
ในเขตประจิมต้าสุย
หลังผ่านฝนใบไม้ร่วง แสงยามรุ่งอรุณสองข้างถนนโบราณสาดลงมา ชาวนาร่างกำยำอายุสี่สิบปี สวมงอบ ผ้าขนหนูสีขาวพาดบ่า ถือเคียว ย่ำเดินไปในทะเลนาข้าวทีละก้าว
เสียงนกกระจอกดังอยู่นอกฟ้า
พวกเขาหันไปมองทางหนึ่ง
สุดเส้นทางโบราณไกลลับ กลางทะเลนาข้าวสีทอง ม้างามสีขาวหิมะตัวหนึ่งลากตู้รถม้าไม้ขาวเคลื่อนมาช้าๆ
ข้างหลังตู้รถม้าไม้ขาว เสียงเท้าม้าดังตึกตัก
บุรุษหนุ่มผิวขาวสวมผ้าคลุมเนื้อหยาบหลายสิบคนขี่บนหลังม้า เสียงเท้าม้าดังเป็นหนึ่งเดียว ฟังดูไม่วุ่นวาย ไม่ทำลายความเงียบสงบยามเช้าตรู่
นี่เป็นขบวนรถม้าที่มีการฝึกฝนเป็นประจำ
ขบวนรถม้านี้ไม่เหมือนขบวนคุ้มกันของพ่อค้าร่ำรวย และไม่เหมือนผู้คุ้มกันลูกหลานบรรดาผู้ดีมีเงิน อย่างแรกจะไม่เดินทางบนถนนเล็กในชนบท หากจะเดินทางตอนกลางคืน เพื่อความปลอดภัยจะต้องออกเดินทางบนเส้นทางใหญ่ อย่างหลังยิ่งไม่มีทาง ลูกผู้ดีมีเงินชอบความหรูหรา นำกองกำลังเช่นนี้ออกมา คงไม่ทำอะไรเงียบๆ เช่นนี้
คนขี่ม้าที่สวมผ้าคลุมเนื้อหยาบสีขาวทุกคนก้มหน้าเงียบ ข้างหลังเหมือนแบกกล่องใส่ของ ใช้ผ้าคลุมคลุมไว้ มองเห็นใบหน้าไม่ชัด มีบุรุษและสตรีสามสิบสี่สิบคน มีกลิ่นอายอ่อนโยน ไม่มีความเหี้ยมโหดแม้แต่น้อย
กลิ่นอายเงียบสงบ กลิ่นอายเรียบง่าย
ม้าดีสีขาวหลายตัวข้างหน้าสุด คิ้วและดวงตาอ่อนโยน ขนแผงคอสีแดง ภาพลักษณ์ดูแล้วถูกต้องชอบธรรมยิ่ง
ตู้รถไม้ขาวดูสะอาดมาก นอกจากสะอาดแล้ว…ธรรมดา รอบตู้รถม้าห้อยเชือกแดงรอบหนึ่ง ยกมุมชายคาขึ้น กระดิ่งเล็กห้อยลงมาตรงมุมชายคา แกว่งไกวกลางอากาศดังกริ๊งๆ
หากมีผู้บำเพ็ญอยู่ที่นี่อาจจะมองออกว่ากระดิ่งนั้นที่ห้อยบนรถม้าเป็น ‘กระดิ่งสามวิสุทธิ์’ ของสำนักเต๋า
กระดิ่งสามวิสุทธิ์ของสำนักเต๋ามีน้อยมาก มีเพียงผู้มีอำนาจสูงเท่านั้นถึงจะครอบครองได้ และเจ้าของรถม้าคันนี้ นำกระดิ่งสามวิสุทธิ์มาห้อยไว้ตรงชายคาตามใจ
เพราะคนที่นั่งในรถม้าคือเจ้าลัทธิของใต้ฟ้าเทือกเขาประจิม
และกลุ่มคนข้างหลังรถม้าเป็นนักพรตเต๋าของสำนักเต๋า
พวกเขาเป็นองครักษ์ซื่อสัตย์จากเทือกเขาประจิม และเป็นผู้ติดตามบ้าคลั่งที่หอสามวิสุทธิ์สำนักเต๋าคัดสรรมาเพื่อเจ้าลัทธิ
นักพรตชุดคลุมหยาบทุกคนขี่ม้าขาว สายตาจ้องตู้รถม้าไม้ขาวนั้น หากข้างหน้าเป็นภูเขาก็จะข้ามเขาไป หากเป็นทะเล เช่นนั้นก็จะข้ามทะเลไป…บุคคลในตู้รถม้านั้นเป็นแหล่งรวมความเชื่อมั่นทั้งชีวิตของพวกเขา มาจากที่ใด ไปหยุดที่ใด พวกเขาไม่สนใจ
การได้มีเกียรติสวมชุดคลุมหยาบ ออกเดินทางติดตามเจ้าลัทธิ ถือเป็นเกียรติยศเท่าฟ้า
ถนนโบราณสั่นสะเทือน แต่พวกเขากลับไม่รู้สึก เดินทางไกลมาหลายวันหลายคืน บางครั้งเจ้าลัทธิจะงีบหลับ พวกเขาแทบไม่ได้พักผ่อนเลย กำลังวังชายังคงดีเยี่ยม แผ่นหลังเหยียดตรงมาก
ตั้งแต่เดินทางออกจากสำนักเต๋าเทือกเขาประจิม พวกเขาก็อยู่ในสภาพนี้ตลอด ไม่พูดจา ไม่ถามไถ่ ยังคงเดินหน้าไปอย่างพร้อมเพรียง ตามหลังตู้รถม้าไม้ขาวไปภูเขาใหญ่กับทะเลสาบใหญ่ กำแพงเมืองแดนประจิมกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เมืองมั่งคั่งและถนนโบราณในชนบท…สำนักเต๋าออกเดินทาง นั่นหมายความว่าทั้งโลกหล้าจะได้เห็นคำสอนของสำนักเต๋า พวกเขาจะนำจิตวิญญาณของสำนักเต๋าไปทุกแห่งหนในใต้ฟ้าต้าสุย ให้คนมากมายยอมรับการติดตามและยืนหยัดเช่นนี้
พบเจอชาวบ้านยากจน นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบจะให้ทานแทนเจ้าลัทธิ เจ้าเมืองต้าสุยมอบความเคารพและต้อนรับอย่างดีที่สุด ส่วนเจ้าลัทธิสำนักเต๋าจะแสดงความเมตตาต่อทุกคน
เจ้าลัทธิคนใหม่เพิ่งรับตำแหน่งไม่ถึงปี การเดินทางออกจากหอสามวิสุทธิ์ครั้งนี้ ไม่มีใครเคยเห็นรูปลักษณ์ของเจ้าลัทธิคนนี้ ต่อให้เป็นตอนนี้ เจ้าลัทธิก็ยังไม่เผยใบหน้า การให้ทานและถ่ายทอดเต๋าทั้งหมด ดำเนินการโดยนักพรตชุดคลุมหยาบ
…..
นกกระจอกแดงถูกมืออบอุ่นหนึ่งลูบขนตลอด
นกของโจวโหยวมีนิสัยดุร้าย ยากจะยอมอ่อนข้อให้คนอื่น เจ้าของมือนั้นไม่มีพลังบำเพ็ญใดๆ มือลูบเบาๆ อมยิ้มที่มุมปาก ความอบอุ่นในแววตาเหมือนหลอมละลายน้ำแข็งในโลกได้
โจวโหยวมองเจ้าลัทธิหนุ่มที่นั่งตรงข้ามตนในรถม้า
หนึ่งปีก่อน เจ้าลัทธิรุ่นก่อนสิ้นอายุขัย การคัดเลือกเจ้าลัทธิรุ่นใหม่ไม่มีการต่อสู้อย่างดุเดือด ผู้อาวุโสหอสามท่านของหอสามวิสุทธิ์ผลักดันเด็กหนุ่มนาม ‘เฉินอี้’ หลังขึ้นเป็นเจ้าลัทธิ ข้อมูลของเฉินอี้กลายเป็นข่าวที่ลับที่สุดในโลกหล้า ต่อให้เป็นเจ้าตำหนักนภาม่วงก็ยังไม่อาจตรวจสอบชีวประวัติได้
นี่เหมือนบุตรแห่งโชคชะตาที่ได้รับความรักจากสวรรค์
หอสามวิสุทธิ์มอบข้อมูลคร่าวๆ ส่วนหนึ่งให้เจ้าตำหนักหลายคน เฉินอี้มาจากครอบครัวคนธรรมดาในแดนประจิม ก่อนที่หอสามวิสุทธิ์สำนักเต๋าจะรับมาบ่มเพาะเป็นผู้คัดเลือกเจ้าลัทธิ คนในครอบครัวเสียชีวิตไปนานแล้ว กลายเป็นเด็กกำพร้า
ที่ได้เป็นผู้คัดเลือกเจ้าลัทธิก็เพราะ ‘ความเป็นเทพ’ ที่หาได้ยากจากตัวเฉินอี้
โจวโหยวมองเฉินอี้เงียบๆ เด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปีคนนี้ มองนกกระจอกแดงด้วยรอยยิ้ม ในตัวมีกลิ่นอายน่าเกรงขามที่รุกรานไม่ได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะขึ้นตำแหน่งแล้วเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ต่อให้คิ้วและดวงตาจะอ่อนโยน แต่เหตุผลที่ทำให้นกกระจอกแดงไม่ขัดขืนได้…ไม่ใช่เพราะสบายเกินจนไม่อยากขัดขืน แต่เป็นเพราะจิตใจที่ซ่อนอยู่คอยเตือนตลอดเวลา จึงขัดขืนไม่ได้
เฉินอี้สวมชุดคลุมขาวเรียบง่าย น้ำเสียงเขาปลงอนิจจังเสี้ยวหนึ่ง เปิดม่านรถม้าขึ้น มองโลกสีทองข้างนอก “คุณชายโจวโหยว…อากาศเย็นแล้ว”
โจวโหยวขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หลังข้าวสุกงอมต้องเก็บเกี่ยวให้ทันเวลา ตากให้แห้งก่อนอากาศเย็น หลังตากรวงข้าวแห้งแล้วจะเป็นฟาง ให้แกะและวัวที่บ้านกินได้ เพื่อให้ผ่านหน้าหนาวไปได้ เพราะหน้าหนาวชื้นทีเดียว มัดฟางวางไว้ในคอกวัวจะรักษาความแห้งไว้ได้” นัยน์ตาเฉินอี้ฉายแววหวนรำลึกเสี้ยวหนึ่ง
เขาหัวเราะเบาๆ “เกี่ยวข้าวเหนื่อยมากจริงๆ ทั้งวันหยุดพักไม่ได้เลย คนเดียวต้องโอบกอดกว้างขนาดนี้…”
ตอนที่พูดว่ากว้างขนาดนี้ เขาปล่อยมือที่วางบนนกกระจอกแดงแล้วทำท่าโอบกอด
นกกระจอกแดงฉวยโอกาสกระพือปีก บินออกไปนอกตู้รถม้าอย่างยากลำบาก ส่งเสียงร้องใส
โจวโหยวคิดว่าเจ้าลัทธิหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา เล่าลือว่ากฎตายของหอสามวิสุทธิ์ เจ้าลัทธิห้ามฝึกบำเพ็ญ แต่ความเป็นเทพในตัวเฉินอี้กลับอัดแน่นไม่แผ่กระจาย ถือครองผลประโยชน์ได้อย่างเหมาะเจาะ หากเกิดมาเช่นนี้ เช่นนั้นก็คงเป็นบุตรแห่งโชคชั้นหนึ่ง
ทุกวินาทีล้วนเป็นหายนะทำลายล้างชีวิต
หญิงคลั่งคนนั้นแห่งเขาลั่วเจีย สวีชิงเยี่ยนแห่งอารามรู้กรรม…ล้วนเป็นเช่นนี้ โลกนี้ มนุษย์ที่เกิดมามีความเป็นเทพมีน้อยมากจริงๆ
ดังนั้นเฉินอี้ถึงได้เป็นเจ้าลัทธิรึ
โจวโหยวครุ่นคิดเงียบๆ นี่อาจจะเป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่ง หากเขาไม่เป็นเจ้าลัทธิ ใช้ความเป็นเทพในกายเริ่มก้าวสู่การบำเพ็ญ จะต้องราบรื่นกว่าคนส่วนใหญ่บนโลกแน่นอน
เจ้าลัทธิหนุ่ม มองชายร่างกำยำที่กอดข้าวเดินในทุ่งนา นัยน์ตามีความซับซ้อนที่บอกไม่ถูกเสี้ยวหนึ่ง เขาพูดอย่างนุ่มนวล “ก่อนนั่งตำแหน่งนั้นก็เคยทำงานเกษตรมาหลายปี กินข้าวคนในหมู่บ้านจนเติบใหญ่…ไม่ได้กลับไปเยี่ยมนานแล้ว”
โจวโหยวพยักหน้าเข้าใจ
เฉินอี้มองเด็กหนุ่มแบกเข่งใหญ่เดินเหยียบจมดินเดี๋ยวลึกเดี๋ยวตื้นในทุ่งนา ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนชีวิตค่อนข้างลำบากเลย เผามันแดง ขุดดิน สร้างเตา จุดไฟ…ข้าหวังว่าจากนี้พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหน่อย”
เขาเคาะตู้รถม้า นักพรตชุดคลุมหยาบคนหนึ่งตรงเข้ามาตามเสียง
เฉินอี้มองผู้คนที่มองมาด้วยความงุนงงพวกนั้น พูดเสียงอ่อนโยน “บอกพวกเขา สำนักเต๋าต้องการข้าวพวกนี้ ซื้อแล้วส่งไปให้เจ้าเมืองสันติกับเมืองหุบเขาฟาง นอกจากนี้…ให้เงินอุดหนุนครอบครัวละสามตำลึง ในบ้านมีคนแก่และเด็กให้เพิ่มอีกสามตำลึง หวังว่าสำนักเต๋าจะอยู่ร่วมกับพวกเขาได้”
นักพรตชุดคลุมหยาบได้ยินดังนั้นก็พูดด้วยความซื่อตรง “ข้ายินดีทำตามประสงค์ของท่านเจ้าลัทธิ”
เฉินอี้พยักหน้า มองโจวโหยวพลางถามเสียงเบา “บางครั้ง…การคงอยู่ของศรัทธา ก็เพื่อให้โลกนี้ดีขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ใช่หรือไม่”
โจวโหยวมองเจ้าลัทธิหนุ่ม เขาเห็นเงาของเด็กยากจนหมู่บ้านชนบท และเห็นแสงสว่างอบอุ่นจากสำนักเต๋า นี่เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน แต่เขาไม่ได้รังเกียจเฉินอี้
“ใช่ นี่เป็นเรื่องดี” โจวโหยวพยักหน้า “แต่น่าเสียดายมาก ผู้นำสำนักเต๋าคนก่อนทำเรื่องพวกนี้ได้ไม่ดีนัก…หวังว่าเจ้าจะทำได้ดี”
เฉินอี้ยิ้ม “ข้ารู้ว่าข้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ภายภาคหน้าจะอุทิศกายและใจให้สิ่งนี้อย่างเต็มที่…ทำให้โลกนี้ดียิ่งขึ้น”
โจวโหยวทอดถอนใจในใจ
นี่เป็นเด็กหนุ่มที่มีปณิธานยิ่งใหญ่
เขานึกถึงเด็กหนุ่มยากจนอีกคนจากเทือกเขาประจิม สองคนนี้มีถิ่นกำเนิดคล้ายกัน แต่มีประสบการณ์ต่างกันสิ้นเชิง หากเจอหน้ากัน…บางทีอาจจะไม่เข้ากันทางความคิดหรือไม่
ตู้รถไม่ได้เงียบไปนานนัก
เฉินอี้พูดด้วยความแปลกใจ
“คุณชายโจวโหยว ข้าอยากถามหน่อย ‘หนิงอี้’ แห่งเขาสู่ซานเป็นคนแบบใดกันแน่”
เจ้าลัทธิหนุ่มสวมชุดคลุมขาวคนนี้ ตอนที่ขึ้นตำแหน่งไม่ได้ก่อคลื่นลมลูกใหญ่มากนัก หอสามวิสุทธิ์ประคองเฉินอี้ เอาชนะผู้แข่งขันคนอื่นไปอย่างแทบจะไม่มีข้อโต้แย้ง และเพราะเหตุนี้เอง ข่าวการขึ้นตำแหน่งเจ้าลัทธิเต๋า…จึงสร้างความโด่งดังในแดนประจิมไม่เท่าอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน
เฉินอี้แปลกใจมาก รถม้าคันนี้แล่นมาถึงเขตแดนเขาสู่ซาน อีกไม่นาน เขาจะได้พบอาจารย์อาน้อยลึกลับที่อยู่อันดับหนึ่งรายนามดาราคนนั้นแล้ว
ข่าวการตายของสวีจั้งดังออกไป ไม่ใช่แค่สำนักเต๋า ในสี่ทิศต้าสุย เขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะอาฆาตหรือเป็นมิตร ส่วนใหญ่จะมาให้เห็นกับตาตัวเองที่เขาสู่ซาน
สวีจั้งตายจริงหรือไม่…
รวมถึงอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่ชื่อหนิงอี้คนนั้น เป็นเทพเซียนจากที่ใดกัน
…………………….