เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 8 คนตะกละ (rewrite)
ตอนที่ 8 คนตะกละ (rewrite)
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบหญิงที่เหยียบน้ำฝน วิ่งเหยาะๆ กลับมาเขาน้ำค้างเล็ก มาอยู่ข้างกายโจวโหยว นางกระซิบข้างหูเบาๆ เล่าเรื่องที่ท่านเจ้าลัทธิจะออกเดินทาง
โจวโหยวพยักหน้า
เขารู้สึกว่าการกระทำของนักพรตชุดคลุมหยาบไม่มีปัญหาใดๆ เจ้าลัทธิเป็นผู้นำทางจิตใจของทั้งแดนประจิม เรื่องเล็กใหญ่จะให้มีความเสี่ยงไม่ได้แม้แต่น้อย
โจวโหยวออกจากพิธีศพมายังจุดที่ตู้รถม้าไม้ขาว เขาขมวดคิ้ว ไม่เห็นร่องรอยของเจ้าลัทธิ นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบหญิงดูตื่นตระหนกอย่างชัดเจน นางเริ่มสอบถามข้ารับใช้รอบๆ ด้วยความลนลาน
ทว่าก็ได้รับข่าวที่น่ากลัวอย่างยิ่ง…
ข้ารับใช้พวกนั้นที่เฝ้าอยู่ข้างรถม้าบอกว่าตนไม่พบท่านเจ้าลัทธิเลย แม้แต่คนนั้นที่มากับนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบหญิงก็ยังไม่พบ…
โจวโหยวไม่ได้แผ่ทะเลวิญญาณไปในทันที ข้ารับใช้พวกนั้นไม่ได้พูดโกหก มีคนจงใจอำพรางร่องรอยของท่านเจ้าลัทธิ ใช้สมบัติล้ำค่าบางอย่าง ราคาต้องจ่าย…ย่อมสูงมาก
นกกระจอกแดงบนบ่าสัมผัสได้ถึงความคิดของโจวโหยว มันบินขึ้น กลายเป็นขนาดปกติ มองไปทั้งเขาสู่ซาน จากนั้นลงมาอีกครั้ง ส่ายหน้า
มันไม่รู้สึกถึงร่องรอยของท่านเจ้าลัทธิ
เรื่องนี้เริ่มแดงขึ้นแล้ว หลังนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบที่ร่วมพิธีศพสวีจั้งรู้เข้าก็ออกมาอย่างรวดเร็ว คนใหญ่คนโตของเขาศักดิ์สิทธิ์คาดเดาได้จากที่นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบออกไปได้ว่าท่านเจ้าลัทธิเจอปัญหาอะไรบางอย่าง จากนั้นพวกเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…เจ้าลัทธิออกจากพิธีศพแล้วก็หายตัวไป
เจ้าภูเขาน้อยพันกรไม่ห่วงภาพลักษณ์อีก นางเผยใบหน้าจริงมาอยู่ข้างกายโจวโหยว ความสามารถในประสาทสัมผัสของพันกรเป็นหนึ่งในสี่เขต ทะเลวิญญาณแผ่ไปทั้งเขตแดนเขาสู่ซานก็ยังไม่พบที่อยู่ของท่านเจ้าลัทธิ…
“มีคนใช้ของศักดิ์สิทธิ์ที่มีระดับสูงมาก”
พันกรหรี่ตาลง ไม่ใช่แค่เจ้าลัทธิเฉินอี้ แม้แต่หนิงอี้กับเผยฝานแห่งเขาน้ำค้างเล็ก…นางก็ไม่รู้สึกถึงเช่นกัน
“หลังภูเขา! ไปหลังภูเขา!”
นกกระจอกแดงทะยานขึ้น
นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบขึ้นม้ากันจ้าละหวั่น พุ่งผ่านป่าเข้าไป
คนส่วนหนึ่งบนเขาศักดิ์สิทธิ์ตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จากนั้นไม่นานนัก…พวกเขาก็เห็นศพร่างหนึ่ง ชุดคลุมหยาบถูกฉีกขาด เลือดซึมบนดินเลนเปียกชื้น มีคนร้องไห้ นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบที่รับใช้ท่านเจ้าลัทธิไม่ได้เจ็บปวดเพราะสหายสิ้นชีพ พวกเขาพบคราบเลือดด่างๆ บนหินแข็งของลำธารหลังภูเขา ดูจากระดับความสูง น่าจะศีรษะแตกแล้วเลือดหยดลงบนหิน
ทว่าโชคดีที่ท่านเจ้าลัทธิ…ยังมีชีวิต
ทางเข้าที่แท้จริงของหลังภูเขาเป็นโลกเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้ง ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ไม่ได้ยินเสียงของเฉินอี้ ตอนที่ถูกคนพบ เจ้าลัทธิหนุ่มผู้นี้อยู่ในสภาพย่ำแย่มาก มีคราบเลือดทั้งตัว ยืนขึ้นได้ยากมาก เขานั่งขัดสมาธิลงกับพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ ต่อให้ถูกนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบประคองขึ้นก็ไม่ยอมก้าวเดินและไม่ยอมพูด เพียงแค่เหม่อมองไปทางหลังภูเขา
ยันต์คำสั่งนั้นที่ลอยในอากาศ แกว่งไกวเองแม้ไร้สายลม
ยันต์ดูธรรมดาไม่หวือหวา มองไม่ออกเลยว่าเคยเปล่งแสงร้อนแรงเมื่อไม่นานมานี้
…….
ล้มลงตลอดทาง ล้มลงอีก
โลกที่เชื่อมต่อหลังยันต์คำสั่งนั้น ไม่ใช่ลำธารกลางหุบเขาเลย!
หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งกอดเผยฝานอย่างเต็มกำลัง อีกมือจับด้ามร่ม กางร่มใหญ่ออก แต่ก็ไม่ทำให้หนิงอี้ตกลงไปช้ากว่าเดิม
แกนกระบี่พินิจเหมันต์ทนทานมาก ฉีกขาดยาก ตอนนั้นสวีจั้งเก็บในฝัก ชักออกมาสังหารศัตรูได้…ตอนอยู่เมืองสันติ พินิจเหมันต์ถูกปรับเป็นกระบี่ร่ม นี่เป็นของเพียงอย่างเดียวที่สวีจั้งให้หนิงอี้ไว้ ดังนั้นหนิงอี้จึงพกติดตัวตลอด ไม่เคยปรับแก้แบบของมันอีก
ที่หนิงอี้กางร่มแต่ความเร็วไม่ลดน้อยลงเลยนั้น เป็นเพราะใบร่มถูกเงานั้นกระแทกใส่สองครั้งติดกัน กระแทกจนขาด จึงร่วงลงมาเรื่อยๆ แรงลมรุนแรงฉีกใบร่ม แกนกระบี่พินิจเหมันต์ยังอยู่ มีเศษใบร่มหลุดออกไปตลอดเวลา
เงานั้นดวงไม่ดีเท่าหนิงอี้ ระหว่างทางถูกของไร้รูปชน กระแทกใส่สองครั้งจนต้องปล่อยพินิจเหมันต์ สติไม่ได้พร่าเลือน ต่อให้กำลังตกลงไปก็ยังคิดจะสังหารหนิงอี้ในระหว่างนั้น
เงาอยากจะขยับตัวเข้าไปใกล้หนิงอี้อีกหน่อย กลับถูกหินผาที่นูนออกมากระแทกช่วงเอว ทำให้หินผาที่นูนมานั้นแตกออกเป็นชิ้นๆ เขาร้องเสียงดังพร้อมกระอักเลือดคำใหญ่ ครั้งนี้เขาเลิกดิ้นรน แต่เลือกสงบจิตใจลง หลบสิ่งกีดขวางที่อาจจะเจอขณะตกลงไป
หนิงอี้รู้สึกว่าเงานี้…เหมือนไม่ใช่ ‘คน’ ขึ้นเรื่อยๆ
เขากำร่องรอยบนพินิจเหมันต์ มันมีความร้อนกัดกร่อนกระดูก ใบร่มที่สวีจั้งคัดสรรมาอย่างดี เขายังตบฉีกขาดได้ แรงจู่โจมระดับราชันดาราพลิกสมุทรยังทำลายใบร่มพินิจเหมันต์ไม่ได้…แสดงว่าเขาอาจจะอาศัยการกัดกร่อนนี้มากกว่า
เลือดที่เงานั้นถูกกระแทกจนกระอักออกมา ถูกหมอกห่อหุ้ม พ่นไปถึงตรงข้ามหินภูเขา หมอกแตกกระจาย หนิงอี้จับภาพฉากสุดท้ายไว้ได้ หินภูเขาถูกไฟเผาจนเกิดควันขึ้น
นี่คือเลือดแบบใดกัน
มีการกัดกร่อนรึ
หนิงอี้รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ตนมีต่อเงานี้…ขลุ่ยกระดูกสั่นไหวไม่หยุด เมื่อขลุ่ยกระดูกสั่น เขารู้สึกว่ามีความน่ารังเกียจมหาศาลหลั่งไหลมาจากในกาย เหมือนเป็นการขับไล่ของจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง
พลังบำเพ็ญของเผยฝานสูงกว่าตน…แต่ถูกเงานี้กระแทก จิตวิญญาณเข้าสู่ความเจ็บปวด มีโอกาสสูงมากที่การกัดกร่อนนั้นจะลุกลามอย่างต่อเนื่อง แต่หนิงอี้ไม่ ขลุ่ยกระดูกขับไล่กลิ่นอายพลังที่จะรุกรานเข้ามาในตัวหนิงอี้ทันที
ดังนั้นเขากำพินิจเหมันต์ จึงแค่เกิดควันขาว
สองร่างเงายังคงตกลงไป ครั้งนี้หนิงอี้ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เขากระแทกกับกิ่งไม้หนาและใหญ่ที่ยื่นออกมา เพื่อปกป้องเด็กสาว เขาจึงเอียงตัว ต่อให้กายและจิตจะแข็งแกร่ง แรงกระแทกตกจากที่สูงก็ยังทำให้หนิงอี้ร้องออกมา ถึงกับตาเหลือก
และที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปกว่านั้นคือ…เงานั่นอาศัยโอกาสนี้กระโจนเข้ามา
อุณหภูมิร้อนระอุพลันจู่โจมเข้ามา หนิงอี้ตั้งตัวไม่ทัน มือใหญ่สองข้างรัดคอเขาอย่างแรง หมอกดำแตกกระจาย โครงกระดูกสองข้างตัดสลับกัน มีพละกำลังสูงมาก
พลังของขอบเขตที่เจ็ด…นี่คือการกดดันของพลังที่เหนือกว่าอย่างหนึ่ง หนิงอี้กอดเผยฝานไว้ข้างหน้า ด้านหลังถูกเงากอดและรัดคอไว้ แทบจะหายใจไม่ออกแล้ว
เขากำพินิจเหมันต์แน่น ปลายกระบี่แทงไปในตัวเงา แทงโดนโครงกระดูกชิ้นหนึ่งอย่างไม่น่าแปลกใจ ปลายกระบี่กระเด้งออก…อยู่ใกล้กันมาก หนิงอี้ได้ยินชัดเจน เงาข้างหลังไม่มีลมหายใจ ตกลงเร็วขนาดนี้กลับไม่มีเค้าลางการหายใจเลย…มันไม่เป็นผู้บำเพ็ญภูตผีก็เป็นคนตาย หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
“นี่มันบ้าอะไรกัน…”
หนิงอี้เริ่มสติพร่าเลือน
เขาใช้พินิจเหมันต์กระแทกไปข้างหลังทีละครั้ง แทงทะลุกระดูกที่หุ้มอยู่ในหมอกดำ
จากนั้นแรงลดน้อยลงเรื่อยๆ…น้อยลงเรื่อยๆ
เขาไม่รู้สึกเลยว่าตนกำลังตกลงไป สายลมเย็นผัดผ่านแก้ม แหลมคมดั่งดาบ เขาใช้มือข้างหนึ่งกอดเด็กสาวไว้แน่น อีกมือไร้เรี่ยวแรงแล้ว ปล่อยพินิจเหมันต์ออก
สติพร่าเลือน…ขลุ่ยกระดูกนั้นลอยขึ้นมาเงียบๆ ดึงเชือกแดงมาแนบระหว่างคิ้วหนิงอี้
ทะเลวิญญาณในช่วงที่ผ่านมานี้ไม่เคยเงียบสงบเลย
ม่านฟ้าฉีกขาด
น้ำทะเลพลิกกลับ
ต้นไม้ยักษ์เหี่ยวเฉา
บัลลังก์แตก
ภาพทุกภาพแล่นผ่านอย่างรวดเร็วและแน่นอน หนิงอี้ได้ยินเสียงลอยล่อง ดังขึ้นตรงหน้าผากตน
“พวกมันมาแล้ว…”
“พวกมันจะมาแล้ว…”
“มาแล้ว!”
เสียงสุดท้ายดังเหมือนสายฟ้าผ่าตรงหน้าผากเด็กหนุ่ม ขลุ่ยกระดูกแนบสนิทกับหนิงอี้ ความเป็นเทพสี่สิบสี่หยดที่ได้มาจากสวีชิงเยี่ยนในอารามรู้กรรม ไหลเข้าไประหว่างคิ้วหนิงอี้ทีละหยด
เด็กหนุ่มที่เดิมทีสติพร่าเลือน หลับตายอมรับชะตาพลันลืมดวงตาแดงก่ำขึ้น ริมฝีปากแห้งเริ่มเป็นสีแดงสด ดูสับสนและไม่รู้อะไรเลย
เงานั้นที่อยู่ข้างหลังส่งเสียงแหบพร่า
“เจ้า…เป็นอะไรไป”
ขลุ่ยกระดูกกำลังส่งเสียง กำลังร้องเรียกอย่างบ้าคลั่ง เปล่งแสงสว่างตรงระหว่างคิ้วเด็กหนุ่มไม่หยุด ในร่างกายที่มึนงงสับสน รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นและต้องการอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ความปรารถนานั้นแทงลึกลงก้นบึ้งหัวใจ…ความปรารถนาดำเนินต่อไป
หนิงอี้รู้ว่าตนต้องการอะไร ภายใต้การขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณ เขายื่นมือออกไป คว้าโครงกระดูกของเงาเข้ามากัด
จากนั้นเป็นเสียงคำรามด้วยความโกรธ
กระดูกนั้นถูกหนิงอี้กัดขาด เคี้ยวดังกรุบๆ ก่อนกลืนลงท้อง ในที่สุดการร่วงลงก็หยุดลง ทั้งสองคนกระแทกลงกลางแม่น้ำใหญ่อย่างแรง หนิงอี้ที่ดวงตาแดงเสียสติปัญญาไปแล้ว ผละเด็กสาวที่เหมือนเป็นภาระของตนออกอย่างนุ่มนวล ก่อนจะกระโจนใส่ร่างเงานั้น เนื่องด้วยแรงปะทะมหาศาล สามร่างเงาที่ตกลงกลางแม่น้ำจึงจมลงไปก่อน จากนั้นลดความเร็วลงช้าๆ
เสียงตะโกนด้วยความโกรธของเงาจมหายไปในเสียงน้ำ มันทะลวงขอบเขตหลังที่หน้าผนึกหลังภูเขาเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ กำราบผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สี่คนนี้ได้แน่นอน ตอนนี้ใช้ฝ่ามือตบศีรษะหนิงอี้ หลังตบไปไม่ได้ทำลายหัวมนุษย์คนนี้ แต่ฝ่ามือกระดูกที่อยู่ครบสมบูรณ์นั้นกลับแตกเป็นเสี่ยงๆ
หนิงอี้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย เขาโผเข้าไปคว้าแขนเล็กของมันไว้ อ้าปากกัด เศษกระดูกเต็มปากเหมือนคนตะกละ ดวงตาแดงฉานและเฉยชา
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นที่ก้นแม่น้ำ เงาปล่อยแขน ก่อนจะลอยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เขาเลิกคิดจะสังหารเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว มีความคิดเดียวคือออกไปจากที่นี่จึงว่ายขึ้นไปสุดชีวิต ปรากฏว่ากลับถูกหนิงอี้ที่ตามมาคว้าขาไว้ ฉีกออกดังฉึก
หนิงอี้มีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ลากเงากลับลงไปใต้น้ำใหม่
แสงสว่างระเบิดขึ้นก้นแม่น้ำ เสียงน้ำปะปนกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังกึกก้อง
……………………..