เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 53 วัดความไร้ยางอาย (rewrite)
ตอนที่ 53 วัดความไร้ยางอาย (rewrite)
สุสานด่านแรกเกิดคลื่นลมขึ้น
อู๋เต้าจื่อที่เอายันต์ครามออกแล้ว ยืนหน้าผนังหินทางใต้ของสุสาน เขาพูดอย่างจริงจัง
“ประตูปิดหากมีกรพันชั้น ต้องมีราชันอยู่แน่นอน”
หนิงอี้หรี่ตาลง ยืนข้างกายเขา กอดกระบี่พินิจเหมันต์ที่พันด้วยผ้าดำพลางฟังอู๋เต้าจื่อพูดเสียงทุ้มต่ำ
“สุสานของยอดผู้บำเพ็ญทุกรุ่นของจวนขานฟ้าจะฝังอยู่ในที่ที่ไม่รู้นาม สิ่งที่อยู่ใต้จวนเขาครามเป็นชีพจรมังกรจริงๆ รวมถึงสุสานของคนใหญ่คนโตบางคน แต่ที่ที่หลับใหลจริงๆ อยู่ในสี่สำนักศึกษา นี่เป็นกฎที่จักรพรรดิไท่จงกำหนดไว้ของสี่สำนักศึกษา ปราชญ์ยุคโบราณของสี่สำนักศึกษา ผู้มีมหาดวงชะตาที่ได้รับแต่งตั้งในยุคแรกพวกนั้น ไม่ว่าใครก็ดูถูกไม่ได้เลย”
อู๋เต้าจื่อพูดอย่างจริงจัง เอ่ยขึ้นช้าๆ “ก่อนที่จะแตะต้องจุดแปลกไปถึงสุสานนั้น ข้าต้องคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องก่อน ไปถึงด้านในมหาสุสานที่แท้จริงของสำนักศึกษาแล้ว ห้ามแตะของที่มีฝุ่นเกาะใดๆ ห้ามนำสมบัติสุสานของสำนักศึกษาไปแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่อย่างนั้นจะเกิดหายนะครั้งใหญ่”
หนิงอี้ใจเย็นลงทีละนิด เขาถามด้วยความสงสัย “มหาสุสานของสำนักศึกษามีแค่ทางเข้าเดียวรึ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว แต่ข้าหาเจอแค่นี้ มีแค่ทางเชื่อมชีพจรมังกรใต้จวนเขาคราม” อู๋เต้าจื่อหันกลับมามองดวงตาของหนิงอี้ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “แม้ดวงชะตาที่นี่จะเอ่อล้น แต่ยังไม่ถึงกับเป็นที่สนใจของวัตถุโบราณพวกนั้นของสำนักศึกษา ใต้เท้าบุตรสวรรค์ ทุกที่มีดวงชะตาพรั่งพรู มหาสุสานของสำนักศึกษาหากวัดกันที่ระดับความเข้มงวด เกรงว่าทั้งใต้ฟ้าต้าสุย คงมีเพียงผนึกของสุสานราชวงศ์ที่สูงกว่าพวกเขา”
หนิงอี้พยักหน้า
จุดนี้ไม่เป็นที่ต้องสงสัยเลย
ถึงอย่างไรขอแค่หยิบยกสำนักศึกษาหนึ่งออกมาก็ไม่ต้องกลัวเขาศักดิ์สิทธิ์ใดในสองแดนบูรพาและประจิมเลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงมหาสุสานที่สี่สำนักศึกษาสร้างอยู่ร่วมกัน
มหาสุสานนี้เป็นแสงธูปที่ให้สำนักศึกษาสืบทอดไปหมื่นปีเพื่อผนึกดวงชะตา ต้องใช้แรงใจมหาศาลแน่นอน ปัญญาชนในเมืองหลวงต้าสุยก็ดี ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยปรมาจารย์ค่ายกล ต่างเคยเล่าเรียนในสำนักศึกษากันจำนวนมาก หากไปถึงสุสานนั้นจริงๆ เกรงว่าต้องระวังทุกฝีก้าว
หนิงอี้พลันถาม “เจ้ามาสุสานนี้…เพื่ออะไร”
นักบวชสวมชุดคลุมผ้าเนื้อหยาบขาดวิ่นดูตะลึงงันไปอย่างชัดเจน
ใบหน้านักบวชตอนนี้ดูศักดิ์สิทธิ์และอ่อนโยน เขาพูดปลงอนิจจัง “ขุนพลสวรรค์มอบภาระหน้าที่มาให้มนุษย์ จักต้องมุมานะกับเจตนารมณ์ของเขา ทนต่อความทุกข์ทางกาย ทนต่อความทุกข์ทางเส้นเอ็นและกระดูก ปฏิบัติตามแบบพุทธ…”
“ข้าว่าข้าเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับภาระหน้าที่ การปล้นสุสานเป็นภาระหน้าที่อันหนักอึ้งของข้า เจ้าเชื่อหรือไม่”
หนิงอี้มองอู๋เต้าจื่อด้วยสายตามองคนปัญญาอ่อน
อู๋เต้าจื่อยิ้ม “เจ้าไม่เชื่อรึ”
“ข้าเคยไปหกเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา สองแห่งแดนประจิม เคยไปทะเลพลิกผัน บุกภูเขาแสนลี้ดินแดนทักษิณ สุสานทั้งหมดในใต้หล้า นอกจากสุสานราชวงศ์แล้ว ที่เหลือข้าไปได้ทั้งหมด” อู๋เต้าจื่อกดฝ่ามือในอากาศ ลวดลายของคัมภีร์กังขามังกรแผ่ออก ยืดยาวไปตามผนังหิน จุดแสงสว่างทั้งสุสาน
“ใต้หล้ากว้างใหญ่ ทุกแห่งหนคือบ้าน หมายถึงคนอย่างข้านี่แหละ”
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก มองนักบวชที่มีสีหน้าจริงจัง
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจ
“เดินทางไปเขาเลื่องชื่อเยือนธารน้ำใหญ่ เหยียบกระบี่บินเสาะหากระดูกเซียน…ไม่ได้หมายถึงปราณเซียนแบบนั้น แต่สื่อสารกับคนตาย ไปขอข้าวบรรพบุรุษเขาศักดิ์สิทธิ์กิน
พูดให้ง่ายกว่านั้นหน่อยก็ทำอาชีพปล้นสุสาน ดังนั้นเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเลยแค้นข้ามาก อยากจะจับข้าใจจะขาด สับเป็นชิ้นๆ แล้วฉี่รดใส่ น่าเสียดายที่พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้”
อู๋เต้าจื่อยิ้มสบายใจ
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าข้าเป็นกวีโดดเดี่ยวที่ร่อนเร่พเนจรใช่หรือไม่ หลายปีมานี้ มีเพียงสุสานกับแดนไกล และยังมีการปล้นสุสานที่อยู่เป็นเพื่อนข้า”
หนิงอี้เงียบ
เขาอยากพูดมากว่าตนเกือบจะเชื่อแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเวินเทาบอกกับเขาเองว่าคนชื่ออู๋เต้าจื่อมีวิชาปล้นสุสานชั้นหนึ่ง แต่คำพูดพึ่งพาไม่ได้ยิ่งกว่าแม่หมูปีนต้นไม้…ตนก็อาจจะถูกสายตาจริงใจและเป็นมิตรของอีกฝ่ายหลอกเอาได้
“ข้าหลอกเจ้าแล้ว”
อู๋เต้าจื่อเลิกคิ้วขึ้น
หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อน เจ้านี่เหตุใดถึงมีสันดานเช่นนี้…ทั้งปลุกปั่นทั้งโง่เง่า โอ้อวดแถมยังมีความเป็นวรรณคดีอีก
นักบวชสะบัดฝุ่นบนตัว
ชายขอบชุดคลุมหยาบเริ่มเกิดคลื่นขึ้น
อู๋เต้าจื่อยื่นมือมาข้างหนึ่ง วางไว้หน้าผนังหิน สีหน้าเคร่งขรึมเหมือนพระโพธิสัตว์ เอ่ยมาช้าๆ ทีละคำ “จวนขานฟ้ามีความแค้นกับข้า ข้ามาแก้แค้น”
คำพูดนี้เรียบนิ่งมาก หนิงอี้พลันได้กลิ่นอายเคียดแค้นหนักอึ้งมาจากในคำพูดเขาจริงๆ
อู๋เต้าจื่อที่เอ่ยคำพูดนี้ ชุดคลุมหยาบเริ่มขยับเหมือนคลื่นภายใต้คลื่นลมการเปิด ‘จุดแปลก’ ใบหน้าแน่วแน่และสงบนิ่งภายใต้การส่องสะท้อนของแสงสว่าง
ก่อนเขาจะถอนหายใจ
“คนพวกนี้ทำร้ายหญิงที่ข้ารักจนตาย ข้าไม่มีพลังบำเพ็ญไม่มีที่พึ่งพิง เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ได้แต่ขโมยของ ปล้นสุสานระบายไฟโทสะ” อู๋เต้าจื่อมองแสงสว่างกลางฝ่ามือกลุ่มนั้น หันหลังให้หนิงอี้ พลังมหาศาลก่อนหน้านี้หายวับไป เหมือนเต่าดำหดหัวในกระดอง ก่อนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แล้วพูดเสียงเบา “เจ้าต่างกับข้า เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญของสำนักใหญ่ เจ้าไม่เข้าใจ”
…….
จุดแปลกเป็นจุดเชื่อมมิติพิเศษ
ไม่ใช่แค่สุสานของคนใหญ่คนโตพวกนั้น แต่รวมถึงแดนต้องห้ามบางแห่ง ทางเข้าออกธรรมชาติ ล้วนเป็นจุดแปลก
อย่างเช่นหลังเขาสู่ซาน ยันต์คำสั่งนั้นที่บรรพจารย์ลู่เซิ่งวางไว้ก็เป็นจุดแปลกของแดนต้องห้ามทางเข้าหลังภูเขา แต่เนื่องจากวางเงื่อนไขการทำงานที่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นต่อให้หาพบ คนนอกก็เข้าไปไม่ได้
หนิงอี้สงสัยมาตลอดว่า…ตนเข้าไปหลังเขานั้นได้เป็นเรื่องบังเอิญ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หุบเขาเส้นขอบฟ้ามหึมานั้น ข้างในซ่อนอะไรไว้กันแน่ หนิงอี้เคยรู้สึกถึงปราณหยางเข้มข้นจากในถ้ำหินย้อย น่าเสียดายที่บรรพจารย์ลู่เซิ่งวางจุดแปลกไว้สองที่ ทำให้หนิงอี้ไม่มีทางได้เห็นทิวทัศน์ที่แท้จริงของหลังภูเขา
กระทั่งหนิงอี้ยังมีลางสังหรณ์นิดๆ อยู่ในใจมาตลอด
ที่เข้าไปหลังภูเขาได้ ไม่ใช่เพราะยันต์ของลู่เซิ่งยอมรับตน
แต่เป็นเพราะที่ราบกระดูก
ขลุ่ยกระดูกดูเหมือนจะเชื่อมปราการสองแห่งได้
ขอแค่หาจุดแปลกพบ ต่อให้จุดแปลกจะวางวิธีการแข็งแกร่งเพื่อกันคนนอก ขลุ่ยกระดูกก็ยังทำลายผนึกได้ มองข้ามกฎเกณฑ์ไปได้
คลื่นลมก่อฝุ่นดินขึ้นเป็นวงกลมเบาๆ
สุสานโบราณที่ปิดผนึกไว้เงียบสงัด เทียบกับสุสานด่านแรกที่มีพลังยิ่งใหญ่ใต้จวนเขาครามแล้ว มหาสุสานที่สี่สำนักศึกษาร่วมกันเปิดนี้ ราบเรียบไม่มีอะไรแปลก
พับไฟสองอันสว่างขึ้น
หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อยืนข้างกัน มองมหาสุสานที่ไม่รู้สร้างมากี่ปีตรงหน้า โลงศพไม้แต่ละแห่ง บ้างนอนบ้างตั้ง วางไว้อย่างเป็นระเบียบ
หนิงอี้เข้ามาในก้นสุสานเขาศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก เขากวาดสายตามองสุสาน เห็นความว่างเปล่า ในโลงไม้มีแต่ความเงียบงัน มองไม่เห็นของที่ควรค่าแก่การขโมยเลย
“ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาก็ไม่ยินยอมฝังร่วมกับคนอื่น” อู๋เต้าจื่อชำเลืองตามองหนิงอี้ “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตาแก่ที่มีพลังบำเพ็ญสูงจนเกินขีดจำกัดพวกนี้ ในมหาสุสานสี่สำนักศึกษา สร้างให้ผู้บำเพ็ญพวกนั้นที่มีคุณความดีเป็นเลิศ คนที่มีพลังบำเพ็ญต่ำก็น่าจะฝังอยู่ที่นี่ ดวงชะตาในมหาสุสานบำรุงศพ เจ้าเปิดโลง บางทีอาจจะเจอศพเทพธิดาที่ยังไม่เน่าสลาย”
หนิงอี้มองค้อน
สุสานไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ผ่านไปนานมากก็จะเลี่ยงไม่ให้มีฝุ่นเกาะไม่ได้
“ไม่ต้องกังวล มหาสุสานของสำนักศึกษาใหญ่มาก ที่นี่เป็นเพียงที่หลับใหลของผู้บำเพ็ญสิบขอบเขต” อู๋เต้าจื่อพูดนิ่งๆ “ไม่มีอะไรน่ามองหรอก ไปหาห้องสุสานส่วนตัวของคนใหญ่คนโตพวกนั้นดีกว่า”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว
“ห้องสุสานของคนใหญ่คนโตห้ามขยับสิ่งของ เจ้ามาที่นี่เพื่อหาอะไรกันแน่”
หนิงอี้ไม่เชื่อคำพูดบ้าๆ พวกนั้นที่นักบวชนี่เพิ่งพูดเลย
“ข้ามาหาความจริง”
อู๋เต้าจื่อหรี่ตาลง พูดเบาๆ “รูปแบบคดเคี้ยวต้องมีหน้า หลังชิดวนภูเขาวนคุ้งน้ำ”
คัมภีร์กังขามังกร!
หนิงอี้หูตั้งขึ้นทันที รีบจำคัมภีร์ขาดหายที่เวินเทาไม่ได้บันทึกไว้พวกนี้ เขาตามหลังอู๋เต้าจื่อ นักบวชท่องคัมภีร์กังขามังกรเงียบๆ มองข้ามโลงไม้รอบๆ ไปพลาง ก้าวเร็วเหมือนเหาะเหินในมหาสุสานไปพลาง ไม่มีหยุดชะงักเลย สุสานแห่งนี้กว้างใหญ่มาก โลงไม้กองเต็มไปหมด สีสันหลากสี ปราณหยินไหลเวียนในความเงียบ ซึมซาบถึงใจคนเล็กน้อย
แสงไฟจากพับไฟขยับวูบผ่าน ก่อนหยุดลง
หนิงอี้บีบจมูกถาม “นักบวช…เจ้าท่องคัมภีร์อะไร”
อู๋เต้าจื่อชำเลืองตามองหนิงอี้ “ความลับสวรรค์เปิดเผยไม่ได้…เจ้าจะถามไปเพื่ออะไร”
ระวังตัวจริงๆ
หนิงอี้พูดปลง “ข้าเคยได้ยินบรรพจารย์บอกว่ามีคัมภีร์สองส่วน ผู้ได้ครอบครองอย่างแรกจะเห็นธรณีประตูมหามรรคของศาสตร์ชัยภูมิฮวงจุ้ย ผู้ครอบครองอย่างที่สอง จะไปได้ทุกที่ใต้ฟ้า…ส่วนแรกเรียกว่าคัมภีร์กังขามังกร อีกส่วนเรียกว่าคัมภีร์สะท้านมังกร”
อู๋เต้าจื่อทำเสียงจิ๊ๆ “จริงรึ พูดเสียจนข้าอยากรู้เลย คัมภีร์สองส่วนนี้อยู่ที่ใด ถ้าให้ข้ารู้ ข้าจะเอามันมาได้แน่นอน”
พูดได้แนบเนียนจริงๆ
หนิงอี้กลั้นใจอยากจะมองค้อนไว้ มองนักบวชที่ยิ้มหยีตาอย่างหมดคำจะพูด
เสแสร้ง เจ้าเสแสร้งไปเถอะ
เกรงว่าเจ้าคงเปิดคัมภีร์กังขามังกรจนเละแล้วกระมัง ขาดแค่ส่วนของคัมภีร์สะท้านมังกร…
หนิงอี้คิดในใจว่าโจรแก่นี่มีวิชาไม่เบาจริงๆ จะเกลี้ยกล่อมคงไม่ง่ายเลย
ดีที่ตนจดจำไว้บ้างแล้ว
หนิงอี้โล่งอกอยู่ในใจ
เขาท่องคัมภีร์ที่ตนได้ยินมาจากที่อู๋เต้าจื่อท่องเงียบๆ ในใจ ปรากฏว่าคัมภีร์พวกนี้ไม่ตรงกับคัมภีร์กังขามังกรไม่สมบูรณ์ที่เวินเทาเก็บไว้เลย หล่อแกสัมผัสไม่ได้สักนิด เป็นคัมภีร์ของปลอมแน่นอน!
ที่แท้ก็เป็นของปลอมรึ?!
หนิงอี้โกรธจนนิ้วมือสั่น มองอู๋เต้าจื่อยิ้มหยีตา อยากจะฟาดหัวเขาอีกสักที
เวินเทาบอกว่าเมื่อสิบปีก่อนเขาเดินทางกับอู๋เต้าจื่อ ต่างขโมยต่างคัดลอกกันและกัน อยากจะเรียนคัมภีร์ส่วนนั้นของอีกฝ่ายใจจะขาด เพื่อล่อลวงอีกฝ่าย เวินเทาท่องคัมภีร์สะท้านมังกรออกมาและจงใจเพิ่มส่วนที่ผิดเข้าไปเล็กน้อย
เดิมทีหนิงอี้คิดว่าศิษย์พี่สามต่ำทรามและไร้ยางอายมากพอแล้ว
ไม่นึกเลยว่านักบวชนี่จะไม่แพ้เวินเทาเลยสักนิด
…………………….