เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 82 คำสั่งที่สอง
ตอนที่ 82 คำสั่งที่สอง
หนิงอี้มองใบหน้าหลี่ไป๋หลินที่เกิดมาค่อนข้างดีแต่เสียความองอาจไป ไม่ต้องหลบซ่อนอะไร ลบสิ่งจอมปลอมไปทั้งหมดแล้ว ใบหน้าหลี่ไป๋หลินยังมีความซีดขาว แต่ต่างจากภาพลักษณ์คนลุ่มหลงในกามรมณ์ที่ปุถุชนลือกันไว้ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
ใบหน้าเขา เพราะคิดมากตลอดทั้งปีเลือดลมจึงไม่ดี ตรงระหว่างคิ้วมีความหยิ่งยโสและสูงส่งเห็นได้รางๆ…เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากเกิดมานั่งในตำแหน่งนี้ก็ไม่ควรจะมีความคิดเสมอคนธรรมดา
แต่ตอนนี้ ได้แค่ดูที่ตอนนี้
เขาไม่ได้สูงกว่าหนิงอี้เลย
หลี่ไป๋หลินไม่มีสีหน้าน้ำเสียงใดๆ คำถามนั้นที่ถามหนิงอี้ หนิงอี้ไม่ได้ตอบตรงๆ
เขาไม่ได้บอกว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’
หนิงอี้เพียงแค่เอ่ยราบเรียบสองคำ
“มิกล้า”
มิกล้าไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ แต่ความจริงหนิงอี้ยืนใต้ภูเขาคราม ยืนตรงข้ามหลี่ไป๋หลิน ก็หมายความว่าเรื่องที่ ‘มิกล้า’ นี้ เขาก็จะทำ
หลี่ไป๋หลินไม่มีสีหน้าดูถูกดูแคลนใดๆ แต่รวมความจริงจังออกมาช้าๆ
เขากับหนิงอี้พบเจอกันสองครั้ง ก็ยังไม่ได้เปรียบ
เดิมทีเขาไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากอีก
แต่เรื่องราวมาจนถึงตอนนี้ เขาอยากกินเนื้อที่น้ำลายสอของแดนบูรพาและประจิมก้อนนี้ของสำนักศึกษา แต่หนิงอี้กลับก้าวออกมา บอกตนว่าเขาไม่ตกลง
คนที่มีชีวิตในเมืองหลวงได้ไม่มีใครโง่
ไม่มีใครไม่รู้ว่านามขององค์ชายสามต้าสุยนี้หมายถึงอะไร แดนประจิมเบื้องหลังหมายถึงอะไร เขาหลี่ไป๋หลินกุมตำแหน่งสามกรมที่ว่างอยู่ไว้ในมือได้ครึ่งหนึ่ง
เช่นนั้นหนิงอี้กล้าโดดออกมา…
หลี่ไป๋หลินเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ามีสิทธิ์อะไร”
หนิงอี้มีสิทธิ์อะไร เรื่องของสามสำนักศึกษาจะไต่สวนต่อหรือไม่ เขามีสิทธิ์อะไร
หนิงอี้ยังคงไม่ตอบคำถามของหลี่ไป๋หลิน
เด็กหนุ่มที่ยืนใต้ภูเขาครามเงียบเล็กน้อย หนิงอี้ไม่เห็นชอบได้ ทุกคนของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวไม่เห็นชอบได้ แต่จะมีใคร ต่อให้เป็นท่าทีของซูมู่เจอก็ตาม…ในความหมายบางอย่างก็ยังเสียแรงเปล่า
หนิงอี้กำลังครุ่นคิด
ความจริงนี่เป็นคำถามที่จริงจังมาก ตนก้าวออกมา เรื่องมาถึงตอนนี้ เขาจะทำอย่างไร ถือดาบสังหารเจ้าจวนขานฟ้า หรือจะตัดมรดกของสำนักศึกษา เขาทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ตอนนี้ หนิงอี้ไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ แต่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
พายุฝนในเมืองหลวงเริ่มก่อตัวตั้งแต่เมื่อไร
การถามตอบที่พลันลอยเข้ามาในความคิดนี้…หนิงอี้ไม่รู้
แต่ตั้งแต่ที่เขาเห็นหลี่ไป๋หลินปรากฏตัวที่จวนภูเขาคราม เขาก็รู้ว่าศึกของสำนักศึกษาต้องมีบทสรุปที่แน่นอน เกรงว่าก่อนวันนั้นที่ถนนนิมิตชาดก็คงเริ่มขึ้นแล้ว เช่นนั้นเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร
เป็นคุณชายครามล่วงเกินเฉินอี้ หรือกระบี่นั้นที่ตนออกบนถนนนิมิตชาด หรือจะเป็นก่วนชิงผิงไปร้านหม้อไฟเนื้อวันนั้นและพบกับตน
ไม่ พวกนั้นเบาเกินไป เบาจนเหมือนสายลมอ่อน แค่พัดทิศทางของผีเสื้อ
บางทีซูมู่อาจจะพูดถูก การเข้าคุกของปู้หรูเป็นเพราะเขาฝ่าฝืนข้อห้ามของสององค์ชาย ดังนั้นเขาจึงเสียทุกอย่าง อยากจะโค่นล้มจวนขานฟ้า
เช่นนั้น….สององค์ชาย ใครเป็นต้นเหตุที่ใหญ่ที่สุด
เหมือนจะใช่…แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
ในเมืองหลวงแห่งนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับคนเดียว และได้แต่ขึ้นอยู่กับคนเดียวเท่านั้น
และท่าทีของคนนั้นเหมือนจะชัดเจนมากแล้ว
สำนักศึกษาจะกลายเป็นของแย่งชิงระหว่างสององค์ชาย ใครมาก่อนได้ก่อน
แต่องค์ชายรองชักช้ายังไม่มา
ในขณะกำลังยืนกรานกันนั้น หลี่ไป๋หลินก็เหมือนนึกถึงปัญหานี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีสีหน้าจริงจังขึ้น ไม่มองหนิงอี้อีก แต่มองไกลออกไป
เขาเม้มริมฝีปาก ใบหน้าที่เดิมทีซีดขาวอยู่แล้วปกคลุมด้วยน้ำค้างบางๆ
การหาคนมาแทนสมาชิกสามกรมราบรื่นมาก
การสับเปลี่ยนของชนชั้นสูงของอำนาจก็ราบรื่นมาก
บทสรุปของศึกสำนักศึกษาเป็นอย่างที่ตนคาดคิด สามสำนักศึกษากลายเป็นเนื้อปลา แดนประจิมและบูรพาคือมีดและเขียง การดำเนินไปของทุกอย่างงดงามกว่าที่ตนคิด ม้วนภาพต่อสู้ของราชสำนักต้าสุยในอนาคตกางออกแล้ว ทำให้หลี่ไป๋หลินตกอยู่ความรู้สึกก้าวหน้าอย่างราบรื่นเช่นนี้ จนลืมปัญหาที่สำคัญมากไป
เขาลืมไป
บิดาของตน…ยังมีคำสั่งที่สอง
เกิดการสั่นสะเทือนเบาๆ มาจากแผ่นดินไกลลับ สามสำนักศึกษาในจวนภูเขาคราม ซูมู่เจอกับสุ่ยเยวี่ย สายตาของกองกำลังทุกฝ่ายมองตามหลี่ไป๋หลินไปทางนั้นพร้อมกัน
นั่นเป็นทางเมืองหลวง
คนที่มาไม่ใช่คนเดียว แต่เป็นคนจำนวนมาก เสียงเท้าม้าย่ำพื้นเข้ามา คนที่มามีร่างเงาผสมคละปนกัน มีผู้คุมกฎสำนักเต๋าและเขาวิญญาณ และมีคนใหญ่คนโตสามกรมที่รอในตำหนักวังมานานก็ยังไม่ถูกดึงเข้ามาพัวพันในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้างหน้าพวกเขาเป็นขุนนางชราหลังค่อมที่ควบม้ามาด้วยตนเอง
ใบหน้าของขุนนางชราอยู่นอกเส้นขอบฟ้าไกล เพียงแค่เฉยชาเกียจคร้าน เขาขี่ม้ามาช้าๆ จนมาถึงจวนภูเขาคราม เขาใช้ห้านิ้วมือแห้งเหี่ยวคลึงแก้ม เปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม เริ่มตวัดแส้ม้าอย่างแรง ตู้รถม้าของคนใหญ่คนโตนั้นข้างหลังจึงเร่งความเร็วขึ้นตาม
หลี่ไป๋หลินหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย
เขาเห็นตู้รถม้าคุ้นตา
ข้างนอกตู้รถแกะสลักดอกบัวสีดำของแดนบูรพา คนที่นั่งในนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่รองของตน ใบหน้าที่ดูซื่อตรงธรรมดานั้น บีบเป็นรอยยิ้ม ‘อ่อนโยน’ เปิดผ้าม่านรถไกลๆ และยกนิ้วโป้งให้ต้นกลางรถม้าโคลงเคลง
ขุนนางชราที่เปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มไกลๆ นั้น ตอนที่ผ่านเส้นทางลงเขาและเห็นสภาพพังพินาศของจวนภูเขาครามก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ใจนึกพายุฝนเมื่อคืนวานช่างน่าตกใจนัก ไม่อยากเชื่อว่าจะรุนแรงขนาดนี้ ดูท่าต่อให้ไม่มีคำสั่งนี้ จวนขานฟ้าก็คงจะเสียหายอย่างหนัก จะสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งคงต้องใช้เวลานานมาก ไม่มีสามปีห้าปี ก็ไม่มีทางฟื้นฟูมรดกกลับมาในสภาพรุ่งเรืองได้สักครึ่งหนึ่งของก่อนหน้านี้
ขุนนางชราเงยหน้าขึ้น เห็นองค์ชายสามที่มีสีหน้าไม่เป็นมิตร เขาก็ถอนหายใจเงียบๆ ในใจ มองผู้บำเพ็ญสามสำนักศึกษาที่หน้าซีดขาวแต่ไม่เหมือนโล่งอก ก็พอจะรู้เรื่องของจวนภูเขาครามคร่าวๆ ว่าดำเนินไปถึงก้าวใด
คนชราที่รับใช้ในวังมาหลายปีเข้าใจกฎของต้าสุยเป็นอย่างดี ปฏิบัติตามมังกรนานวันเข้าย่อมรู้ว่าฝ่าบาทไท่จงให้ความสำคัญกับท่านใด ตอนนี้ดูแล้ว สายตาของฝ่าบาทแม่นยำ องค์ชายสามยังไม่มั่นคงพอ องค์ชายไป๋จิงรู้เรื่องและขบคิดสามรอบก่อนจะดำเนินการ มาที่วังก่อน รอคำสั่งที่สองประกาศ ถึงได้มาจวนภูเขาครามพร้อมกับตน
สำนักศึกษาเนื้อก้อนนี้ องค์ชายรองย่อมแย่งชิงได้
แต่ต้องให้ฝ่าบาทตรัสก่อนถึงจะแย่งชิงได้
หากฝ่าบาทไม่ตรัส เช่นนั้นก็หิวตาย จะอ้าปากไม่ได้เด็ดขาด
หลี่ไป๋หลินงุนงงเล็กน้อย รู้ว่าตนทำผิดในสิ่งที่ไม่ควรมาก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก
ขุนนางชราส่งเสียงตะโกนยาวๆ คุมม้าให้หยุดลง พลิกตัวลงม้า สองมือสอดในแขนเสื้อโค้งตัวคารวะ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง ก่อนจะพูดจากใจจริง “ยินดีกับคุณชายหนิงอี้ด้วย”
หนิงอี้ที่แสร้งทำเป็นไม่รู้เล่นละครต่อไป เขาเกาศีรษะ มองคนใหญ่คนโตที่มาเป็นขบวนพวกนี้ด้วยความมึนงง คนส่วนใหญ่ที่นี่เป็นใบหน้าคุ้นตา พวกเขามองตนด้วยแววตาเร่าร้อนและยินดีโดยไม่ปกปิดไว้เลย
โดยเฉพาะบุรุษคนนั้นในตู้รถม้าที่แกะสลักลายดอกบัวสีดำ
หนิงอี้รู้ว่าบัวดำที่แกะสลักบนรถม้านั้นเป็นสัญลักษณ์ของพันธมิตรเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา บุรุษหนุ่มคนนั้นคือองค์ชายรองหลี่ไป๋จิงที่กดองค์ชายสามต้าสุยจนโงหัวไม่ขึ้น เขาลงจากรถม้า แสดงท่าทีให้ความสำคัญ เหมือนมีอะไรจะพูดกับตน แต่ต้องรอประกาศจากขุนนางชราก่อน
คำสั่งที่สอง ตอนที่ขุนนางชราขี่ม้ามุ่งหน้ามาจวนภูเขาคราม จิ้งจอกเฒ่าพวกนี้รู้อยู่แก่ใจคร่าวๆ แล้ว
ขุนนางชรากระแอมไอ ก่อนพูดเสียงนุ่มนวล “คุณชายหนิงอี้ สำนักศึกษาเป็นรากฐานต้าสุย พันปีหมื่นปีไม่เคยสั่นคลอน พายุฝนเมื่อคืนวานถาโถม ท่านกำจัดภัยแฝงของราชสำนัก มีคุณความดียิ่งใหญ่ ไม่อาจลบล้างได้…ฝ่าบาทจึงประกาศคำสั่งเป็นกรณีพิเศษ เพื่อแสดงความขอบคุณ”
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!
ในแววตาหนิงอี้มีความซับซ้อน
ตอนนี้ เขานึกถึงตอนนั้นที่เฉินอี้ตบบ่าตนจากกันบนถนนนิมิตชาด และใช้จิตสื่อสารลับส่งคำพูดนั้นที่มีความหมายลึกซึ้ง
ลึกๆ ในใจเขายังคงตกตกลึง
ที่แท้เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของศึกสำนักศึกษา ตนก้าวออกมา…จะเกิดผลเช่นนี้เอง เขาไม่คาดคิดเลยว่าตนที่ก่อนหน้านี้ดูไม่เกี่ยวข้องอะไร จนถึงตอนนี้ กลับกลายเป็นแต้มต่อหนักไปอย่างไร้เหตุผล
เขาโค้งตัวลงจะแสดงความเคารพ แต่ถูกขุนนางชราขวางไว้
“ตอนนั้นฝ่าบาททรงตรัสกับเราว่าคำสั่งจะต้องรอทุกอย่างสงบลงถึงจะประกาศได้” คนชรายิ้มเล็กน้อย “คุณชายหนิงอี้ อย่ารีบร้อน”
เขานิ่งไป มองผู้บำเพ็ญสามสำนักศึกษาของจวนภูเขาครามชั่วครู่ รอยยิ้มบนใบหน้าหายวับไป
ขุนนางชราพูดอย่างเย็นชา “ใต้เท้าบุตรสวรรค์ ฝ่าฝืนกฎร้ายแรง เกี่ยวพันราชสำนัก กดขี่คนรุ่นเดียวกัน…จูโฮ่ว เจ้าเป็นเจ้าจวนขานฟ้า สิ่งที่กระทำ ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง ปลดจากตำแหน่ง เห็นแก่ที่ฝึกบำเพ็ญไม่ง่าย ให้เข้าแม่น้ำวายุแดงเมืองหลวง เป็นผู้ปกปักร้อยปี ชดใช้ความผิดหนัก เจ้ายินดีหรือไม่”
คำสุดท้ายลากเสียงยาวมาก
ใบหน้าเจ้าจวนขานฟ้าไม่อาจใช้คำว่าซีดขาวมาบรรยายได้
มียินดีหรือไม่ยินดีด้วยหรือ มาจนถึงตอนนี้ เขาจะทำอะไรได้อีก
จูโฮ่วพูดด้วยความเศร้า “ข้า…อยากพบฝ่าบาท”
“แต่ฝ่าบาทไม่อยากพบเจ้า” เสียงขุนนางชราเฉียบคมและไร้ความปรานี พูดอย่างเย็นชา
ยามที่ดีกับเขา ต่อให้เป็นเพียงเจ้ากรมน้อยของกรมผู้คุมกฎ เขาก็จะต้อนรับด้วยรอยยิ้ม หากไม่ดีกับเขา…ก็เหมือนตอนนี้ ต่อให้เป็นราชันดาราจูโฮ่ว ก็ไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่นิด
“นอกจากเจ้าจวนขานฟ้าจูโฮ่วแล้ว คนอื่น ฝ่าบาทไม่ได้เอ่ยถึง”
ตอนที่พูดประโยคนี้ ผู้บำเพ็ญสามสำนักศึกษา บางคนผ่อนคลายหัวใจนั้นที่ถือไว้อยู่ลงเล็กน้อย
ก็ยังมีความรู้สึกโชคช่วยที่ไม่ลงโทษทุกคน
“เพราะครั้งนี้เรื่องใหญ่ พัวพันถึงคนจำนวนมาก เยอะและยังซับซ้อน จะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย…”
ขุนนางชราเอียงตัว ให้หนิงอี้ข้างหลังก้าวออกมา
“ดังนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินใจว่า…จะยกเรื่องนี้ให้หนิงอี้จัดการก่อนทั้งหมด!”
…………………………..