เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 86 คำเชิญจากดอกบัวแดนบูรพา
ตอนที่ 86 คำเชิญจากดอกบัวแดนบูรพา
หลี่ไป๋จิงเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก
เขากำราบแดนบูรพาได้เช่นนี้ก็เพราะเขาเผชิญหน้ากับเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายของแดนบูรพา เผยภาพลักษณ์ของว่าที่จักรพรรดิซึ่งแทบจะไม่มีข้อบกพร่องเลย หน้าคนหลังคน ทำการวางแผนใด ทุกด้าน หากได้รู้จักกับเขาเพียงเล็กน้อยก็จะพบว่าองค์ชายรองท่านนี้ ภายนอกดูอบอุ่นดุจสายน้ำ แต่นิสัยจริงรุกรานดั่งไฟ
เอ่ยถึงศึกสำนักศึกษา คุณชายน้ำค้างเคยบอกว่าเนื้อสำนักศึกษาชิ้นนี้ กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ช่างมัน…สนใจแค่อย่างเดียวคือ ‘ภาพลักษณ์การกิน’ ของตน ห้ามดูแย่ จุดนี้สำคัญยิ่งกว่าบทสรุปในความเป็นจริงอีก ดังนั้นหลี่ไป๋จิงจึงจดจำไว้ในใจ บทสรุปของศึกสำนักศึกษาออกมาแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือไม่ได้ตรงมาจวนภูเขาครามทันที รีบร้อนอยากได้จะล่าให้สำเร็จเหมือนหลี่ไป๋หลิน แต่ไปวังต้าสุย รอคำสั่งของเสด็จพ่อตน
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ สำนักศึกษาเนื้อชิ้นนี้ บิดาตนไม่ได้คิดเหมือนปุถุชนที่จะแบ่งให้สองแดนบูรพาและประจิม แต่วางในมือคนนอก ให้เขาเอามีดแล่เนื้อปลา จะแบ่งไปที่ใดแล้วแต่โชคชะตา
ความจริงภาพลักษณ์มากมาย เพียงแค่ทำให้ปุถุชนดูเท่านั้น จะเสียงก่นด่าภายนอกก็ดี ไม่แยแสสิ่งใดก็ดี ล้วนไม่มีผลอะไร
ภาพลักษณ์ที่จะสร้างขึ้นมาอย่างแท้จริง เพียงแค่ให้คนหนึ่งดู
หลี่ไป๋จิงรู้ว่าบิดาตนรู้ทุกอย่าง ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำคือเป็นตัวเองจริงๆ ไม่ต้องอวดฉลาดต่อหน้าเจ้าของใต้ฟ้าต้าสุย แบบนั้นจะเหมือนว่าตนโง่และไร้ความรู้มากกว่า ก็เหมือนหลี่ไป๋หลินที่แสร้งให้ดูน่าสงสาร ความจริงองค์ชายรองดูถูกเขามาตลอด ผู้ที่ฉลาดอย่างแท้จริงจะเหมือนคนโง่ อย่างองค์รัชทายาทที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ถามไถ่ไม่สนใจได้อย่างแท้จริง ทว่าแบบนี้ผ่านไปสิบปี แสงสว่างมืดลงช้าๆ ในมือไม่มีคนที่ใช้ประโยชน์ได้ หรือคิดจะใช้นามของ ‘บุตรชายคนโต’ มาชิงใต้ฟ้าต้าสุยกับตนกัน
บัวดำแห่งแดนบูรพา ได้บุกเบิกใต้ฟ้าต้าสุยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
หลี่ไป๋จิงมีความอดทนรอจริงๆ
พี่ชายของตน น้องชายโง่ คนหนึ่งดูเหมือนใจกว้าง อีกคนอยากจะลุกขึ้นยืน แต่ความจริงรวมกันก็ยังไม่ใช่ศัตรูของแดนบูรพาตน วันล่าเหยื่อของปีนี้ ในที่สุดตำหนักในก็อนุญาตให้ตนกับหลี่ไป๋หลินสองคนไปฝึกในทะเลพลิกผันแดนอุดร ขัดเกลาตนเอง ความจริงสำหรับหลีไป๋จิงแล้ว เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
สองแดนบูรพาประจิมแบ่งแยกกัน เขามีกลอุบายอยู่อีก อยากใช้มาก การจะให้เสด็จพ่อได้เห็นความโดดเด่นของตนก็ต้องขึ้นเวทีต่อสู้กับคนอื่น ทุ่งหญ้าเผ่าปีศาจในวันล่าเหยื่อคือเวทีที่ดีที่สุด เขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนที่นั่นอย่างโหดเหี้ยม แดนประจิมเตรียมกองกำลังไว้สำหรับวันล่าเหยื่อเท่าไร หลี่ไป๋จิงไม่รู้ แต่เขาเตรียมความพร้อมไว้อย่างดีแล้ว
หลี่ไป๋จิงที่ยืนอยู่ข้างรถม้าบัวดำมาตลอด คิดอะไรในหัวมากมาย
จวนภูเขาครามในวันนี้ ตัวเอกคือเด็กหนุ่มที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางรองท่องกระบี่คนนั้น
ความขัดแย้งระหว่างหนิงอี้กับองค์ชายรองได้วางอยู่ตรงหน้าทุกคนในเมืองหลวงต้าสุยแล้ว เขาไม่มีเหตุผลอะไรจะดึงตัวและผูกมิตรด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลีไป๋จิงพ่นลมหายใจขุ่นอย่างสบายใจ
วิชาที่เขาฝึกให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ปราณยาว’ ความคิดมากมายเมื่อครู่พัวพันกัน เขาใช้แค่ลมหายใจเดียวก็ไม่คิดต่อ ตอนนี้พ่นออกมา สีหน้าดูสุขสบายขึ้นมาก เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มชุดคลุมดำที่กอดกระบี่เดินเข้ามาคนนั้น
……
“นกดีเลือกไม้ดีพักผ่อน”
ตอนขุนนางชรากระซิบข้างหู ก็เคยเน้นเสียงหกคำนี้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น หนิงอี้รู้แก่ใจดี เขาเองก็เคยได้ยินการต่อสู้ชิงอำนาจระหว่างองค์ชายรองและองค์ชายสามเช่นกัน
หลังศึกสำนักศึกษา หนิงอี้พบบางอย่างที่ยังไม่แน่ใจ ตนอยู่เมืองหลวง ต่อมาได้แต่งตั้งเป็นขุนนางรองท่องกระบี่ นี่เหมือนจะเป็นการเข้าไปอยู่ในการต่อสู้ที่ใหญ่กว่าแล้ว…สุดทางของการต่อสู้นี้เหี้ยมโหดกว่าศึกของสำนักศึกษามาก
และความหมายของขุนนางชราก็ชัดเจนมาก
เลือกข้าง จะยืนข้างใคร
นกดีเลือกไม้ดีพักผ่อน องค์ชายสามเป็นไม้ เบื้องหลังเป็นมากกว่าครึ่งแดนประจิม เหมือนยังต้องรวมสำนักเต๋าไปอีก องค์ชายรองก็เป็นไม้เช่นกัน เบื้องหลังเป็นพันธมิตรเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา ดูจะมั่นคงกว่าองค์ชายสาม…แต่ว่า นี่เป็นเพียงหน่ออ่อนสองต้น เจ้าของใต้ฟ้าต้าสุยแห่งนี้ต่างหากคือต้นไม้ยักษ์เสียดฟ้าที่แท้จริง ให้ได้พักผ่อนอย่างสบายใจ
หนิงอี้คาดเดาคำเตือนที่มีกลิ่นอายของ ‘ความตื่นตัว’ นั้นของขุนนางชราไม่ได้เล็กน้อย ใจนึกการกระจายอำนาจและต่อสู้ของสององค์ชาย หรือไม่ใช่เพราะต้นไม้ใหญ่เสียดฟ้านั้นอนุญาตกัน
หรือไม่ใช่เพราะจักรพรรดิไท่จงรู้ว่าตนแทบจะไม่มีหวังเป็นอมตะจึงเริ่มสืบเชื้อสายกัน จนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็จะเลือกบุตรสวรรค์มังกรแท้ของราชวงศ์อมตะขึ้น เหตุใดขุนนางชราถึงพูดกับตนเช่นนั้น…จะเตือนตนว่าอย่ายืนข้างองค์ชายสาม และอย่ายืนข้างองค์ชายรองหรือ
จึงยิ่งไม่มีทางเป็นองค์รัชทายาท
หนิงอี้ส่ายหน้าไล่ความคิดไป
เขาเดินตรงมารถม้าบัวดำ เผชิญหน้ากับองค์ชายรองหลี่ไป๋จิง เขาก้มตัวคารวะ “หนิงอี้ขอคารวะองค์ชายรอง”
หลี่ไป๋จิงแสดงความเคารพกลับ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหนิงอี้…ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าขุนนางรองท่องกระบี่ หรือแขกถ้ำกวางขาว หรืออาจารย์อาน้อยดี”
ตอนเอ่ยคำว่าอาจารย์อาน้อย หลี่ไป๋จิงยิ้มเล็กน้อย หนิงอี้เป็นศิษย์ของเจ้าหรุยแห่งเขาสู่ซาน สืบทอดพินิจเหมันต์ นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากเห็น หากอาจารย์อาน้อยตำแหน่งนี้ไปตกในมือบางคน สถานการณ์ตอนนี้ก็จะซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
หนิงอี้ยิ้ม เขาเข้าใจเจตนาในคำพูดขององค์ชายรองดี
เขาพูดเสียงเบา “องค์ชายเรียกข้าหนิงอี้ก็พอ”
“ดี…หนิงอี้”
องค์ชายรองหลี่ไป๋จิงที่สวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีดำเรียบง่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต่างจากพวกเขา มาที่นี่เพราะเหตุใด…คำอวยพรพวกนั้น ข้าไม่พูดแล้ว”
หนิงอี้หรี่ตาลง กอดแขน นิ้วมือเคาะตัวกระบี่พินิจเหมันต์เบาๆ
“ข้าเป็นตัวแทนทั้งดอกบัวแดนบูรพา เชิญเจ้าร่วมพันธมิตรเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา…” หลี่ไป๋จิงชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธข้า ข้ารู้ความกังวลใจของเจ้า”
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น มองบุรุษผ้าไหมสีดำตรงหน้า
“เขาสู่ซานกับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวมีสัมพันธ์อันดีกันมาร้อยปี ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล แม้ข้าจะไม่เคยไปเยือนเขาสู่ซาน แต่ก็เคยได้ยินมา…กฎในสำนักเรียบร้อย ในแดนบูรพา เขาสู่ซานไม่ข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ กระทั่งกำเนิด ‘เซียนกระบี่’ อย่างสวีจั้ง”
หลี่ไป๋จิงพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่เลี่ยงเอ่ยถึงสวีจั้งเลย อีกทั้งยังไม่ขี้เหนียวเรียกสวีจั้งว่าเป็นเซียนกระบี่
ต้องรู้ว่าสวีจั้งเคยสังหารศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย เขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาแค้นเขาอย่างยิ่ง ตอนนั้นหากสวีจั้งอยู่ในแดนบูรพานานกว่านี้หน่อย เกรงว่าคงถึงขั้นที่อันดับหนึ่งแดนบูรพาหานเยวียออกมือ
รู้ทั้งรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสวีจั้ง หลี่ไป๋จิงก็ยังกล้าดึงตัวเขา
หนิงอี้เคารพในใจนิดๆ คนที่นั่งตำแหน่งนี้ได้ไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริงๆ
เขาเข้าใจคร่าวๆ ในใจแล้ว…
ตอนนี้สวีจั้งตายแล้ว ความแค้นนี้หายไปอย่างมาก แดนบูรพาไม่ได้แค้นตนเท่าไร ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร หากมีโอกาส ‘เปลี่ยนขวานแห้งเป็นผ้าแพรหยก’ ก็ใช่ว่าจะลองดูไม่ได้
เพียงแต่หลี่ไป๋จิงทำพลาดไปอย่างหนึ่ง…เขาสู่ซานไม่เหมือนสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เจ้าภูเขาสู่ซานน้อย คนตาบอดและเวินเทาแห่งเขาสู่ซาน ทุกคนไม่ใช่คนที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง
ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เกี่ยวดองกับราชวงศ์…หากเวินเทารู้ว่าคนเฮงซวยอย่างองค์ชายรองยินดีจะช่วยเขาสู่ซานรับหนิงอี้ไปแทน ก็คงจะยินดีตีกลองดังขึ้นฟ้ากันอย่างมีความสุข
หนิงอี้มาเมืองหลวงก็เป็นการกึ่งผลักกึ่งปฏิเสธ…ครึ่งหนึ่งคือเขาถูกไล่มาที่นี่ อีกครึ่งก็คือครึ่งนั้นที่มากกว่า เป็นความจริงที่น่าเขินอาย เขาสู่ซานไม่มีทรัพยากรให้เขาฝึกฝนแล้ว
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก หากเดาไม่ผิด…อีกไม่นานองค์ชายรองจะเอ่ยถึงเรื่องนี้
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“หนิงอี้ ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะที่สุดยอด เวลาฝึกฝนต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างมาก”
หลี่ไป๋จิงชะงักไป เขาก็ยังคงยิ้ม
ข่าวนี้ย่อมได้ยินมาจากกองกำลังเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจากแดนบูรพา
คนที่ร่วมพิธีศพสวีจั้งก็มีกองกำลังของเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา เพียงแต่พวกเขาจ่ายไปในราคาไม่สูงมาก หนิงอี้ในตอนนั้นขู่กรรโชกเขาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากในทีเดียว และยังมีเจ้าตระกูลสองคนนั้นของตำหนักสวรรค์ คนที่เสียหายมากที่สุดคือจวนขานฟ้า
ตอนนั้นคนพวกนี้ไม่รู้พลังบำเพ็ญของหนิงอี้
แต่พวกเขาเห็นหนิงอี้กินไข่มุกครรภ์ราชาปีศาจทั้งลูกไปกับตา เดิมทีคิดว่าเป็นคนโง่ที่เหมือนลูกวัวไม่กลัวเสือ ไม่ใช่คนโหดอะไรจริงๆ กินไข่มุกครรภ์ราชาปีศาจไปแล้ว ข่าวที่หนิงอี้ ‘กินเก่ง’ ก็กระจายไปทั่วแดนบูรพา
หลี่ไป๋จิงยิ้ม “หากเจ้ายินดีร่วมพันธมิตรเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาข้า ข้าจะมอบทรัพยากรให้เจ้าทะลวงถึงขอบเขตที่สิบได้”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ เขาไม่คิดว่าเท่าไร…กินเก่ง จะกินได้สักเท่าไร
จะกินจนองค์ชายรองต้าสุยผู้ยิ่งใหญ่และเป็นเจ้าแห่งแดนบูรพาอย่างตนยากจนเลยรึ
หลี่ไป๋หลินเลี้ยงเขาศักดิ์สิทธิ์ไว้หลายลูก บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพรสวรรค์สุดยอดพวกนั้นปิดด่านบำเพ็ญไม่ออกมา ย่อยทรัพยากรตลอดทั้งวัน รองานราชวงศ์ใหญ่มาถึง ส่วนเตรียมบุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นกองที่เหลือ ผู้บำเพ็ญมากมายเป็นพันเป็นหมื่น รวมทรัพยากรด้วยกันทั้งหมดแล้ว ถือว่าเป็นครึ่งค่อนต้าสุยจริงๆ
เขาไม่คิดว่าการ ‘กินเก่ง’ ของหนิงอี้ นับว่าเป็นการกินเก่ง
ตอนที่หนิงอี้ได้ยินคำพูดนี้…ก็เกือบจะหัวเราะเสียงดัง เผยเท้าม้าออกมาแล้ว เขากอดแขน นิ้วมือจิกเข้าฝ่ามือ ให้ตนมีสติไว้
หลี่ไป๋จิงมองเห็นความสนใจวูบผ่านในดวงตาเด็กหนุ่มกอดกระบี่ แต่เพียงครู่เดียวก็พบว่าความสนใจในแววตาอีกฝ่ายค่อยๆ กลายเป็นความลังเล กลายเป็นความสงสัยช้าๆ
“ท่านองค์ชายรอง…ใต้ฟ้าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หนิงอี้รู้แค่หลักการเดียว โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยเปล่า”
หนิงอี้กอดพินิจเหมันต์ ถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยความตื่นตัว เขาพิจารณาบุรุษหนุ่มที่อมยิ้มดูเหมือนอบอุ่นไม่มีพิษมีภัยคนนั้น ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น “หากมีเงื่อนไข ขอให้องค์ชายพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วย”
……………………………