เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 68 ลมหนาวแรกใบไม้ผลิ ฆ่าคนมากที่สุด
ตอนที่ 68 ลมหนาวแรกใบไม้ผลิ ฆ่าคนมากที่สุด
“ผู้อาวุโส เหตุใดไม่ออกมาเห็นแสงสว่างบ้าง”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ถึงกับทำให้ราชันดาราอี๋อู๋ตกใจสะดุ้ง ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราผู้มีเอกลักษณ์นุ่มนวลคนนี้ หน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน จ้องเด็กหนุ่มที่นั่งย่อตัวหน้ารูปปั้นหินเคียงกระบี่อย่างจริงใจ
เด็กหนุ่มลูบจอนผมเปียกเล็กน้อย เพ่งมองรูปปั้นหิน ร่างเคียงกระบี่เมื่อพันปีก่อนเสียความเป็นเทพไป อาภรณ์กลายเป็นหิน พลังชีวิตสิ้นไปทั้งหมด แต่หากมันคือยอดผู้บำเพ็ญของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนนั้น กลับทำให้คนต้องเชื่อ
เพราะในรูปปั้นหินนั้น อาภรณ์เก่าแก่ คิ้วกระบี่และจอนผมยกขึ้น ดวงตาเร่าร้อนรวมถึงกระบี่บินสิบสองเล่มที่ล้อมเป็นวงกลมข้างหลัง คล้ายคลึงมากจริงๆ สมจริงราวกับมีชีวิต
ผู้บำเพ็ญดาราชะตาหลายคนของสำนักศึกษาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจอย่างน่าประหลาด จ้องรูปปั้นหินนั้น แสงดาราสั่นสะเทือน รวมเป็นร่างอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทีละร่าง ปรากฏกลางฟ้าดินโลกแห่งนี้ของจวนภูเขาคราม ผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาพวกนี้มองหน้ากัน เพ่งมองไปที่หนิงอี้อีกครั้ง พร้อมลงมือทุกเมื่อ
ซูมู่เจอขมวดคิ้วเช่นกัน ผ้าดำและงอบของนางปลิวไสวไปด้านข้าง สายลมเงามืดในจวนภูเขาครามพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ นักดาบหญิงถ้ำกวางขาวที่มีพลังบำเพ็ญสุดยอดคนนี้เงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าเหนือศีรษะ
จวนภูเขาครามอยู่ตรงจุดตัดชีพจรมังกร
หยินหยางตัดเงามืดกับแสงสว่าง
ปราณหยินด้านหยินปลุกตื่นขึ้นช้าๆ เหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงของท้องนภา พายุสายฟ้าโหมซัดสาด เมฆมืดครึ้ม ประกายสายฟ้าปรากฏ ขยับวูบวาบฉีกเมฆนภาเหมือนมังกรขาวผลุบโผล่ตัวหนึ่งขดอยู่เหนือศีรษะทุกคน กรงเล็บเกล็ดคว้าลงมา อาจจะพุ่งลงมาได้ทุกเมื่อ
“นี่คือเค้าลางการตื่นของยอดคน…”
ซูมู่เจอเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางพูดงึมงำ “พลังบำเพ็ญเหนือกว่าราชันดารา อย่างน้อยก็ยอดฝีมือขอบเขตนิพพาน…จะตื่นขึ้นมารึ”
คำพูดนี้ทำให้ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ
ดาราชะตาของจวนขานฟ้ามีสีหน้าปั้นยาก จ้องเด็กหนุ่มชุดคลุมดำกลางหมอก มองสีหน้าจริงใจของอีกฝ่าย ก่อนมองปรากฏการณ์บนฟ้าพลางกลืนน้ำลาย
“ปรากฏการณ์นี้ หรือว่า…หนิงอี้”
“มียอดฝีมือระดับนิพพานจะตื่นจริงๆ รึ”
หนิงอี้นั่งยองหน้ารูปปั้นหินของเคียงกระบี่ เขาจับแขนเสื้อมุมหนึ่ง ที่ราบกระดูกในกายหมุนโคจรช้าๆ ผลึกความเป็นเทพก้อนนั้นที่ราชาหัวใจราชสีห์มอบให้อย่างใจกว้าง หลังหลุดลอกก็กลายเป็นหยดความเป็นเทพร้อยหยด ตอนนี้ถูกเขาส่งเข้าไปในรูปปั้นหินเคียงกระบี่ทีละหยด
เขาจ้องดวงตาที่ยังคงยิ้มนั้นของเคียงกระบี่ หัวใจบีบรัดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
หนิงอี้เองก็รู้สึกถึงปรากฏการณ์เหนือศีรษะ เสียงฟ้าร้องดังมากขึ้นเรื่อยๆ หยดน้ำที่กระแทกใส่บ่อมีพลังมหาศาลเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าปรากฏการณ์พวกนี้เป็นเพราะตนเหนี่ยวนำหรือไม่…แต่ผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์ของตน ถูกส่งเข้าไปในรูปปั้นอย่างน่าปวดใจ เหมือนดินลงสมุทร ไม่เกิดคลื่นลมใดๆ เลย พลังบำเพ็ญตอนมีชีวิตของนักกระบี่ท่านนี้ เกรงว่าคงไม่แพ้ราชาหัวใจราชสีห์ การจะใช้ผลึกความเป็นเทพพวกนี้คืนชีพเคียงกระบี่…เป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายที่หนิงอี้อยากจะลองในช่วงเข้าตาจน!
ประกายสายฟ้าบนท้องนภาเชื่อมเป็นสาย ไม่อยากเชื่อว่าจะมีมังกรสายฟ้าจริงๆ เค้าลางปรากฏขึ้นแล้ว
“เป็นยอดฝีมือขอบเขตนิพพานจริงๆ…”
ใบหน้าใต้งอบของซูมู่เจอซีดขาวเล็กน้อย
สุ่ยเยวี่ยมองปรากฏการณ์เหนือศีรษะ ใบหน้าปั้นยาก พูดงึมงำ “กลิ่นอายพลังนี้ แปลกๆ…”
เจ้าจวนขานฟ้าหน้าซีดขาว เขาเก็บสองมือที่ไพล่หลังไว้กลับมา ปางมือในแขนเสื้อเสร็จแล้ว ยันต์ที่ลุกไหม้ดับลงช้าๆ เขาถือมีดสั้นครามสามฉื่อ สัมผัสกลิ่นอายพลังของชีพจรมังกรใต้เท้าตนกำลังตื่นขึ้นช้าๆ
คนชราสองคนจากสำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขามีสีหน้าเฉยชา
“หนิงอี้ เจ้ายังคิดหรือว่าเจ้าจะเชิญเคียงกระบี่คนนั้นออกมาได้”
เจ้าจวนขานฟ้าถือกระบี่ยาว เขามองเด็กหนุ่มที่นั่งยองหน้ารูปปั้น แน่นิ่งแต่ความจริงมีเหงื่อเม็ดเท่าถั่วซึมออกมาบนหน้าผาก ไหลลงมาบนแก้มพร้อมกับหยดน้ำที่ตกมาจากบนฟ้า เขาพูดพึมพำ “ผู้วายชนม์ไม่อาจคืนชีพ น่าเสียดาย เคียงกระบี่ตายไปจริงๆ แล้ว”
หนิงอี้กัดฟัน เขายังคงหัวดื้อส่งหยดความเป็นเทพในกายออกไป หยดความเป็นเทพเกือบร้อยหยด สำหรับหนิงอี้เป็นจำนวนมหาศาล แต่ตอนนี้กลับไม่เพียงพอเลย
“หากเคียงกระบี่มีชีวิตอยู่จริงๆ ก็คงไม่ถึงกับไม่ฝากมรดกไว้ให้เลยสักอย่าง…” เจ้าจวนขานฟ้าถือกระบี่ยาวเดินเข้ามาช้าๆ เขายิ้มมองหญิงสวมงอบ เชิดหน้าถามอย่างจริงจัง “ซูมู่เจอ ได้ยินว่าหลังเจ้าจุดดาราชะตาก็ไม่ยอมสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษสำนักศึกษา แต่ตั้งใจฝึกดาบยี่สิบปี จะเดินเส้นทางดาบที่ไม่มีใครเคยเดิน ไม่รู้ว่าตอนนี้…พลังบำเพ็ญเป็นอย่างไร”
หญิงสวมงอบวางมือบนด้ามดาบอยู่นานค่อยๆ จับด้ามดาบ หยดน้ำไหลผ่านงอบตกลงมา พายุพัดผ่าน ประหนึ่งม่านฝนเล็กแคบที่สาดเข้ามา นางกดงอบลง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำทีละคำ “เจ้าลองดูได้”
การต่อสู้ของสำนักศึกษา ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนบุคคล แต่ยาวนานมาพันปีแล้ว
เจ้าจวนขานฟ้ายิ้ม เงยหน้ามองฟ้า
ประกายสายฟ้าผ่าลงมา
เขาพ่นคำว่า ‘ดี’ เบาๆ
กลางพายุฝน เจ้าจวนที่ชุดคลุมแดงเปียกชุ่มถือกระบี่ก้าวเดิน บนพื้นดินที่เดินผ่านข้างหลังระเบิดเศษหินกระจาย ‘อย่างไม่รู้ตัว’ กระบี่หนึ่งรวมพลังทั้งหมดฟันออกไป แสงดาราขอบเขตราชันดาราเหมือนพายุหมุนผ่านดินแดน พัดสายน้ำพุ่งขึ้นฟ้า
ดาบหมึกเล่มหนึ่งฟันสายน้ำกระจายเต็มฟ้า เผยปลายดาบส่วนหนึ่งก่อน จากนั้นก็เป็นหญิงสวมชุดคลุมดำกดงอบใช้ไหล่พุ่งชนออกมาจากละอองน้ำ ใช้ท่าป้องกันเหยียบน้ำพุ่งชนสายน้ำออกมา
หนึ่งดาบฟันออกไป!
กระบี่ที่ฟันผ่ากลางฟ้าดินชนกับดาบที่ฟันขวางฉีกทุกสรรพสิ่ง…
ปราณกระบี่ปราณดาบกวาดล้างขยายออกไป
สุ่ยเยวี่ยหน้าเปลี่ยนสี ทะยานมาตรงหน้าหนิงอี้ ยกสองมือขึ้น เปล่งเสียงร้องมาในลำคอทีหนึ่ง อาจารย์อาน้อยวิถีกระบี่สำนักศึกษาคนนี้บรรลุเพียงดาราชะตา แต่พลังบำเพ็ญปราณกระบี่ค่อนข้างแกร่ง ละอองน้ำกระจายเต็มฟ้า เหมือนกองทัพนับหมื่นย่ำเข้ามา กระแทกใส่ปราการปราณกระบี่สามฉื่อของนาง เกิดเสียงดังเปาะแปะเหมือนหยดน้ำตกใส่ถาดหยก เพียงแค่เว้าลงไปเล็กน้อยก็ถูกปราณกระบี่ดับ เกิดเสียงแตกกระจายดังสนั่น ครู่ต่อมาก็ค่อยๆ สลายไปเหมือนควัน
ไม่อยากเชื่อว่าจะใช้พลังบำเพ็ญดาราชะตาต้านการโจมตีแข็งแกร่งของขอบเขตราชันดาราได้
ต่อให้เป็นคลื่นพลังก็ยังมีอานุภาพน่ากลัว
ผู้บำเพ็ญดาราชะตาของสำนักศึกษาหน้าซีดขาว คนที่ยืนอยู่หน้าสุดถูกปราณกระบี่ปราณดาบโถมใส่ ใช้ปลายดาบปลายกระบี่ปักพื้น สองมือจับด้ามไว้ยืนหยัดอย่างยากลำบาก ก็ยังถูกพัดจนล้มระเนระนาด แทบจะยืนไม่อยู่
ราชันดาราสองคนนี้ซ่อนพลังมาหลายปี แทบจะไม่เคยเผยศักยภาพต่อหน้าชาวโลก ตอนนี้ใช้กำลังทั้งหมดสู้กัน เพียงการโจมตีเดียวก็มีอานุภาพสะเทือนฟ้า! หากสู้กันตัวต่อตัว ด้วยความแกร่งของกำลังรบสองคนนี้จะต้องมีที่ยืนในใต้ฟ้าต้าสุยแน่นอน ไม่ต่างอะไรกับการใช้ค่ายกลกระบี่กวาดล้างราชันดาราทะเลพลิกผันเลย นักกระบี่นักดาบ เส้นทางที่เดินล้วนเป็นที่สุดของโลก
หลังหนึ่งดาบหนึ่งกระบี่ สองร่างเงาแดงกับดำต่างถอยออกไป สุดท้ายถอยไปคนละสิบจั้ง
เจ้าจวนขานฟ้ามีสีหน้าจริงจัง ปลายกระบี่เขาชี้ไปข้างหน้า หยดน้ำไหลลงบนแก้มช้าๆ
“ซูมู่เจอ เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
หญิงสวมงอบที่ถือดาบด้วยสองมือมีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
เจ้าจวนขานฟ้าพูดเสียงเบา “หากสู้กันตัวต่อตัว สู้กันเป็นตาย ผลเป็นอย่างไรก็พูดยากจริงๆ…เจ้าเดินมาถึงขีดสุดของราชันดารา การจะสังหารเจ้าต้องจ่ายไปอย่างมาก”
หญิงสวมงอบแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวขมวดคิ้ว
หญิงสวมงอบเหมือนรู้สึกบางอย่าง ใบหน้าซีดขาวขึ้น ฝนตกหนักใส่ตัว เกิดความรู้สึกหายใจติดขัดลับๆ
เจ้าจวนชุดคลุมแดงโบกสะบัด ยืนอยู่กลางฟ้าดินบนพื้นที่กว้างโล่งของจวนภูเขาคราม
เขาหัวเราะเบาๆ
เจ้าจวนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่มีสายฟ้าแลบลากยาว ก่อนพูดเสียงก้องกังวาน “ขอเชิญบรรพจารย์ออกมือ ชำระสะสางสิ่งสกปรกด้วย!”
…………
พายุฝนโหมกระหน่ำ ประกายสายฟ้าไหลผ่านนอกเส้นขอบฟ้า
หน้าต่างกระดาษถูกคนเปิดออกดังปัง
บุรุษที่เดิมทีหน้าซีดขาว ดูสุขภาพไม่ดีมีกลิ่นอายไม่พอใจส่วนหนึ่ง พักบนยอดหอโรงเตี๊ยมที่ผ่านชีวิตมาอย่างเลอะเลือน เขาหรี่ตาลง มองประกายสายฟ้ากับฝนตกหนักนอกเมืองหลวง
หญิงที่สวมชุดคลุมแดงตัวใหญ่ ใบหน้าเกียจคร้านมีความเจ้าเล่ห์เสี้ยวหนึ่งซบอยู่ในอกเขา แลบลิ้นเลียหน้าอกที่เปิดอยู่ขององค์รัชทายาทเบาๆ ปลายลิ้นหมุนวน
“หงลู่…เจ้าว่า” องค์รัชทายาทยิ้ม “ก่อนหน้านี้อากาศยังดีอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงเกิดฟ้าผ่าได้”
หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘หงลู่’ รู้ว่าผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงคนนี้เกียจคร้านจะสนใจลมฝนข้างนอกมาตลอด ตอนนี้เปิดหน้าต่าง นางมองตามไป สายน้ำของแม่น้ำพายุแดงลากเป็นสีทองอมแดง พลังเลือดลมราชวงศ์ที่ซ่อนในนั้นทำให้นางไม่กล้ามองตรงๆ รีบหลับตาลง
นางเอียงศีรษะมา ได้ยินเสียงหัวใจ จึงพูดเสียงเบามากด้วยความระมัดระวัง “องค์ชาย…ฟ้าผ่า เพราะฝนจะตก”
บุรุษยังคงเหม่อมองหน้าต่าง หน้าต่างกระดาษถูกพายุพัดตีกันไปมา
สายฝนเป็นหมื่นสายข้างนอกถูกขวางไว้นอกสามฉื่อ
เขามองข้างนอก ยื่นมือไปข้างหนึ่ง ผนึกเลี่ยงออกไป ใช้สองมือกอบน้ำฝนมา
“เมืองหลวงเป็นเช่นนี้ตลอด ไม่แน่นอน” องค์รัชทายาทพูดงึมงำ เขากำหมัดแน่น เกิดเสียงดังแปะ น้ำฝนแตกกระจายเป็นไอร้อนไหลออกจากฝ่ามือ ระเหยขึ้นไป
บุรุษหนุ่มที่ลุ่มหลงมัวเมายิ้มพลางดึงหมัดกลับมา ใบหน้างดงาม ต่อให้อยู่ในเมืองหลวงก็มากพอจะทำให้หญิงสิบอันดับแรกหลีกทางไปช้าๆ สายฝนข้างนอกกำเนิดจากธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นอายสังหารใดๆ หลังกำหมัดก็แบออก ฝ่ามือเขากลับมีเลือดสีทองซึมออกมา
สตรีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขององค์รัชทายาท สีหน้าจริงใจและบริสุทธิ์ ทึ่มทื่อและไร้ความรู้ เหมือนกับสัตว์เล็กตัวหนึ่ง เลียบาดแผล น่าสงสาร ปากพูดงึมงำไม่ชัดเจน
บุรุษยิ้มพลางลูบศีรษะนาง กดหงลู่ไว้ในอ้อมกอด มือที่ยกค้างอยู่นอกอาภรณ์วนช้าๆ ผ่านผ้าบาง บางครั้งก็หยุดชะงัก ลูบคลึง เหมือนกอดแมวน้อยอย่างอ่อนโยน ปล่อยให้นางฟังเสียงหัวใจตนที่เต้นเร็วขึ้น เบนสายตามองไปนอกหอ
ตรงนั้นพายุฝนโหมกระหน่ำ
องค์รัชทายาทกอดหงลู่ที่กำลังนั่งเรียบร้อย เอียงมองฝนตกหนักไกลๆ ด้วยใบหน้าเฉยชา
บุรุษที่มีเสียงครวญครางดังข้างหูไม่ขาด ไม่นานก็ไม่เผยสีหน้าเช่นนี้อีก
หยวนฉุนเคยบอกเขาว่า
เมืองหลวงมีฝนตกหนักถึงที่สุด
หน้าหนาวผ่านไปแล้ว ทุกสรรพสิ่งคืนชีพ
ลมหนาวแรกใบไม้ผลิ ฆ่าคนมากที่สุด
………………………..