เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 56 ความชั่วร้ายของสุสานจักรพรรดิ (rewrite)
ตอนที่ 56 ความชั่วร้ายของสุสานจักรพรรดิ (rewrite)
เคียงกระบี่ ถูกลอบสังหาร
หนิงอี้พูดจบ อู๋เต้าจื่อลมหายใจกระชั้นขึ้นมา ไม่ใช่เพราะคำพูดนี้ไร้สาระ แต่เป็นเพราะว่า…มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นความจริงในตอนนั้น
กระบี่สามเล่มที่วางตรงหน้าตักรูปปั้นไม้ดินเหนียวเคียงกระบี่ เป็นการยืนยันที่ดีที่สุด
อู๋เต้าจื่อเป็นคนนอกวงการวิถีกระบี่
ต่อให้เป็นอย่างนั้นเขาก็ยังมองออกว่า ในตัวกระบี่ที่วางอยู่สามเล่มนี้มีกลิ่นอายที่ถูกต้องชอบธรรม และยังมีปราณปีศาจที่ยังไม่สลายไป สิ่งที่สอดคล้องที่สุดคือบรรพจารย์อีกสามสำนักศึกษา เคยสู้กับยอดผู้บำเพ็ญเผ่าปีศาจที่ทะเลพลิกผัน ตัวเขาเองก็เป็นยอดผู้บำเพ็ญวิถีกระบี่สูงสุด
หันไปมองผนังหินที่ถล่มลง
ลมหายใจเขาช้าลง กลายเป็นหนักขึ้น สายตาซับซ้อนอย่างยิ่ง
บางทีก็ไม่มีแดนเทวาเล็กใหญ่ ผนังหินนี้ก็เพื่อปิดบังความจริงของการสังหารในตอนนั้น
“เคียงกระบี่วางจุดแปลกไว้ที่นี่” หนิงอี้สูดลมหายใจเข้า “ข้ามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง ตรงนั้นสร้างแรงกดดันให้ข้าอย่างยิ่ง ที่ที่เชื่อมไป…ก็น่าจะเป็นสุสานจักรพรรดิ ด้วยฐานะและวิชาของเคียงกระบี่รุ่นแรก มีคุณสมบัติวางจุดแปลกเช่นนี้จริงๆ”
“ไม่มีวิชาพลิกฟ้า แม้จะหาจุดแปลกพบก็ไม่มีทางเข้าสุสานจักรพรรดิได้” อู๋เต้าจื่อจ้องหนิงอี้พลางพูดทีละคำ “นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนที่อาจารย์ข้าจะตาย ก่อนหน้านี้เจ้าหยั่งเชิงข้ามาหลายครั้ง…จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรปิดบังกันแล้ว คัมภีร์ที่ข้าฝึกคือคัมภีร์กังขามังกร กังขามังกรสะท้านมังกร ข้ามีเพียงครึ่งเดียว ไม่ใช่ว่าจะเข้าสุสานจักรพรรดิไม่ได้ แต่มีโอกาสตายในนั้นสูงมาก”
หนิงอี้กอดอก นิ้วมือเคาะผ้าดำที่ห่อพินิจเหมันต์ไว้
“เจ้าคือชนรุ่นหลังของเขาสู่ซาน เรียนคัมภีร์สะท้านมังกรกับเวินเทา ดังนั้นจึงหาชีพจรมังกรใต้จวนเขาครามพบ ตอนที่มาแดนเทวาเคียงกระบี่ ก็หาผนิงหินนี้เจอเร็วกว่าข้า…” อู๋เต้าจื่อยิ้ม “อย่าถามว่าข้ามองออกได้อย่างไร…แบบนั้นจะดูถูกข้าเกินไปหน่อย”
“อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่กำลังโด่งดังในเมืองหลวง หนิงอี้รึ”
หนิงอี้ไม่ปฏิเสธ แต่ยอมรับตรงๆ
หนิงอี้หยุดเคาะผ้ากระบี่ พลันเอ่ยขึ้น “เวินเทาวางมือแล้ว”
อู๋เต้าจื่อมีสีหน้าราบเรียบ
“เพราะเจ้า” หนิงอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูด “เขาบอกว่าความผิดพลาดครั้งนั้น เห็นเจ้าถูกจับ…จากนั้นถูกสับแปดชิ้น ตายด้วยน้ำมือคนใหญ่คนโตของเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา”
“แค่เปลือกจักจั่นทองเท่านั้น อุบายเล็กๆ”
อู๋เต้าจื่อยิ้มราบเรียบ นัยน์ตาขยับประกายยากจะคาดเดาได้
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างข้า เดินในเงามืด ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่พลาดอยู่แล้ว หากไม่มีกลอุบายไว้บ้าง จะอยู่รอดไปได้อย่างไร”
อู๋เต้าจื่อดูไม่อยากเอ่ยถึง
หนิงอี้ก็ไม่ซักไซ้
แต่ลึกๆ ในใจเขาเกิดคำถามมากมาย ด้วยวิชาเนตรของศิษย์พี่สาม มีโอกาสน้อยมากที่จะมองพลาดไปได้ ต่อให้เวินเทาถูกอู๋เต้าจื่อหลอก แล้วคนใหญ่คนโตของเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพานั่นล่ะ โจรปล้นสุสานที่ถูกจับและสับเป็นชิ้นๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง กลอุบายอะไรกันที่ทำให้ผู้ฝึกหลอมกายที่ยังไม่ทะลวงขอบเขตที่สิบ หนีรอดจากมือคนใหญ่คนโตขอบเขตราชันดาราได้
นี่ไม่ใช่อุบายเล็กๆ อย่างที่เขาบอกเลย
ไม่ว่าเรื่องนี้จะน่าเหลือเชื่ออย่างไร แต่ตอนนี้ก็เกิดขึ้นจริงแล้ว
อู๋เต้าจื่อยืนหน้าตนอย่างสงบนิ่ง แขนขาแข็งแรง สมองยังดี นี่เป็นความจริง
ไม่ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นแล้ว
หนิงอี้มองนักบวชพลางสูดลมหายใจเข้าเบาๆ
มีอุบายซ่อนฟ้าข้ามสมุทรเช่นนี้ได้ เบื้องหลังนักบวชนี่ไม่ธรรมดาเลย
ได้ยินว่าเรื่องนี้ในตอนนั้น เกือบทำให้เขาศักดิ์สิทธิ์นี้ทำศึกกับเขาวิญญาณแดนบูรพาเลย
นักบวชกับเขาวิญญาณแดนบูรพา อาจจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งจริงๆ
“ในตัวข้ามีคัมภีร์สะท้านมังกรจริงๆ” หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก “คัมภีร์สองส่วนรวมเป็นหนึ่ง ต่อให้เป็นสุสานจักรพรรดิก็หนีออกมาได้สบาย”
อู๋เต้าจื่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หนิงอี้…เจ้าเข้าใจกฎ ข้าจะไม่พูดอีก หลังเข้าสุสานจักรพรรดิแล้ว จะทำอะไรต้องระมัดระวัง รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย”
หนิงอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เขายื่นมือไปข้างหนึ่ง ปราณกระบี่จากที่ราบกระดูกเปล่งแสง ไหลมารวมกันจากสี่ทิศเหมือนปลาเวียนว่าย สัมผัสมิติแห่งนี้ เชื่อมจุดแปลกของสองสุสาน
……
ก้อนหินยักษ์ที่ถล่มลงมา
เสาหินน้ำแข็งที่ถูกปราณกระบี่ฟันขาด มิติที่ค้ำยันอยู่เหนือศีรษะหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อไม่ได้ถล่มลง เป็นโซ่แสงดาราพันรอบสุสาน
นี่ต่างหากคือวิชาเหนือฟ้า
ห้ามประมาทในทุกก้าว
หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อมีเหงื่อซึมออกมา ชนรุ่นหลังสองคนที่ฝึกคัมภีร์กังขามังกรกับคัมภีร์สะท้านมังกรท่องมนตร์เงียบๆ รู้สึกถึงพลังสังหารรุนแรงอยู่เหนือศีรษะตน โซ่แสงดาราที่พันรอบสุสานช้าๆ พวกนั้นเคลื่อนไหวไม่หยุด ข้างหลังจุดแปลก อำนาจน่าเกรงขามเช่นนี้น่าจะเป็นทางเข้าบางแห่งของสุสานจักรพรรดิ
เสาหินน้ำแข็งเป็นวัสดุทนทานที่ต้านการโจมตีของขอบเขตราชันดาราได้ เมืองชั้นนำที่สำคัญของเผ่ามนุษย์ล้วนใช้หินยักษ์น้ำแข็งปูหัวเมือง นี่เป็นวัสดุล้ำค่าที่หายากในโลกอย่างหนึ่ง
ตอนนั้นเจ้าหรุยจะหลอมตัวกระบี่ที่คมที่สุด ก็เคยพิจารณาจะใช้หินยักษ์น้ำแข็งมาตัดประกายคม เจียระไนตัวกระบี่ ทำเป็นหินลับกระบี่…สุดท้ายเพราะหาวัสดุที่เหมาะสมกว่าได้จึงล้มเลิกไป
ทว่าเสาหินน้ำแข็งที่ตั้งอยู่สี่ทิศวางยาวออกไปตลอด เสาหินพวกนี้ถูกคนใช้ปราณกระบี่ตัด หลายต้นถล่มลงพร้อมกัน…หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อมองหน้ากัน ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย
นี่คือที่ที่เกิดการต่อสู้ระหว่างเคียงกระบี่กับสามบรรพจารย์สำนักศึกษาหรือ
ค่ายกลสุสานจักรพรรดิโดยรอบเกิดหมอกขึ้น โซ่แสงดาราเหมือนงูเหลือมยักษ์ทะลวงผ่านไปช้าๆ เหมือนตัวมังกรพันรอบ ลากเกิดสะเก็ดไฟบนพื้น โซ่เป็นสีฟ้าสดทุกส่วน ภายในหมอกปกคลุมเงามืดชั้นหนึ่ง มีกลิ่นอายของ ‘มังกรแปรปรวน’ สามส่วน เจ็ดส่วนที่เหลือเป็น ‘พลังสังหารหลบซ่อน’ ที่หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อรู้สึกในตอนนี้
ที่นี่วางค่ายกลสังหารไว้มากมาย
สามบรรพจารย์สำนักศึกษาในตอนนั้น เพื่อที่จะสังหารเคียงกระบี่อย่างเงียบเชียบ เกรงว่าคงต้องจ่ายไปอย่างมหาศาล ย้ายแดนเทวาบำเพ็ญของเคียงกระบี่มาใต้ดินสุสานจักรพรรดิ ตั้งใจจะสังหารนักกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุยในที่ที่ผนึกแสงดารากับกายและจิตแห่งนี้
หากเดาไม่ผิด เกรงว่าในนั้นยังมีค่ายกลที่ผนึกปราณกระบี่อีก เพียงแต่ถูกเคียงกระบี่ทำลายลง
ค่ายกลสังหารพวกนี้ส่วนใหญ่เสียหาย แต่อานุภาพที่เหลือก็ยังแข็งแกร่งยิ่ง หนิงอี้ไม่สงสัยเลยว่าตอนนี้ หากตนกล้าบุ่มบ่ามขยับก้าวเดียวก็จะไปทำงานค่ายกลสังหาร เขาคงจะถูกฟันจนแหลกไปทั้งกายและจิต
เขาบีบค่ายกลมารดาบุตรนั้นของเด็กสาว รู้สึกเย็นแผ่นหลังเล็กน้อย ที่นี่ใช้ยันต์ไม่ได้ จะไปก็ไปไม่ได้
ได้แต่ปลุกใจเดินหน้าต่อไป
ในแขนเสื้อของอู๋เต้าจื่อก็กำยันต์เช่นกัน แผ่นหลังเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็พบว่า…สุสานจักรพรรดิไปได้แต่กลับไม่ได้ นี่ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอย ค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหมดไม่มีผล ได้แต่ดาหน้าเดินต่อไป
ข้างหน้าเป็นค่ายกลสังหารนับไม่ถ้วน
“มารดาท่านเซียนเถอะ…” มือนักบวชมีแต่เหงื่อ เขามองหนิงอี้พลางพูดเสียงแหบแห้ง “เจ้ากับข้าแลกคัมภีร์กังขามังกรกับคัมภีร์สะท้านมังกรกัน ไม่อย่างนั้นได้ตายกันที่นี่หมดแน่”
หนิงอี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ อู๋เต้าจื่อพูดถูก หากไม่แลกคัมภีร์กัน สองคนจะเดินไปไม่ได้เลย จนเมื่อโซ่แสงดาราในหมอกวนครบรอบตามเส้นทางมังกรงูแล้ว ค่ายกลสังหารพวกนี้จะกลายเป็นวิชาสังหาร หายนะก็อาจจะตกอยู่ที่หัวตนได้
สองคนมองหน้ากัน เหงื่อเย็นๆ ไหลพราก ก่อนจะสวดคัมภีร์ในทันที
“แสวงมังกรพันหมื่นดูล้อมขุนเขา ล้อมหนึ่งชั้นคือหนึ่งด่าน…”
ถึงตอนนี้ คัมภีร์กังขามังกรกับคัมภีร์สะท้านมังกร คัมภีร์สองส่วนนี้ หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อไม่มีใครกล้าปิดไว้อีก หากเก็บคัมภีร์ของตนไว้ มีโอกาสสูงมากที่สองคนจะตายพร้อมกันที่นี่
ชั่วครู่ต่อมา หนิงอี้ได้รับคัมภีร์แสวงมังกรฉบับสมบูรณ์ แต่ภายในใจกลับไม่ดีใจเลย เขาจ้องโซ่แสงดาราเหนือศีรษะตลอด มองมังกรงูเลื้อยไปมาทีละตัว คัมภีร์สะท้านมังกรครึ่งส่วนของตน ได้แค่คำนวณตำแหน่งของการโจมตีคร่าวๆ ค่ายกลสังหารอาจจะทำงานใต้เท้าตนได้ตลอดเวลา หลังจากได้คัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ เขาก็คิดคำนวณอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็หาตำแหน่งสมบูรณ์พบ แล้วมองอู๋เต้าจื่อ
“วายุ พายุอัสนี พิภพ อัคคีใต้”
คัมภีร์แสวงมังกรสมบูรณ์ได้แสดงความสง่างามออกมา
ภาพยันต์แปดทิศยักษ์กางออกใต้ดวงตาหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อ
ยันต์แปดทิศหมุนด้าน ค่ายกลสังหารเริ่มเปลี่ยนไป หากสัมผัสถึงพลังชีวิต ค่ายกลที่ปกป้องทางเข้าสุสานจักรพรรดิมาเป็นพันปีก็จะเริ่มการสังหารอย่างไร้ความปรานี
เกรงว่าคงมีเพียงยอดผู้บำเพ็ญระดับเคียงกระบี่เท่านั้นที่จะมองข้ามค่ายกลสังหารกับกฎ ต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวที่นี่ได้
ทางเข้าสุสานจักรพรรดิมีสิ่งของและเรื่องราวที่แทบจะพังทลายกระจัดกระจาย
หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อเหยียบตามทิศทางที่คัมภีร์แสวงมังกรคาดการณ์ เดินหน้าไปทีละก้าว
เมื่อเห็นตราหยกลวดลายสำนักศึกษาที่ลอยอยู่พวกนี้รวมถึงม้วนตำราค่ายกลสังหารที่กระจัดกระจายแล้ว หนิงอี้เม้มริมฝีปาก…ความจริงปรากฏตรงหน้า การต่อสู้ในตอนนั้น บรรพจารย์สามสำนักศึกษาใช้วิชาก้นหีบมากมาย จวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขาในปัจจุบัน สมบัติที่เดิมทีควรเก็บรักษามาจนถึงตอนนี้ กลับถูกเคียงกระบี่ทำลายในศึกนี้
หนิงอี้ยังเห็นแขนขาดแห้ง เลือดไม่เคยตากลมแห้ง ลอยเป็นเม็ดๆ อยู่ข้างแขนขาด ปราณกระบี่แนบกับแขนขาดนั้น ถูกฟันขาดไปพร้อมกับบ่า ความเป็นเทพสูญสิ้น เลือดที่ตกลงมายังคงมีความรู้สึกกดดันทางสายเลือดมหาศาล
บรรพจารย์สำนักศึกษาที่ถูกตัดแขนขาดคนนี้…เป็นราชนิกุลต้าสุย
เดินมาถึงช่วงสุดท้าย สุดทางค่ายกลสังหาร หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อสองคนเสียกำลังไปอย่างยิ่งในการอนุมานทิศทาง
อู๋เต้าจื่อก้มตัวเอามือกดหัวเข่า หอบหายใจแรง มองโซ่ดาราตรงหน้าผนึกสีแดงฉานบนพื้นและความปั่นป่วนในอากาศ
นี่คือค่ายกลที่ไม่มีวันหายไป ปกป้องทางเข้าสุสานจักรพรรดิไว้
และก็ผนึกความจริงในตอนนั้นไว้
หนิงอี้ยืนตรง ชุดคลุมดำปลิวไสวเองแม้ไร้สายลม เขายื่นมือมาข้างหนึ่ง คว้าแขนเสื้อที่ลอยมา
หลังความเป็นเทพเหือดแห้ง แขนเสื้อชิ้นนี้ ก็แห้งเป็นเหมือนไม้เหมือนดินเหนียว
หนิงอี้จำได้
ในแดนเทวาเล็ก บนรูปปั้นของเคียงกระบี่ไม่มีแขนเสื้อตรงนี้
ที่แท้เคียงกระบี่ที่ปุถุชนลำบากตามหามาพันปีก็อยู่ห่างเพียงผนังหินเท่านั้น
สี่สำนักศึกษา ภายนอกดูสงบ แต่ใต้ดินกลับซ่อนความแค้นที่ถูกปราณกระบี่ฟันขาดไว้
ความชั่วร้ายและความสกปรกทั้งหมดถูกผนึกไว้ในสุสานจักรพรรดิ
หนิงอี้มีแววตาซับซ้อน
ความจริงไม่มีวันสายไป…ก็เหมือนเขาที่เพิ่งเดินเข้าแดนเทวาเล็กและเห็นรูปปั้นนั้น
ท่านเคียงกระบี่ที่องอาจห้าวหาญ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ยังคงยิ้ม มองตรงไปข้างหน้า
เหมือนกำลังบอกว่า
‘เจ้ามาแล้ว’
ผ่านไปพันปี
เขาก็ยังรอคนนั้นที่จะมาเปิดโปงความจริงอย่างอดทน
ปราณกระบี่คงอยู่นิรันดร์ บุคลิกยังคงอยู่
รูปลักษณ์และจอนผมไม่เคยสั่นคลอน
…………………….