เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 54 ข้ามีจิตกระบี่หนึ่งดวง (rewrite)
ตอนที่ 54 ข้ามีจิตกระบี่หนึ่งดวง (rewrite)
“ข้างหลังสุสานนี้เชื่อมกับแดนเทวาบำเพ็ญของยอดผู้บำเพ็ญสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว”
อู๋เต้าจื่อยืนหน้าประตูมหาสุสาน พูดเสียงเบา “หลังจากผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ตายลง แดนเทวาเหือดแห้ง ห้องลับที่ผนึกไว้ก็เหือดแห้งเช่นกัน ทั้งสุสานถูกปิดไว้หลังประตู ข้างในน่าจะมีสมบัติมากมาย แต่เจ้ากับข้าแตะต้องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเจอกับหายนะครั้งใหญ่”
หนิงอี้มองประตูโบราณที่เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะบานนั้น ใช้คัมภีร์สะท้านมังกรคำนวณเงียบๆ ประตูโบราณบานนี้เป็นจุดแปลกจริงๆ หลังประตูเชื่อมกับสุสานของคนใหญ่คนโต…
เขาพูดด้วยความงงงวย “สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวรึ”
อู๋เต้าจื่อมีความแค้นกับจวนขานฟ้า เหตุใดถึงเลือกสุสานของยอดผู้บำเพ็ญสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
“ใช่ สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว”
อู๋เต้าจื่อพูดเรียบๆ “เจ้าเคยได้ยินนามของ ‘เคียงกระบี่’ หรือไม่”
หนิงอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
ตอนคุมเชิงที่ตรอกฝนพรำ อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยแห่งถ้ำกวางขาวเคยออกมือช่วย ตอนนี้นางก็เป็นผู้สืบทอดของสายเลือดเคียงกระบี่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
สายเลือดเคียงกระบี่ มีพรสวรรค์วิถีกระบี่ค่อนข้างสูง
“เคียงกระบี่รุ่นแรกเป็นอัจฉริยะที่สุดยอด” อู๋เต้าจื่อหรี่ตาลง สีหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยเนิบนาบ “หากวัดกันที่กำลังรบ เกรงว่าผู้บำเพ็ญอัจฉริยะในตอนนั้นของสี่สำนักศึกษา รวมกันก็ยังไม่เท่าเขา หลังจากเขาสร้างอำนาจขึ้นก็ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘เคียงกระบี่’ ชื่อนี้แค่ได้ยินก็มีดวงชะตายิ่งใหญ่ เล่าลือว่าความตายของเขาก็เพราะถูกดวงชะตานี้บดขยี้”
“นี่คือ…สุสานของเคียงกระบี่รึ”
“ใช่ และไม่ใช่” อู๋เต้าจื่อชะงักไป ก่อนพูดอย่างลังเล “ในสุสานต้องมีศพของเจ้าของ ก็เหมือนสุสานของเขาศักดิ์สิทธิ์ มีศพของเจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่น ในสุสานจักรพรรดิวางร่างของจักรพรรดิต้าสุย แต่สุสานของเคียงกระบี่ สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเคยเปิดต่อสาธารณะ ปัญญาชนหลายท่านในเมืองหลวงสำแดงวิชา ก็ยังแก้ปริศนานั้นไม่ได้”
“ในสุสานของเคียงกระบี่ไม่มีศพ หลังเคียงกระบี่รุ่นแรกปิดด่านบำเพ็ญ ก็เหมือนระเหยหายไปกับอากาศ แดนเทวาบำเพ็ญเหือดแห้ง จนถึงตอนนี้ชนรุ่นหลังของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวมาเปิด ของในนั้นขึ้นสนิมแล้ว พลังวิญญาณกับแสงดาราทั้งหมดสลายหายไป ไม่ต่างอะไรกับตายแล้ว” อู๋เต้าจื่อคลึงระหว่างคิ้วก่อนพูดต่อ
“ตอนนั้นสร้างความตื่นตกใจอย่างยิ่ง เคียงกระบี่ได้รับขนานนามว่าเป็นนักกระบี่ที่มีกำลังรบแกร่งที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุย กลับตายไปในเมืองหลวงต้าสุยเงียบเชียบเช่นนี้ ปัญญาชนในเมืองหลวงหลายคนร่วมมือกัน ใช้วิธีการน่าเหลือเชื่อค้นหาต้นตอ จะหาความจริง ทว่ากลับไม่ได้อะไรเลยในสุสาน…เคียงกระบี่รุ่นแรกละสังขารไปเช่นนี้ หายไปจากโลก”
เขาชะงักไป
“ข้าคิดว่าเรื่องในตอนนั้นไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
อู๋เต้าจื่อยื่นมือข้างหนึ่งมากดหน้าประตูสุสาน
เขาใช้คัมภีร์กังขามังกรเปิดจุดแปลก แสงจากพับไฟวูบไหวไม่แน่นอน
“แค่กๆ…”
ภายในสุสานเคียงกระบี่มีฝุ่นหมุนม้วนมามากมาย มีกลิ่นอายทำลายล้าง การป้องกันด้วยแสงดาราไม่มีผลเลย
หนิงอี้กระแอมไอสองครั้ง ยื่นมือไปปัดฝุ่น
“เรื่องเคียงกระบี่สูญสิ้น ข้าเคยอ่านคัมภีร์โบราณของเขาศักดิ์สิทธิ์มา” อู๋เต้าจื่อเลิกคิ้วขึ้น “ในวิชาต้องห้ามเกิดดับของภูเขาม่วงเคยกล่าวไว้ว่าชีวิตคนไม่อาจฟื้นคืน แต่บางทีอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น…”
หนิงอี้หรี่ตาลง
“คนตายเหมือนตะเกียงดับ ในเมื่อตะเกียงจุดขึ้นมาใหม่ได้ เช่นนั้นหากทำตามเงื่อนไขบางอย่าง คนก็จะฟื้นคืนมาใหม่ได้” อู๋เต้าจื่อพูดงึมงำ “ข้าอยากหาตัวอย่างที่ทำสำเร็จ…เดินทางเป็นพันเป็นหมื่นลี้ก็ยังไม่สมความปรารถนา”
คำพูดนี้ของอู๋เต้าจื่อดึงกระตุ้นใจหนิงอี้อย่างน่าประหลาด
เขาก้มหน้าหลุบตาลง นึกถึงสิ่งที่นักบวชนี่เคยพูดว่าหญิงที่รักถูกเขาศักดิ์สิทธิ์สังหาร
นักบวชเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ ทำความผิดครั้งใหญ่ใต้ฟ้า ก็เพื่อตามหาวิธีคืนชีพให้หญิงคนนั้นหรือ
น่าเสียดายคนตายเหมือนตะเกียงดับจริงๆ มีเพียงดับ ไม่อาจจุดขึ้นมาใหม่ได้
“ของทุกชิ้นในสุสานของเคียงกระบี่มีท่วงทำนองวิถีกระบี่ที่ยังเข้มข้นอยู่ ห้ามแตะต้องตามใจ” อู๋เต้าจื่อพูดอย่างจริงจัง “ไม่อย่างนั้นจะไปปลุกปราณกระบี่ในยุคนั้น เจ้ากับข้าจะเจอกับหายนะเป็นตาย”
หนิงอี้พยักหน้า
เขามองสุสานที่ไม่ถือว่าใหญ่แห่งนี้
ตอนนั้นเคียงกระบี่ปิดด่านบำเพ็ญฝึกฝนในห้องเงียบแห่งนี้ ใช้แสงดารากับปราณกระบี่เปิดแดนเทวาบำเพ็ญ บนชั้นวางไม้ผุข้างๆ มีกระบี่เหล็กแขวนอยู่หลายเล่ม คล้ายกับท่วงทำนองวิถีกระบี่ของศิษย์พี่รองฉีซิ่วเล็กน้อย ผ่านการกัดกร่อนของเวลามาเนิ่นนาน กระบี่เหล็กพวกนี้ขึ้นสนิมแล้ว
หนิงอี้เดินมาตรงผนังหิน ใช้คัมภีร์สะท้านมังกรคำนวณเงียบๆ ที่นี่หยินหยางตัดสลับกัน น่าจะมีสิ่งมงคลบางอย่างที่เจ้าของสุสานฝากไว้ตอนยังมีชีวิต
บนผนังหินแกะสลักอักษรไว้แถวหนึ่งจริงๆ
“ข้ามีจิตกระบี่หนึ่งดวง ถูกความทุกข์ปิดผนึกมาเนิ่นนาน
วันนี้เมื่อทุกข์สิ้นแสงสว่างกำเนิด ส่องทลายภูผานทีหมื่นบุปผา!”
นี่เป็นคำพูดที่เคียงกระบี่ฝากไว้ในตอนนั้น หนิงอี้อ่านแล้วดูเยาว์วัยมาก น่าจะเขียนไว้บนผนังตอนเด็ก เมื่อเคียงกระบี่รุ่นแรกเติบใหญ่ขึ้น อักษรผ่านเวลามานานก็ยังคงดูใหม่
หนิงอี้จินตนาการถึงภาพหนึ่ง
เคียงกระบี่ที่แกะสลักอักษรพวกนี้ตอนเยาว์วัยเดินออกจากสำนักศึกษา สร้างความตกใจในเมืองหลวงต้าสุย เอาชนะผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกันทั้งหมด มาถึงช่วงท้ายก็ไร้พ่ายในใต้ฟ้า กลายเป็นนักกระบี่อันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงก้องโลก
จนถึงตอนนี้ อัจฉริยะวิถีกระบี่ที่น่าตื่นตกใจที่สุดในสำนักศึกษาก็ถือว่าทำปณิธานก่อนตายในตอนนั้นสำเร็จแล้ว
ภายในห้องลับ กระบี่แขวนอยู่โดยรอบเต็มไปหมด ผ่านกาลเวลามาไม่รู้กี่ปี ไม้ผุ เหล็กขึ้นสนิม ผนังหินมีร่องรอยหลุดลอก แดนเทวาบำเพ็ญเหือดแห้ง ภาพทั้งหมดเก่าแล้ว
มีเพียงปราณกระบี่พวกนี้ที่ยังอบอวล ไม่หายไปไหน
พันปีมานี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รอเจ้าของของตนกลับมา
เคียงกระบี่รุ่นแรกในตอนนั้น ตอนที่ได้รับตำแหน่งนี้ มีจิตใจฮึกเหิมเพียงใด
“คนตายไปแล้ว ปราณกระบี่ยังอยู่” หนิงอี้พูดเบาๆ ในใจ ก่อนน้อมตัวประสานมือคารวะ สำหรับผู้อาวุโสที่ฝากร่องรอยลงสีด้วยหมึกเข้มในประวัติศาสตร์วิถีกระบี่คนนี้ เขาเคารพอย่างสูงสุด
มาถึงสุสานแห่งนี้ อู๋เต้าจื่อจ้องของทุกชิ้นข้างใน นอกจากกระบี่แขวนพวกนั้นแล้วยังมีตะเกียงโบราณทองสัมฤทธิ์ที่หญิงชาววังยกด้วยสองมือ เปลวไฟดับ มองเห็นอักขระที่แกะสลักในนั้นไม่ชัดเจน แต่มั่นใจได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เคียงกระบี่รุ่นแรกให้ความสนใจได้ ทั้งยังวางไว้ในแดนเทวาบำเพ็ญ หากนำออกไป เกรงว่าคงมีมูลค่าเท่าเมือง
แดนเทวาบำเพ็ญแห่งนี้เป็นคลังสมบัติตกทอดที่ใหญ่ที่สุดของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว นักกระบี่คนนี้หากยังมีชีวิต ฐานะของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวจะสูงขึ้นมาก เคียงกระบี่รุ่นแรกได้รับขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะที่แกร่งที่สุดในสี่สำนักศึกษา ต่อให้เผชิญหน้ากับ ‘ราชาเพลงปราชญ์’ ของจวนขานฟ้าก็ไม่ตกเป็นรอง
หากเคียงกระบี่ไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายในตอนนั้น เช่นนั้นแดนเทวาบำเพ็ญแห่งนี้คงไม่ถึงกับเหือดแห้งในชั่วข้ามคืน ไม่เหลืออะไรไว้เลย แต่แค่เจตจำนงกระบี่ การชี้นำที่เหลืออยู่เล็กน้อย ทำให้มรดกวิถีกระบี่ของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวสูงขึ้นไปอีกขั้น
อู๋เต้าจื่อที่ชูพับไฟสำรวจไปรอบๆ สุดท้ายมาอยู่ข้างหลังหนิงอี้
เขาจ้องหนิงอี้ที่ยืนหน้าผนังหินนิ่งๆ อยู่นาน สงสัยเล็กน้อย ส่วนของคัมภีร์กังขามังกรของตนมาถึงแดนเทวาบำเพ็ญเคียงกระบี่แล้วยากจะตรวจสอบได้ เดินไปเดินมาถึงได้มาอยู่หน้าผนังหินนี้ รู้สึกว่าที่นี่อาจจะซ่อนความลับที่ลึกลับยิ่งกว่าได้
เจ้าหนูที่ไม่รู้อยู่สำนักใดคนนี้ พอเข้าสุสานมาก็เดินตรงมาผนังหินนี้เลยหรือ
คัมภีร์สองส่วนต่างมีความพิเศษของมัน แสวงมังกรจุดทวาร ภูเขาใหญ่ธารใหญ่ หาทางเข้า คัมภีร์กังขามังกรเหนือกว่าขั้นหนึ่ง จุดเล็กๆ ฮวงจุ้ยนำทาง คัมภีร์สะท้านมังกรเหนือกว่าครึ่งหนึ่ง หากรวมสองสิ่ง เช่นนั้นจะไม่มีอะไรให้น่าเสียดายเลยจริงๆ
อู๋เต้าจื่อเห็นอักษรแถวนี้ เขาเงียบ เหมือนกับหนิงอี้ เขาเห็นความสง่างามตอนนักกระบี่หนุ่มเติบใหญ่ เล่าลือว่าตอนนั้นเคียงกระบี่เอาชนะคู่ต่อสู้ราชนิกุลทั้งหมด ไม่สู้กับคนไร้ชื่อเสียงเด็ดขาด และคู่ต่อสู้ทุกคนที่เอาชนะ ล้วนชิงกระบี่อีกฝ่ายมา
เขาเงยหน้าขึ้นมองกระบี่เหล็กที่แขวนในแดนเทวาบำเพ็ญเต็มไปหมด เดินทางไปตลอด เอาชนะนักกระบี่ในทั้งใต้ฟ้าไปเท่าไรแล้ว
ใต้ฟ้าต้าสุยกว้างใหญ่มาก อัจฉริยะวิถีกระบี่เป็นขนหงส์เขากิเลน
ด้านบนยังมีกระบี่อีกบางส่วน ปนเปื้อนกลิ่นอายของเผ่าปีศาจ
เขานึกถึงตำนานบางอย่าง
ช่วงที่เคียงกระบี่รุ่นแรกกำลังรุ่งโรจน์ที่สุด ได้รับตำแหน่งนี้
ตอนนั้นจักรพรรดิต้าสุยประเมินเขาไว้ว่า
‘เคียงกระบี่สามคำ ผลักหน้าพันปี ผลักหลังพันปี มีเพียงเขาคนเดียวที่รับได้’
ความจริง สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวมีอัจฉริยะมากมาย คนที่ได้รับการแต่งตั้งในเมืองหลวงต้าสุย ก็มีเพียงบรรพจารย์ที่จากไปก่อนวัยอันควรหนุ่มคนนี้
……..
“ตอนนั้นหลังจากเคียงสูญสิ้น บรรพจารย์ของอีกสามสำนักศึกษา…ก็ไม่มีข่าวคราวเหมือนกัน ไม่นานก็ทยอยกันสิ้นชีพลง ศพกับกระบี่รวมถึงมรดกมากมาย ไม่ปรากฏมาในโลกอีก” อู๋เต้าจื่อหรี่ตาลง ยื่นมือมาข้างหนึ่งเคาะผนังหินเบาๆ พูดงึมงำ “ข้าคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่มีทางเป็นแค่เรื่องบังเอิญ…หวังว่าจะหาความจริงพบในแดนเทวาบำเพ็ญนี้”
เขาเคาะผนังหิน ผนังหินนี้หนามาก กาลเวลากัดกร่อน เป็นลายพร้อยเล็กน้อย ในนั้นเหมือนจะไม่มีมิติที่ซ่อนอะไรไว้
ความจริงนี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงที่ไร้ประโยชน์
ปัญญาชนเมืองหลวงในตอนนั้นต่างเข้าใจศาสตร์ฮวงจุ้ยสุสาน และยังมีวิชาต้องห้ามมากมาย ล้วนเหนือกว่าอู๋เต้าจื่อในตอนนี้ทั้งสิ้น แม้แต่พวกเขายังหาร่องรอยการจากไปของเคียงกระบี่ไม่พบ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผ่านมาแล้วอีกกี่ปี…การจะหาความจริงเป็นเรื่องเพ้อฝัน
อู๋เต้าจื่อยังไม่ยอมแพ้
“จุดแปลก…ที่นี่อาจจะซ่อนจุดแปลกไว้…”
เขาโคจรคัมภีร์กังขามังกรสุดชีวิต อยากจะหาเงื่อนงำบนผนังหินให้พบ แต่น่าเสียดายมาก คัมภีร์ที่ราบรื่นไปเสียหมดกลับใช้กับผนังหินนี้ไม่ได้
ที่นี่ต่างจากที่อื่นจริงๆ มีแค่อักษรเล็กเจตจำนงกระบี่น่าเกรงขามแถวนี้ที่สะท้อนความฮึกเหิมของบรรพจารย์กระบี่รุ่นแรกของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ไม่ได้มีเบาะแสอื่นเลย
อู๋เต้าจื่อไม่ได้สังเกตเลยว่าสุสานนี้เงียบสงบมาก หลังจากหนิงอี้เข้ามาก็ไม่ได้ขยับไปที่ใดเลย
เขายืนอยู่หน้าผนังหิน ยังอยู่ในท่าสองมือกอดพินิจเหมันต์ มองผนังหินตรงหน้าเงียบๆ
หนิงอี้มีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย
พินิจเหมันต์ในอ้อมกอดเขา แกนกระบี่นั้นสั่นไหวเบาๆ
แม้แต่น้ำวนในตันเถียนยังสั่นไหวเช่นกัน
ข้างหลังผนังหิน…มีการคงอยู่บางอย่างที่กำลังร้องเรียกที่ราบกระดูกหรือ
……………………….