เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 84 จะฆ่าหรือเก็บไว้
ตอนที่ 84 จะฆ่าหรือเก็บไว้
บุรุษนุ่มนวลที่อาภรณ์ไม่เรียบร้อยคนนั้นมีสีหน้าย่ำแย่ถึงที่สุด เขามองหนิงอี้ ตรงจุดที่เด็กหนุ่มใต้ภูเขาครามยืน ตรงนั้นเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน คนใหญ่โตในเมืองหลวง กระทั่งสององค์ชายยังมาที่นี่
ราชันดาราอี๋อู๋ไม่ร้องขอหนิงอี้ แต่หันไปมององค์ชายสามหลี่ไป๋หลิน พูดอ้อนวอน “ข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าให้องค์ชายสาม ขอให้วันนี้องค์ชายออกหน้าช่วยข้าด้วย!”
หลี่ไป๋หลินขมวดคิ้ว
หนิงอี้แค่นยิ้ม มองหลี่ไป๋หลินทางนั้นของจวนภูเขาครามด้วยความสนอกสนใจ
ราชันดาราอี๋อู๋ไม่เคยร้องขอใคร ความขัดแย้งระหว่างตนกับองค์ชายสามยกมาวางไว้บนแท่นแล้ว วันนี้คำสั่งที่สองของไท่จงยังไม่ประกาศ ความหมายในวังลึกล้ำอย่างยิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าคำสั่งที่สองคืออะไร…ราชันดาราคนหนึ่งหายากจริงๆ แต่ภายใต้การชิงอำนาจใต้ฟ้าต้าสุยก็ยังเป็นเพียงบุตรที่ถูกทอดทิ้ง
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
คำสั่งที่สองยังไม่มา หลี่ไป๋หลินไม่กล้าบุ่มบ่าม เขามองพี่รองของตน บุรุษที่จับข้างตู้รถม้าบัวดำคนนั้นมองหนิงอี้ด้วยรอยยิ้ม ไม่ถามไถ่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายนอก แต่หลี่ไป๋หลินรู้แก่ใจดี หากตอนนี้ตนทำอะไรผิดพลาดไป ถูกพี่รองคนนี้จับได้…ก็อาจจะส่งผลกระทบในภายหลังมากกว่าเดิม
องค์ชายสามตามองจมูก จมูกมองใจ ทำเป็นไม่เห็น ไม่มองเลย
ราชันดาราอี๋อู๋ยิ้มด้วยความปวดร้าว มองหนิงอี้พลางกัดฟันพูดเสียงต่ำ “หนิงอี้ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญราชันดาราของจวนขานฟ้าต้าสุย…”
“ราชันดาราอี๋อู๋ เจ้าถูกไล่ออกจากจวนขานฟ้าแล้ว” หนิงอี้ยังไม่ทันพูด ขุนนางชราก็เตือนด้วยความเย็นชา “ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษต้าสุย การจัดการของคุณชายหนิงอี้คือการจัดการของฝ่าบาท ว่าอย่างไร รู้สึกคับแค้นใจรึ…ฝ่าบาทให้เจ้าไปตาย แล้วจะอย่างไร”
เมื่อเอ่ยจบ ขุนนางชราไม่มองใบหน้าซีดขาวของราชันดาราอี๋อู๋อีก แต่หัวเราะเบาๆ พลางมองหนิงอี้ “คุณชายหนิงอี้ เราได้ยินว่าราชันดาราอี๋อู๋คนนี้เคยคิดจะสังหารคุณชายถึงสองครั้งที่หลังเขาสู่ซานกับตรอกฝนพรำ…พายุฝนจวนภูเขาครามเมื่อคืนวาน ดูท่าเขาก็คงมีจิตสังหารเช่นกัน เรื่องมาจนถึงตอนนี้ไม่ต้องกังวลคำว่าราชันดาราที่ว่านั่นแล้ว ต้าสุยไม่ขาดราชันดาราเช่นนี้ หากเอามาบีบไม่ได้ดี ก็ฆ่าทิ้งอย่างไม่ต้องลังเลเถอะ”
หนิงอี้เงียบไปชั่วขณะ
ขุนนางชราพูดอย่างเข้าใจจิตใจคนมาก “ขอแค่พูดคำว่า ‘ดี’ ก็พอ”
หนิงอี้หลับตาลง
เป็นอย่างที่ขุนนางชราบอกไว้จริงๆ ตอนหลังเขาสู่ซาน ราชันดาราอี๋อู๋คิดจะสังหารตน ร่างอิทธิฤทธิ์ป้ายชีวิตในตรอกฝนพรำ การปาปิ่นปักผมสังหารที่จวนภูเขาคราม ออกมือสามครั้ง หากไม่ใช่เพราะตนดวงแข็ง มีผู้สูงส่งช่วย ตอนนี้คงตายไปแล้ว
หนิงอี้ลืมตาขึ้น
เขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่า ‘ดี’
แต่เอ่ยนิ่งๆ “ในเมื่อต้าสุยไม่สนใจผู้บำเพ็ญราชันดาราคนเดียว…”
เงียบไปชั่วขณะ
ใบหน้าราชันดาราอี๋อู๋เหม่อลอยแล้ว
“เช่นนั้นก็ให้เขาใช้ชีวิตที่เหลือในคุกกรมผู้คุมกฎเถอะ” หนิงอี้ลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็พูดเช่นนี้
เมื่อเอ่ยจบ หนิงอี้ส่ายหน้า ไม่มองบุรุษนุ่มนวลที่กำลังสับสนคนนั้นอีก
ขุนนางชราขานรับเสียงเบา ‘ดี’ เขาพิจารณามองสีหน้าเด็กหนุ่มอย่างเงียบเชียบ พบว่าในแววตาเขามีความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเสี้ยวหนึ่ง
ไม่ได้แสร้งเมตตา แต่ใจอ่อนจริงๆ
ดูท่าอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่เฉียบขาดคนนี้ไม่ได้รับสืบทอดมาจากสวีจั้งทั้งหมด
ขุนนางชราเคยได้ฟังเรื่องของตัวอ่อนสังหารสวีจั้งที่ถือพินิจเหมันต์บุกเขาศักดิ์สิทธิ์ เลือดไหลโล่ลอยน้ำ เลือดย้อมเมืองหลวง แต่เด็กหนุ่มคนนี้เหมือนจะต่างจากสวีจั้ง เขาตัดขาดจากหลักการกับกฎเกณฑ์เช่นกัน แต่เขาไม่ได้ออกกระบี่บุ่มบ่าม แต่ลองใส่ความคิดของตนลงไปในกระบี่นั้นที่กำลังฟันลงไป
ขุนนางชรารู้สึกขำลึกๆ ในใจ
เมตตาศัตรู คือการโหดร้ายต่อตนเอง นี่เป็นความจริงที่สืบต่อกันมาชั่วนิรันดร์
……
ตอนนั้นในเมืองสันติแดนประจิม หนิงอี้ฝึกวิถีกระบี่กับสวีจั้ง หลังเขาสังหารกองโจรม้า ก็ปล่อยม้าดำไปสองตัว
วิถีกระบี่ของสวีจั้งคือวิถีกระบี่ที่มองชีวิตอย่างเฉยชา ในดวงตาเขามีเพียงอย่างเดียว ไม่มองอย่างอื่นเลย น้ำใจคนเย็นชาและอบอุ่น สภาพการณ์หนาวเหน็บ ทุกสิ่งตัดขาด
หลังจากหนิงอี้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดดังนี้ ในสายตาองค์ชายสามมีการเหยียดหยามเพิ่มมาเสี้ยวหนึ่ง เขาหมุนตัวกระโดดลงจากเสาหิน สองมือปัดฝุ่นตามตัว เตรียมกลับตำหนัก สำหรับคำสั่งสองที่จะเกิดขึ้นไม่ได้น่าสนใจเท่าไรแล้ว…หนิงอี้จัดการศึกของสำนักศึกษาได้อย่างน่าเบื่อยิ่งนัก ไม่มีใครได้อะไร กระทั่งคนที่จะสังหารเขาไม่ต้องจ่ายราคาเป็นเลือด เด็กหนุ่มที่ยืนใต้ภูเขาครามคนนั้นก็ยังเยาว์วัยไปหน่อย
ในสายตาองค์ชายรองมีประกายที่ยากจะคาดเดาได้
หลี่ไป๋จิงหรี่ตาลง เขาไม่เข้าใจนิดๆ หรือหนิงอี้ไม่รู้กันว่า…ขุนนางชราที่มีตำแหน่งสูงส่งคนนี้ ความหมายที่เขากล่าวแทบจะเป็นความหมายของท่านนั้นในวัง ฝ่าบาทเห็นแก่หน้าเจ้า จะสังหารราชันดาราอี๋อู๋คนนี้แล้ว คืนความยุติธรรมกับความบริสุทธิ์ให้กับเจ้า ลากขุนนางตัวเล็กที่มีฉลาดหลักแหลมในสามกรมมาสักคน ก็ยังตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดได้
คำที่ง่ายที่สุดนั้นส่งมาถึงหน้าเจ้าแล้ว
เจ้าแค่พูดคำว่า ‘ดี’ ก็พอ
เหตุใดถึงเป็นคนโง่เง่าเช่นนี้
……..
ความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกนั้นมีแน่
แต่ไม่ใช่แบบนั้นที่คนอื่นคิด
หนิงอี้เคยคิดสังหารราชันดาราอี๋อู๋ แต่เนื่องจากครุ่นคิดอะไรมากมาย โดยเฉพาะขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมจิตมรรคของตน เขาจึงไม่ได้เลือกเช่นนี้
ขังในคุกกรมผู้คุมกฎ ไม่ตัดพลังบำเพ็ญ
จนถึงวันนั้นที่ตนบรรลุถึงขอบเขตราชันดารา เขาจะจัดการราชันดาราอี๋อู๋ด้วยตนเอง
เพียงแต่เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ออกไป ไม่ใช่เมตตาใจอ่อน แต่ลังเลในปัญหาของจิตมรรค หลังได้คำตอบก็ปล่อยวางได้
หนิงอี้พูดประโยคนั้นจบก็ไม่มองราชันดาราอี๋อู๋อีก
เสียงดังกึกก้องในหูราชันดาราอี๋อู๋ไม่หยุด
“หนิงอี้ จะไม่ฆ่าเขาจริงๆ รึ”
เสียงของขุนนางชรานั้น
ถามยืนยันอีกครั้ง
“อืม”
เด็กหนุ่มขานรับนิ่งๆ
ต่อไปก็เป็น
“เชิญท่านประกาศคำสั่งที่สองเถอะ…”
ในความคิดราชันดาราอี๋อู๋ว่างเปล่า เสียงอื่นลอดผ่านสายลมเข้ามา สิ่งที่อยู่ในความคิดเขามีเพียงคำพูดนั้นที่หนิงอี้พูดไว้ตอนแรกสุด
‘ให้เขาใช้ชีวิตที่เหลือในคุมกรมผู้คุมกฎเถอะ’
ทั้งไม่ตัดพลังบำเพ็ญเขา ไม่ตัดมือตัดเท้า
นี่คืออะไร…เหยียดหยาม ดูถูก มองข้ามหรือ
นี่ถือว่าเป็นความเมตตาหรือไม่
ไม่มีใครมองราชันดาราอี๋อู๋ ในบรรดาคนใหญ่โตในสามกรม ราชันดาราหลายคนมาที่นี่ กฎเหล็กต้าสุยกดอยู่เหนือศีรษะทุกคน เจตนารมณ์ของฝ่าบาทไท่จงมีอยู่ทุกที่ ในเมืองหลวงไม่เคยเกิดคำว่า ‘เรื่องเหนือความคาดหมาย’
ดังนั้นบุรุษนุ่มนวลคนนี้ออกแรงกำสองหมัด เล็บจิกกลางฝ่ามือเลือดไหลออกมา ไม่มีใครเห็น เหลือไว้เพียงท่าทางเงยหน้ามองฟ้าด้วยความสับสน
ในความคิดเขาว่างเปล่า
ในใจมีความคิดหนึ่งลอยขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะชัดเจนและตัดขาด
…….
“คำสั่งที่สอง”
ขุนนางชราเงยหน้าขึ้นเพิ่งกล่าวก็ชำเลืองตามองทุกคนตามจิตใต้สำนึก ทันใดนั้นดวงตาหรี่แคบลง กลิ่นอายพลังทั้งตัวไม่โอนอ่อนอีก แต่เหมือนมังกรชราจำศีลพร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา
แขนเสื้อสองข้างของขุนนางชราพลันยกขึ้น ยื่นมือข้างหนึ่งมาขวางหน้าหนิงอี้ ปิ่นปักผมเล็กและแหลมคมเร็วยิ่งกว่ากระบี่บิน พลังทะลวงกระแทกแขนเสื้อเขา ขุนนางชราพลิกข้อมือ คว้าปิ่นปักผมไว้ในมือ
ปิ่นปักผมแผ่พลังออกมา หลังโดนแขนเสื้อใหญ่ก็ระเบิดเป็นหมอกโลหิต คนชรามีสีหน้าเรียบนิ่งแต่น่าเกรงขาม ขนคิ้วขาวหิมะสองข้างเลิกขึ้น ดวงตาพลันเปล่งประกายลุกวาว!
ปิ่นปักผมนั้น บุรุษนุ่มนวลที่เดิมทีไร้ชีวิตชีวาหายไปแล้ว
พุ่งเข้ามาหาแค่หนิงอี้!
ซูมู่เจอกำลังจะลุกขึ้นก็ถูกเสียงตะโกนนุ่มนวลกดไว้
“ชิ!”
ขุนนางชราที่สวมผ้าคลุมสีดำสนิทมาจากวังมาถึงจวนภูเขาคราม ตัวเขาเปื้อนฝุ่นเล็กน้อย พลันลุกขึ้น ฝุ่นระเบิดกระจาย คนชราท่านนี้พลันมาอยู่หน้าราชันดาราอี๋อู๋ที่ทะยานเข้ามา เขาออกหมัดหนึ่ง พลังมหาศาลตกลง กดราชันดาราอี๋อู๋ตัวงอลง
มือซ้ายที่ถือปิ่นปักผมนั้นเป็นผิวหนังแห้งกร้าน เขาชูขึ้นสูง เล็งปิ่นปักผมใส่หลังบุรุษนุ่มนวล ก่อนจะทุบหมัดลงไปโดยไม่หยุดยั้ง หลังปล่อยมือ ปิ่นปักผมยาวนั้นปักหลังราชันดาราอี๋อู๋ ขุนนางชราหน้ามืดทะมึน ฝ่ามือข้างหนึ่งกดใบหน้าหล่อเหลาเท่าฝ่ามือนั้นไว้ ก่อนยกราชันดาราจวนขานฟ้าในสภาพสะบักสะบอมคนนี้ขึ้น
บุรุษที่ถูกยกลอยขึ้น ใบหน้าถูกฝ่ามือบีบ ส่งเสียงแหบแห้งดิ้นรน แต่ก็จนปัญญา ขุนนางชราไม่ขยับเลย ครู่ต่อมา สองมือซ้ายขวาถึงตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาปล่อยมือ ปิ่นปักผมสองอันตกลงพื้นดังแก๊ง เลือดเหนียวข้นไหลผ่านแก้มลงมา เพราะถูกขุนนางชรายกขึ้นจากพื้น ดังนั้นเสียงตกลงพื้นจึงแสบหูเป็นพิเศษ
หนิงอี้มองชายชราที่หันมาเงียบๆ
ในน้ำเสียงขุนนางชรามีความโกรธเสี้ยวหนึ่ง
“คุณชายหนิง”
เจตนาเดิมเขาคือจะสังหารราชันดาราคนนี้ แต่หนิงอี้จะไว้ชีวิตเขา ส่งไปขังในคุกใหญ่กรมผู้คุมกฎ ต่อให้ก่อนหน้านี้ในใจจะตำหนิอย่างไร เขาก็ไม่สนใจ
แต่เมื่อครู่นี้ ราชันดาราอี๋อู๋ใช้วิธีการที่โง่เขลาอย่างยิ่ง
เพื่อปกป้องหนิงอิ้ เขาจึงใช้กำลังตัวคนเดียวต้านแรงของปิ่นปักผมนั้นทั้งหมด ตอนนี้ขุนนางชราบาดเจ็บภายในไม่เบา แขนที่ถือปิ่นปักผมก่อนหน้านี้สั่นไหวเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อมากดกับฝ่ามือ เลือดซึมออกมา ทำให้แขนเสื้อสีเทาอมฟ้าใต้เสื้อคลุมใหญ่ย้อมเป็นสีแดงฉาน
ผู้มีอิทธิพลสามกรมหลายคนที่มาจวนภูเขาครามมองขุนนางชราคนนี้ด้วยความหวาดกลัว มีแต่คนบอกว่าขันทีชราในวังเก่งกาจ หลายปีมานี้ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ให้เขาออกมือเลย วันนี้ได้เห็น…เป็นคนที่สุดยอดจริงๆ
เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายเช่นนี้ เขาจึงเกิดจิตสังหารขึ้นในใจเล็กน้อยแล้ว
ขุนนางชรามองหนิงอี้ ความหมายของคำว่า ‘คุณชายหนิง’ นั้น ชัดเจนจนไม่รู้ชัดอย่างไรอีก
จะฆ่าหรือจะเก็บไว้
หนิงอี้หลับตาลง เขานึกถึงคำพูดนั้นที่สวีจั้งเคยบอกตน
บนเส้นทางบำเพ็ญ ควรเป็นมิตรกับคนหรือสังหารอย่างเฉียบขาด
ความคิดวูบผ่าน
เขาลืมตาขึ้น ชักพินิจเหมันต์ที่ปักไว้ใต้เท้าตนออกมา เดินมาข้างขุนนางชราคนนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน
เสริมด้วยความเป็นเทพ ก่อนฟันกระบี่ลง
เลือดกระจาย…
ขุนนางชราถือหัวคนเปล่าเปลี่ยวนั้นพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
……………………….