เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 78 บุญคุณกับความแค้น
ตอนที่ 78 บุญคุณกับความแค้น
รถม้าคันหนึ่งจอดนอกตำหนักวังช้าๆ องค์รัชทายาทที่เปิดม่านรถมองผู้คุมกฎของสำนักเต๋ากับเขาวิญญาณ ล้อมพื้นที่เป็นวงกลมในหนึ่งชั้นนอกหนึ่งชั้น เปลี่ยนพื้นที่กว้างหน้าตำหนักวังเป็นที่รวมผู้มีอำนาจสามกรม
สายลมยามเช้าพัดผ่าน
ขุนนางชราที่คึกคักกระปรี้กระเปร่านั้น สะบัดพระราชโองการเบาๆ
อ่านเนื้อความในกระดาษ
“เจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยอู๋ฉี่เกี่ยวข้องกับสายเลือดอาภรณ์ครามวรุณจวนขานฟ้า ละโมบรับสินบน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ…”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ เจ้ากรมน้อยที่มีนามว่าอู๋ฉี่คนนั้นหน้าซีดไปสามส่วน รอยยิ้มบนใบหน้าคงไว้ไม่ได้อีก แทบจะยืนไม่อยู่ ภายใต้ ‘การประคองด้วยเจตนาดี’ ของนักพรตชุดคลุมหยาบสำนักเต๋า ถึงยืนไว้ได้
เสียงไม่ดัง การพูดก็ไม่เร็ว แต่นามในกระดาษกลับไหลลื่นเหมือนสายน้ำ
องค์รัชทายาทอยู่ในท่าเปิดม่านรถ ใช้เสียงที่มีเพียงตนได้ยินพูดพึมพำ “นี่จะกวาดล้างสามกรม…หรือจะจัดระบอบใหม่กัน”
สามกรมก่อตั้งในเมืองหลวงมานานมาก คนที่นี่ ทั้งคนใหม่และเก่า คนหนุ่มและคนชรา ส่วนใหญ่ลงรากฐานกันอย่างมั่นคงแล้ว…หลังจบคืนฝนตกภูเขาคราม เจตนารมณ์ของไท่จงได้มาถึงโลกนี้พร้อมกับแสงสว่างยามรุ่งอรุณ
เมื่อคนส่วนใหญ่ยืนตรงข้ามเขา
เช่นนั้นคนส่วนใหญ่ก็จะมีโทษ
สมาชิกสามกรมในที่นี้ มีจำนวนแทบจะเกือบสามส่วนของสามกรมเดิม นี่เป็นข้อเปรียบเทียบที่ใหญ่มาก ในนั้นมีคนกรมผู้คุมกฎร่วมการต่อสู้สำนักศึกษามากที่สุด เจ้ากรมใหญ่สามท่านถูกพาตัวไป ผู้คุมกฎของสำนักเต๋าและเขาวิญญาณมาจากสองเขตแดนบูรพาและประจิม จึงได้คัดเลือกคนที่จะมาแทนที่ไว้ก่อนแล้ว
สามสำนักศึกษาพวกจวนขานฟ้าออกมือได้เร็วจนไม่ทันตั้งตัว ทว่าฝ่าบาทไท่จงรอคืนนี้มานานแล้ว…แต่สิ่งที่ทำให้องค์รัชทายาทไม่เข้าใจเลยคือทุกอย่างที่เกิดขึ้น เทียบกับคำว่า ‘วางหมากมานานแล้ว’ ทำให้คนคิดว่าเหมือนเรื่องบังเอิญมากกว่า
การกระทบกระทั่งกันระหว่างสามสำนักศึกษากับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว มาเร็วมาก ดุดันมาก
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่แตะต้องผนึกสุสานจะปลุกตื่นเคียงกระบี่ของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เอาชนะราชาเพลงปราชญ์ที่มีกำลังรบอันดับหนึ่งในพันปีมานี้ของสำนักศึกษาท่ามกลางพายุฝนภูเขาคราม
หากไม่มีเหตุการณ์พอดี…บทสรุปจะกลายเป็นแบบใด
ต่อให้เป็นอาจารย์หยวนฉุนก็ไม่อาจให้คำตอบองค์รัชทายาทได้
กรมผู้คุมกฎแทบจะถูกรื้อหมด บุคคลที่อยู่อย่างสงบท่ามกลางการต่อสู้ครั้งนี้มีใบหน้าเรียบนิ่ง มองสหายที่เมื่อวานยังพูดคุยยิ้มแย้มด้วยกันข้างๆ ใบหน้าขาวซีดถูกผู้คุมกฎจากสำนักเต๋าเขาวิญญาณคุมตัวใส่กุญแจมือ ลากขึ้นรถม้า ถูกถีบลงมาจากหอคอยงาช้างในคืนเดียว
ขุนนางชราคนนั้นอ่านโทษออกมาทีละข้อ คนอีกกลุ่มของผู้คุมกฎเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว…นี่เป็นการถ่ายเลือด ราชสำนักเมืองหลวงต้าสุยมั่นคงมานานมาก ฝ่าบาทไท่จงอยู่มาหกร้อยปี การถ่ายเลือดเช่นนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง ในความถูกและความผิด คนที่อยู่ในเมืองหลวงได้รู้แก่ใจดี แต่การจะอยู่ที่นี่ระยะยาว ยากจะเลี่ยงแตะต้องของนอกกฎได้
นอกกฎ ก็คือโทษ
ตอนถนนนิมิตชาด ไท่จงก็ใช้มือของเฉินอี้จัดการปู้หรูของจวนขานฟ้า…ตอนนี้ดูแล้ว ความจริงเป็นการเตือนอย่างไร้เสียง
องค์รัชทายาทมีสีหน้าจริงจัง รถม้าโคลงเคลง เดินหน้าไปอีกครั้ง
เขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องดี…สองแดนบูรพาและประจิมต่างมีราชนิกุลปกครองอำนาจ ความพ่ายแพ้ของสำนักศึกษาในครั้งนี้ สามสำนักศึกษามีโอกาสสูงที่จะต้องพึ่งพาเบื้องหลังของสองแดนบูรพาและประจิมถึงจะรักษามรดกไว้ได้ อยู่ต่อไปได้
กฎที่ว่า ‘ไม่พึ่งพิงราชวงศ์’ ในสายตาพวกเขา ความจริงเป็นเรื่องตลกเท่าฟ้า ต้าสุยหมื่นปีมานี้บางทีอาจจะมีบางยุคที่เมืองหลวงวุ่นวาย สำนักศึกษาคุมระบอบ แต่ไม่เคยมีสักยุคที่สำนักศึกษาไม่พึ่งพิงราชวงศ์อยู่รอด…
เพียงแต่ว่าสามสำนักศึกษาตอนนี้อยู่บนแท่น เหมือนเนื้อมันชิ้นใหญ่ สองแดนบูรพากับประจิมน้ำลายไหลแล้ว
องค์รัชทายาทหลับตาลง กำสองหมัดวางบนหน้าตัก นึกถึงทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ศึกของสำนักศึกษาครั้งนี้ ผู้เสียสละส่วนใหญ่จบจากสำนักศึกษาตอนหนุ่มสาว เป็นคนที่อาศัยร่วมกันกับสามสำนักศึกษา พวกเขาฝากสมบัติไว้ที่จวนขานฟ้า เพราะสิบกว่าปีในช่วงสั้นๆ นี้ อำนาจของจวนขานฟ้าทำให้พวกเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้…เบื้องหลังพวกเขาไม่ถือว่าแข็งแกร่งเท่าไร
และในตอนนี้ เบื้องหลังพวกเขาล้มลงแล้ว
นายทหารส่วนใหญ่ของสองแดนบูรพาประจิมกลับไม่ได้เข้าร่วมสักคน สะอาดเรียบร้อย ไม่ปนเปื้อนธุลี แค่รอการถ่ายเลือดครั้งนี้แล้วแทนที่ในเมืองหลวง
เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
เหตุผลของการเปิดฉากศึกครั้งนี้…มีโอกาสสูงที่จะมาจากเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยที่ชื่อปู้หรูคนนั้น ถูกผู้คุมกฎสำนักเต๋าพาตัวไป ตอนนั้นสองแดนบูรพาและประจิมก็เริ่มหยั่งเชิงท่าทีของไท่จงแล้ว แต่การตายอย่างเงียบเชียบของปู้หรู ไม่มีใครถามไถ่บทสรุป ก็ถือว่าได้ประกาศบทสรุปสุดท้ายของศึกครั้งนี้แล้ว
คนที่ล่าสำนักศึกษาไม่ใช่สำนักศึกษา แต่เป็นองค์ชายสองท่าน
แต่คนที่โค่นล้มสำนักศึกษา คือตัวสำนักศึกษาเอง
นี่หมายความว่าอย่างไร
นี่หมายความว่า…การประชันระหว่างสองแดนบูรพาและประจิมเริ่มขึ้นแล้ว ไท่จงยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเงียบๆ ท่าทีในอนาคตชัดเจนมาก คำสั่งที่สองยังไม่ประกาศ แต่การถ่ายเลือดในราชสำนักต้าสุยเป็นสัญลักษณ์ว่ากองกำลังของสององค์ชายจะดึงสองแดนบูรพาประจิมไปมา การต่อสู้ในราชสำนักกำลังจะจุดไฟขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้ว
องค์รัชทายาทที่ข้างกายไม่มีใครแต่กลับสบายไปทั้งตัว ไม่ได้ผ่อนคลายจริงๆ
เขามาโรงเตี๊ยม บนถนนว่างเปล่าและเงียบสงัด มองไปรอบๆ มีเพียงสายลมหนาว
หงลู่รอองค์รัชทายาทอยู่ใต้หอมานานแล้ว นางกอดผ้ายาวไว้ รถม้าหยุดลง นางก็วิ่งเหยาะๆ มาด้วยความดีใจ กอดองค์รัชทายาทหนุ่มจากข้างหลัง
บุรุษอึ้งไปเล็กน้อย เขาหมุนตัวกลับมา คลึงระหว่างคิ้วกลัดกลุ้ม ยิ้มพลางรับผ้ามาพาดบ่า ตรงจุดที่หัวใจดุจน้ำแข็งเกิดความอบอุ่นขึ้นอย่างพบเห็นได้ยาก
ตนไม่ถือว่าไม่มีใครอยู่ข้างกายจริงๆ
……….
บนภูเขาคราม
เด็กหนุ่มที่ยืนกลางสนามรบสุด เงยหน้ามองฟ้า
หนิงอี้มองบนฟ้าตาไม่กะพริบ ศึกเทพเซียนที่เป็นที่จับตามองของทุกคนปะทุขึ้นเหนือศีรษะเขา ปราณกระบี่ทำลายล้าง เพลงปราชญ์แตกกระจาย ชั้นเมฆหมุนม้วน สายฟ้าดังสนั่น
ก่อนเคียงกระบี่จะไปเคยบอกว่าตนจะไม่แพ้แน่ เขาเผยความมั่นใจในศึกนี้อย่างยิ่ง แต่หนิงอี้มีความกังวลลับๆ ในใจ…
เขาไม่ได้ไม่เชื่อว่าเคียงกระบี่จะชนะอีกฝ่ายได้
แต่ผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์ยื้อไว้ได้ไม่นานนัก หากศึกนี้นานกว่าเดิม ความเป็นเทพของเคียงกระบี่หมด เช่นนั้นก็จะตัดสินแพ้ชนะได้ทันที
เด็กหนุ่มยืนกำหมัด พายุฝนโหมกระหน่ำ เหมือนหินก้อนใหญ่ ไม่ขยับไหว
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบ บนฟ้าสูงสุด มีเสียงทะลวงอากาศดังฟิ้วพุ่งเข้ามาจากไกลสู่ใกล้
หนิงอี้มีสีหน้าดีใจใหญ่ เขาเห็นสิ่งหนึ่งลงมาจากบนฟ้าสูงยิ่ง ทะลวงชั้นเมฆ ตกลงมาไม่หยุดในเงามืด
ข้างหลังเป็นลำแสงตะวันสายหนึ่งที่ดันมาช้าๆ ค่ำคืนมืดถูกขับไล่ ต้อนรับแสงตะวันใหม่!
หนิงอี้พลันหน้าแข็งทื่อ เขาจ้องสิ่งที่ตกลงมานั้น ใบหน้าซีดขาว
นั่นเป็นมือขาด!
รูปปั้นหินที่ฟื้นคืนความทนทานแล้วไม่ได้มีเลือดทะลักออกมาเลย นี่เป็นเพียงแขนขาด หลังจากร่างสิ้นความเป็นเทพ กายเนื้อเริ่มแข็ง ปราณกระบี่กับเลือดไหลออกจนหมด ถูกอีกฝ่ายฟันขาด
สิ่งที่ตกลงมาพร้อมกับแขนขาดนั้นยังมีเศษร่างที่ไม่สมบูรณ์ กระบี่บินเล็กสิบสองเล่มไม่หมุนโคจรอีก แต่พากันตกลงมา
ความมืดบนชั้นเมฆ ไม่ทันที่แสงสว่างจะมาถึงก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น เมฆดำระเบิดกระจาย ปราณกระบี่ไร้รูปแผ่กระจาย
หนิงอี้กระโดดขึ้นสูง รับแขนขาดของรูปปั้นที่ตกลงมาไว้รวมถึงสิ่งที่ตกลงมาพร้อมกัน คลื่นแสงร้อนแรงระเบิดเหนือศีรษะ กระบี่บินสามเล่มในทะเลสาบจิตสั่นสะท้าน เพลงปราชญ์พังทลาย…บทสรุปของศึกสุดท้ายปรากฏมาแล้ว!
ร่างของราชาเพลงปราชญ์ไม่ได้ตกลงมา แต่อยู่กับคลื่นระเบิดนั้น ดับสลายไปชั่วนิรันดร์บนฟ้า
เคียงกระบี่ที่หันหลังให้พื้นดินและตกลงมานั้น เอาชนะศึกนั้นได้ ได้รับบาดเจ็บไม่เบา แต่ความเป็นเทพของเขาหมดไปแล้ว ทั่วร่างปกคลุมด้วยดินโคลนช้าๆ เหมือนผลึกน้ำแข็ง
เคียงกระบี่ที่นอนหงายหน้าไปบนฟ้าเหมือนยังยิ้มมุมปาก มองคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของตนบนชั้นเมฆด้วยความลำพองใจ ก่อนจะถูกคลื่นพลังมหาศาลกลืนกินไป
หนิงอี้รับเคียงกระบี่ เขาลงมาบนยอดภูเขาคราม กระแทกเป็นหลุมลงไปไม่เล็กไม่ใหญ่ กระบี่บินสิบสองเล่มที่ทะลวงผ่านชั้นเมฆตกลงมา ลงพื้นเหมือนฝนตก เสียความคมเดิมไป ค่อยๆ กลายเป็นกระบี่หิน
“ตัดสินอย่างยุติธรรม…เขาแพ้แล้ว”
เคียงกระบี่ที่ดวงตาเปล่งประกายแต่ยังมีจิตสังหาร ส่วนที่ยังไม่เป็นหินมีน้อยมาก เขาตกลงมาจากฟ้า หากไม่ใช่เพราะหนิงอี้มารับทันเวลา กระแทกลงพื้นร่างก็คงแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีทางที่จะเก็บรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนตอนอยู่แดนเทวาเล็ก
หนิงอี้ลุกลนเล็กน้อย เขาเพิ่งรวมความเป็นเทพส่วนหนึ่งในตันเถียน ตอนนี้ใส่เข้าไปในร่างของเคียงกระบี่ทั้งหมดอย่างไม่ขี้เหนียว ลองต่อแขนที่ขาดนั้น ก็พบว่าเสียแรงเปล่า
หนิงอี้พูดอย่างยากลำบาก “ผู้อาวุโส…”
“ไม่มีประโยชน์”
เคียงกระบี่ที่หน้าอกคลุมด้วยดินโคลนชั้นหนึ่งก้มหน้ามองร่างตนเอง ก่อนพูดเสียงเบา “จบศึกนี้ก็ไม่เสียใจแล้ว…ชีวิตมีอะไรให้สุข ตายมีอะไรให้กลัว”
แขนขาดนั้นไม่ได้ถูกราชาเพลงปราชญ์ฟัน แต่ตอนที่ตนออกกระบี่สุดท้ายนั้น ความเป็นเทพไม่พอ มือที่ถือกระบี่ไม่อาจรับแรงกดดันมากกว่านี้ได้อีก จึงถูกปราณกระบี่กระเทือนจนขาด
“หนิงอี้ เจ้าปล่อยมือเถอะ”
หนิงอี้กัดฟัน ก็ยังไม่สนใจ ยังส่งความเป็นเทพต่อไป
“หนิงอี้…”
เคียงกระบี่ขมวดคิ้ว
เขามองใบหน้าหัวดื้อของเด็กหนุ่ม “โลกกว้างใหญ่ ทุกสรรพสิ่งมีมากมาย…เจ้ากับข้าเพียงแค่พบหน้ากันครั้งเดียว ไฉนต้องทำเช่นนี้”
เขามองเรื่องความเป็นตายอย่างเฉยชาแล้ว ปล่อยวางทุกอย่าง
บุญคุณความแค้นในตอนนั้น ตอนนี้สลายไปดุจหมอกควัน รอเพียงความเป็นเทพเหือดแห้ง ดวงจิตก็จะสลายไปในฟ้าดินนี้
ไม่มีอะไรให้ห่วงอีก
เมื่อเอ่ยจบ หนิงอี้ก้มหน้าลง เงียบอยู่นานมาก จากนั้นเอ่ยเนิบนาบ
“บุญคุณของหยดน้ำ ต้องทดแทนด้วยตาน้ำ ท่านช่วยชีวิตข้า นี่คือบุญคุณของตาน้ำ”
หนิงอี้พูดอย่างจริงจังทีละคำ “ข้าไม่รู้จะทดแทนได้อย่างไร”
…………………………..