เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 71 ดาบแห่งนิพพาน
ตอนที่ 71 ดาบแห่งนิพพาน
แม่น้ำวายุแดงต้าสุยเปล่งแสงทองสว่างไสว สายน้ำไหลหลาก
ประกายสายฟ้าบนท้องนภาวูบวาบ
ใต้สุสานจวนภูเขาคราม บรรพจารย์ที่หลับใหลมานานคนนั้น ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมา แสงดาราโหมซัดสาดบนฟ้า ธารดาราเดือดพล่านพลันเย็นเยือก สุดท้ายรวมเป็นร่างคน ผู้บำเพ็ญหลังจากนิพพานได้เหนือกว่าขอบเขตของสิ่งมีชีวิตแล้ว แทบจะก้าวสู่ตำหนักของเทพเจ้า กายเนื้อรวมขึ้นจากแสงดารา ประกายสายฟ้าสีฟ้าใสไหลเวียนบนอาภรณ์ของบรรพจารย์ มังกรน้ำเล็กสองตัววนเวียนแขนเสื้อตรงข้อมือ
อาภรณ์ผ้าเนื้อหยาบ บุตรสู่ฟ้า
ภายในเมืองหลวง ต่ำกว่าหนึ่งคน เหนือกว่าหมื่นคน
เจ้าจวนขานฟ้ามีสีหน้าจริงจัง ยกสองมือที่ถือกระบี่ขึ้น ถวายกระบี่ดุจถวายการบูชา ประสานมือคารวะบนฟ้าไกลๆ ก่อนพูดเสียงต่ำ “จวนขานฟ้ามรดกพันปี ขอเชิญบรรพจารย์ออกมือ!”
ศิษย์สามสำนักศึกษามีสีหน้าจริงจัง ตะโกนเสียงดังพร้อมกัน
“ขอเชิญบรรพจารย์ลงมือ!”
คุณชายครามที่ยืนหลังเจ้าจวนขานฟ้าหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขาเหม่อมองร่างเงาบนฟ้านั้น กัดฟัน ในความคิดซับซ้อน
เสียงตะโกนดังเข้าหูหนิงอี้
เขายังคงมองรูปปั้นหินเคียงกระบี่ ใส่ความเป็นเทพเข้าไปมหาศาล ไม่สนใจว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้น
เขาเคยได้ยินพันกรเอ่ยถึงนามของบุตรสู่ฟ้าที่หลังเขาสู่ซาน
นี่เป็นยอดฝีมือสำนักศึกษาที่เหนือกว่าขอบเขตราชันดารา
คนใหญ่คนโตในสุสานเมืองหลวง ไม่ว่าก่อนหลับใหลจะมีพลังบำเพ็ญเท่าไร จะอยู่สูงเพียงใด ขอแค่ไม่ก้าวสู่ความเป็นอมตะ เช่นนั้นก็ยากจะเลี่ยงเกิดแก่เจ็บตายได้ บางคนสู้สุดชีวิตทะลวงด่านเกิดดับสุดท้าย บางคนถอยหนึ่งก้าว รู้ว่าเดินทางมาถึงสุดทางแล้ว ยินดีฝากมรดกควันธูปให้ชนรุ่นหลังสำนักตน เป็นไพ่ตายเอาตัวรอด เลยฝากความเป็นเทพส่วนหนึ่งไว้ในสุสาน สักวันจะก้าวออกจากเงามืดมายังโลกนี้ ให้เห็นแสงสว่างบ้าง
ประกายสายฟ้าวูบไหว กลางวันกลางคืนกลับด้าน
ท่ามกลางฝนตกหนัก บรรพจารย์ ‘บุตรสู่ฟ้า’ คนนั้นนั่งอยู่บนมังกรสายฟ้าที่ดูโหดร้ายน่ากลัว สองมือกดระหว่างคิ้วมังกรงูสายฟ้าไว้ ค่อยๆ รวมเป็นร่างเลือดเนื้อ สีหน้าเฉยชาเหมือนเซียนบนสวรรค์ ร่างมังกรวนเวียนไปมาในชั้นเมฆ สุดท้ายเงยหน้าคำราม ยกกรงเล็บพุ่งลงมา
โลกเกิดแสงสว่างจ้า
……
ช่วงที่มังกรสายฟ้าปรากฏบนฟ้าของโลกนั้น
ปรากฏยันต์กระดาษสีเหลืองขึ้นในเมืองหลวงต้าสุย แกว่งไกวบนฟ้าเหนือตำหนักวัง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
ผู้มีอิทธิพล ผู้มีอำนาจหนุ่มทั้งสามกรมที่มารอที่นี่ ต่างกลั้นลมหายใจ จ้องยันต์นั้นไม่กะพริบ
กฎเหล็กเมืองหลวงต้าสุย จะกดขอบเขตพลังบำเพ็ญหลังดาราชะตาลงมาในระดับต่ำมาก และพวกเขาก็กำลังรอยันต์นี้เคลื่อนไหว
หากฝ่าบาทไท่จงยินดีให้สามสำนักศึกษาแสดงพลังทั้งหมด เช่นนั้นก็จะปลดจำกัดของยันต์นี้ ให้บรรพจารย์ของสำนักศึกษาลงมือในสภาพสูงสุดโดยไม่ต้องกลัวอะไร
สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวจะล่มสลายลงในชั่วอึดใจ
…….
มังกรสายฟ้านั้นห่างจากจวนภูเขาครามหลายร้อยจั้ง ในระยะหนึ่งลี้ พายุฝนถูกพลังไร้รูปบีบจนดีดออกไป แสงศักดิ์สิทธิ์แสบตาเหมือนมหาดวงตะวันตกลง เงาซูมู่เจอที่ยืนถือดาบถูกเผาจนแทบจะเดือดพล่าน
หญิงสาวที่โยนงอบทิ้งไป หลับตาลงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง รู้สึกได้ถึงความสงบที่สังเกตเห็นได้ยาก
ราชันดาราอี๋อู๋กับเจ้าจวนขานฟ้าพลันหรี่ตาแคบลง ซูมู่เจอแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวทะลวงปราการขอบเขตราชันดาราแล้ว จงใจเดินก้าวที่สำคัญที่สุดนั้นภายใต้การสั่งสมพลังมานาน…เดินสู่ความตายและถือกำเนิด
“นางจะ…นิพพาน!”
เสียงนุ่มนวลของราชันดาราอี๋อู๋มีความเหลือเชื่อเสี้ยวหนึ่ง
นี่ต้องมีความกล้าหาญเพียงใดถึงกล้าทะลวงด่านในช่วงเวลาสำคัญนี้
บนฟ้าเมืองหลวงต้าสุยมีป้ายคำสั่งลอยอยู่ ตอนนี้สัมผัสได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นั่นคือกฎเหล็กที่ฝ่าบาทไท่จงเป็นคนกำหนด ผู้บำเพ็ญในสุสานสำนักศึกษา ต่อให้ตอนมีชีวิตเดินถึงก้าวใดของนิพพาน เมื่อคืนชีพมาอีกครั้ง จะใช้พลังได้เพียงก้าวแรกเท่านั้น
มังกรสายฟ้าบนนภาพุ่งเข้ากลางผนึก กลิ่นอายพลังลดลงไปเรื่อยๆ ประกายสายฟ้ามากมายราวกับเศษซาก ถูกยันต์คำสั่งลดทอนลง แตกกระจาย
ลดพลังลง!
บรรพจารย์คนนั้นมีสีหน้าเป็นปกติ หลังพลังลดลงก็ลดลงอีก มังกรสายฟ้าขนาดมหึมาใต้สะโพกไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมแล้ว จากมังกรกลายเป็นมังกรน้ำแล้วกลายเป็นงูเหลือม เขาจ้องหญิงสาวสำนักศึกษาข้างล่างที่พลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนจะเข้าใกล้พลังบำเพ็ญตนในตอนนี้
“อย่าให้นางทะลวงพลัง!”
ราชันดาราอี๋อู๋หน้ามืดทะมึน เขาดึงปิ่นปักผมสองอันออกมาแล้วปาออกไป ปิ่นปักผมสองอันพลังทะลักล้น พลันกลายเป็นสิงโตกระโดดในอากาศสองตัว อ้าปากกางกรงเล็บพุ่งใส่หญิงสาวถือดาบคนนั้น
ซูมู่เจอเงยหน้าเล็กน้อย นางจับดาบฟันจากบนลงล่าง ปราณดาบปะทะกับปิ่นปักผมสองอันนั้น เกิดเสียงดังกังวานสองที ราชันดาราอี๋อู๋ที่ปาปิ่นปักผมไกลๆ หน้าซีดขาว กระอักเลือด ก่อนประกบสองมือ ปิ่นปักผมสองอันระเบิด แสงดารามหาศาลกลายเป็นสายฟ้าถาโถมใส่ซูมู่เจอในระยะสามฉื่อ พุ่งชนไม่หยุด เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
หญิงสาวสำนักศึกษากลางบ่อสายฟ้ายังคงหลับตาปิดสนิท เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดาบหมึกเล่มหนึ่งฟันลงไปอย่างแรง ประกายสายฟ้าระเบิด ร่างราชันดาราอี๋อู๋ลอยออกไปตามเสียงฟันดาบ
นางถือดาบดึงออกไปอีกครั้ง ลากดาบพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล ทะยานไปในระยะใกล้แค่นี้ ร่างเงาของเจ้าสำนักศึกษาสามคนหายไปพร้อมกัน เสาหินของจวนภูเขาครามพลันพังทลาย หญิงถือดาบกวัดแกว่งไปมา พลังบำเพ็ญทะลวงปราการราชันดาราแล้ว ฟันหนึ่งดาบเสาหินระเบิด เจ้าสำนักศึกษาตะวันสูงถูกปราณดาบฟัน สองมือซ้อนกันยังกันไม่อยู่ ถูกฟันกระเด็นออกไป ก่อนกระอักเลือดคำใหญ่ สภาพน่าเวทนายิ่ง ถอยไปหลายสิบก้าวถึงหยุดลง
ซูมู่เจอใช้มือข้างหนึ่งลากดาบพุ่งมาปรากฏตรงหน้าคนชราสำนักศึกษาขุนเขา วิชาหลอมกายของหญิงสาวคนนี้ฝึกถึงขั้นสูงยิ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ฟันใส่คนชราด้วยพลังที่ไม่อาจต่อต้าน ราชันดาราชราของสำนักศึกษาขุนเขาพลันหน้าซีดขาว แสงดาราทั้งตัวปะทะใส่ตัวหญิงสำนักศึกษา ในระยะที่ใกล้ยิ่งกลับถูกสะท้อนกลับมาทั้งหมด เข้าเนื้อตัวเอง หน้าอกตนถูกกระแทกเว้าลึกลงไป
ยังไม่จบเท่านี้ ซูมู่เจอใช้สองบ่าดันตรงหน้าอกเว้านั้น ดันอีกฝ่ายเข้าไปกระแทกเสาหินถล่มลงหลายสิบต้น สุดท้ายมาอยู่หน้าผนังหินริมจวนภูเขาคราม
ซูมู่เจอมีใบหน้าไร้ความรู้สึก มือข้างหนึ่งกดแก้มครึ่งซีกของคนชรา ก่อนจะยกขึ้นฟาดเขากับผนังหินอย่างแรง ศีรษะเกิดการบิดรอบใหญ่ ซีกใบหน้าฝังเข้าไปในผนังหิน
จากนั้นออกแรงที่ฝ่ามือ ทั้งผนังหินแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทำทุกอย่างเรียบร้อย
นางร้องออกมาทีหนึ่ง กระบี่เรียวยาวแทงที่หัวไหล่ เจ้าจวนขานฟ้าที่ใช้สองมือถือกระบี่แทงเข้ามา ตัวแทบจะแนบกับหลังซูมู่เจอ เขามีใบหน้าเหี้ยมเกรียม อยากจะดันคมกระบี่ ฉีกรอยแผลออก
ซูมู่เจอถูกเจ้าจวนขานฟ้ากดร่างตอกกับผนังหินครึ่งตัว นางออกดาบฟัน หัวไหล่ครึ่งหนึ่งเลือดสาดกระจาย ก่อนจะฝืนหมุนตัวกลับ ลมหายใจยังไม่ทันหายไป ดาบหมึกก็ฟันลงด้วยแรงมหาศาล ปะทะคมกับกระบี่เรียวยาวนั้น
เกิดเสียงดังแก๊ง
ซูมู่เจอหน้าขาวซีด ซวนเซสองก้าว
เจ้าจวนขานฟ้าเส้นผมยุ่งเหยิง ถูกแรงมหาศาลกระแทกลอยออกไป
“เจ้า…เจ้ามันหญิงบ้า”
เจ้าจวนขานฟ้าเช็ดเลือดตรงมุมปาก เขาจ้องไปกลางเงามืดที่มีฝุ่นควันคละคลุ้งนั้นพลางพูดอย่างเย็นชา “จะตายไม่ตาย อยากจะนิพพาน…”
ซูมู่เจอไหล่ตกครึ่งหนึ่ง อาภรณ์นางขาดไปส่วนหนึ่ง เลือดสีแดงไหลลงบนผิวขาวผ่อง ซึมชุดคลุมดำ
“นิพพานอยู่ตรงหน้า เจ้าก็เดินก้าวนี้ได้…” น้ำเสียงซูมู่เจอไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย “หลังก้าวออกมา เจ้ากับข้าจะสู้กันอย่างยุติธรรม แต่เจ้าไม่กล้า เจ้ากลัวตาย”
เจ้าจวนขานฟ้าไม่ตอบ แต่เงยหน้าขึ้นมองมังกรสายฟ้านั้นบนฟ้า
“วิญญาณของท่านบรรพจารย์ยังไม่กลับร่าง…ภายใต้ข้อจำกัดของกฎต้าสุย เขาจะคืนชีพได้ช้ามาก หากไม่เช่นนั้น เจ้าได้กลายเป็นศพไปแล้ว” เสียงเจ้าจวนมีความอ่อนแรงเสี้ยวหนึ่ง “ซูมู่เจอ เจ้าจะใช้การนิพพานลองนิพพาน หลังจากคืนนี้ ไม่ว่าบทสรุปเป็นอย่างไร เจ้าก็ต้องตาย”
ซูมู่เจอแสยะปากยิ้ม
นางเกิดมาไม่ถือว่างดงามเท่าไร ใบหน้านั้นมีความกล้าหาญและสุขุมและสง่ามากกว่า
ใต้ฟ้าต้าสุย ในระยะหมื่นลี้
ราชันดาราหญิง มีใครฝึกดาบบ้าง
มีเพียงซูมู่เจอ
เกิดดับนิพพาน มหามรรคใต้ฟ้า หากกลัวความตาย เช่นนั้นก็จะไม่เกิดใหม่
ซูมู่เจอเงยหน้าขึ้น กลิ่นอายมรณะเข้มข้นในตัวนาง หลังจากปลดพันธนาการนั้นอย่างกล้าหาญแล้ว ราชันดาราของจวนภูเขาครามก็ไม่มีอีกสักคนที่เทียบนางได้
แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ศัตรูของนางมีเพียงคนเดียว
บรรพจารย์คนนั้นบนท้องนภา ขี่มังกรสายฟ้าลงมาช้าๆ สุดท้ายหยุดอยู่เหนือศีรษะทุกคน ประกายสายฟ้าดังเปรี้ยงปร้าง บุตรสู่ฟ้าที่แขนเสื้อโบกสะบัดนั้น จอนผมและเส้นผมขาว ดวงตาจากว่างเปล่าก็เริ่มรวมกันขึ้น
ราศีลอยขึ้นมาช้าๆ
เจ้าจวนขานฟ้าพูดเสียงเบา “เจ้าคิดดีแล้วรึ”
หญิงถือดาบเหมือนไม่ได้ยิน
ในสายตานางมีเพียงบรรพจารย์ที่ยืนบนสายฟ้า อาบพายุฝนคนนั้น
บุตรสู่ฟ้าที่ยอมต่อกฎต้าสุยและลดพลังบำเพ็ญลงแล้วลงอีกดูเหมือนคนแก่สุขภาพดี จอนผมปลิวไสวอยู่ท่ามกลางสายฟ้าและสายฝน จากสีขาวหิมะก็เริ่มกลายเป็นสีดำ จากนั้นกลับมาเป็นหนุ่มทีละนิด สีหน้าดูสุขสบาย ใบหน้ากลายเป็นอ่อนโยน
วิญญาณใต้สุสานมาถึงแล้ว
เขาใช้เวลาเพียงแค่ลมหายใจเดียวก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
บุตรสู่ฟ้าขมวดคิ้ว “สำนักศึกษาตกต่ำถึงเพียงนี้ เผชิญหน้ากับราชันดาราที่ลองนิพพานคนเดียว ยังต้องใช้ไพ่ตายหรือ”
เจ้าจวนขานฟ้าหน้ามืดทะมึน จ้องซูมู่เจอตรงหน้า กัดฟันเงียบ
“เป็นผู้บำเพ็ญของถ้ำกวางขาว…” บุตรสู่ฟ้าเลิกคิ้วขึ้น พูดงึมงำ “ที่แท้ก็ถึงเวลาสี่สำนักศึกษารวมกันแล้ว…”
เมื่อเอ่ยจบ
บรรพจารย์ยื่นมือข้างหนึ่งไปทางหญิงถือดาบคนนั้นที่ยืนอยู่บนจวนภูเขาคราม
พลิกมือ
กดลงมา
ในระยะรอบซูมู่เจอสิบจั้ง ไม่มีหลุดรอดแม้แต่น้อย
ในระยะสิบจั้ง ทั้งฟ้าดินพลิกกลับ
……………………..