เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 92 สายลมวสันต์พัดหลิว ข้าแซ่หนิง
ตอนที่ 92 สายลมวสันต์พัดหลิว ข้าแซ่หนิง
‘เทพนาจา’ แห่งแดนบูรพา
นี่เป็นคำแทงใจ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้
ตอนหนิงอี้พูดคำว่า ‘เทพนาจา’ ในน้ำเสียงยังมีการเย้าหยอก องค์ชายรองที่ดูใจกว้างโอบอ้อมอารี การกระทำกลับต่างจากหน้าตาอย่างสิ้นเชิง ส่งคนตาบอดมาเฝ้าโรงเตี๊ยม ตนเผยป้ายคำสั่งแล้วก็ไม่โต้ตอบ นี่หมายความว่าอย่างไร
มือข้างเดียวบดบังฟ้าในแดนบูรพา ใต้ฝ่ามือมีคนมีความสามารถมากมาย ดังนั้นจึงจะเปลี่ยนวิธีการคัดเลือกออกไปหน่อยหรือ
ไม่รู้ว่าคืนนี้มีคนเท่าไรเบียดจนศีรษะแตกเพื่อมาโรงเตี๊ยมนี้ หลังฟ้าสาง จะได้เดินทางพร้อมกับองค์ชายแดนบูรพาไปล่าเหยื่อที่แดนอุดร นี่เป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงจริงๆ คนพวกนี้ในชั้นหนึ่งโรงเตี๊ยม อย่างน้อยเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตกลาง ผู้ฝึกบำเพ็ญตามป่าเขาเดินมาถึงก้าวนี้ได้ไม่ง่ายเลย ขาดก็แต่โชคลิขิต
บางคนสู้เป็นสู้ตายสุดท้ายก็เก่งกาจ
กระทั่งผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ด ในชั้นหนึ่งยังมีนั่งอยู่สองคน สวมเสื้อกันฝนและงอบกันฝน ชิดริมไกลสุด รินเองดื่มเอง ลืมทุกสิ่งอย่าง
เดินทางในยุทธภพไร้เหตุผลอื่น กำปั้นคือหลักการที่ใหญ่ที่สุด ทุกอย่างต้องอาศัยความสามารถ เน้นคำว่าศักยภาพ มีศักยภาพ ไปกินข้าวที่ใดก็มีคนเลี้ยง แขกยุทธภพพวกนี้เว้นที่ว่างให้ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดสองคนเป็นพิเศษ หลังจากตนเข้าประตูมา สองคนนี้เพียงแค่มองพริบตาเดียวก็เบนสายตาออก แต่มองเด็กสาวเผยฝานที่พิงประตูด้วยความสนใจมากกว่า
หนิงอี้ย่อมรู้เหตุผล
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายพลังบำเพ็ญเลย นี่เป็นความเคยชินของเขา ตั้งแต่ก้าวสู่เมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้มาตลอด วิชาของเขาสู่ซานล้ำเลิศยิ่งนัก โดยเฉพาะการหยั่งเชิงกับอำพรางลึกล้ำยากจะคาดเดา หากหนิงอี้ไม่ยอมปล่อยออกมา เช่นนั้นต่อให้เป็นคนพวกนั้นที่เหนือกว่าสิบขอบเขตก็ยังอ่านพลังบำเพ็ญเขาไม่ออก
สถานการณ์ตึงเครียด
กดดันถึงขีดสุด
บนโต๊ะไกลที่สุด หนึ่งในผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดสองคนนั้นยืนขึ้นช้าๆ
ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดที่สวมชุดกันฝนยิ้มให้หนิงอี้อย่างอ่อนโยน “ข้าคือเจ้าภูเขาแห่งเขาพัดหลิวแดนบูรพา”
หนิงอี้ยิ้ม “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”
ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดท่านนี้ถอดงอบกันฝนออก วางบนโต๊ะเบาๆ เนื้อหนังดูเป็นคนชราอายุร้อยแปดสิบปี พลังเลือดลมขอบเขตที่เจ็ดยังคงสมบูรณ์ ไม่ถือว่าโรยรา ไม่รู้ว่าฝึกวิชาใดถึงทำให้เป็นเช่นนี้ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังขาดหม้อหลอมเลย หากคุณชายยินดียกเด็กสาวนี่ให้ข้า…เช่นนั้นคืนนี้ ข้าจะไว้ชีวิตคุณชาย”
“ขอบคุณมากสำหรับความหวังดี” หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เขาพัดหลิว จำไว้แล้ว มีโอกาสข้าจะไปเยือนแน่นอน ถึงตอนนั้นทั้งภูเขา ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเลยสักคน”
ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดคนนั้นพลันหน้ามืดทะมึนลง
เขายังไม่ทันออกมือ บุรุษผอมบางที่ใกล้กับหนิงอี้ที่สุด หันหลังให้หนิงอี้ เขายกหม้อน้ำมันยักษ์ขึ้น น้ำมันเดือดทั้งหม้อ เตรียมจะบิดเอวขยับสะโพกสาดใส่
หนิงอี้ยื่นมือข้างหนึ่งไปด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ เข้าไปใกล้บุรุษคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขาเอามือนั้นกดข้างศีรษะบุรุษลง แม้แต่ตัวเขายังกดลงไปในหม้อพร้อมกัน ทั้งโต๊ะไม้ถูกอัดแตกกระจาย
เจตจำนงดาบพุ่งเข้ามา ประกายเย็นเยียบสามสี่สายขยับวูบตรงหน้าหนิงอี้ เขามีสีหน้าสงบนิ่ง ตัวพุ่งไปข้างหลัง แสงกระบี่หลายสายเฉียดผ่านแก้ม ในสถานที่คับแคบ พริบตาต่อมาเด็กหนุ่มที่ยืนตรงอีกครั้งพุ่งสองมือออกไปปานสายฟ้า จับอาภรณ์สองคน ลากเอาศีรษะมาชนกัน เข้าเนื้อเข้ากระดูก ส่งเสียงโขกกันดังสนั่น
หนิงอี้สั่นข้อมือเล็กน้อย ตรงหน้าอกของ ‘ศพ’ สองร่างนั้นถูกจุดแสงสามสี่จุดทะลวง แสงกระบี่เปิดหน้าอกตัดท้องน้อย ทะลวงจากหัวใจ อยากจะทะลวงหนิงอี้ให้ตายเหมือนน้ำเต้า น่าเสียดายก็แต่ไม่ใช่คนที่ถูกทะลวง เขาปล่อยสองมือที่จับอาภรณ์ไว้ออก ปล่อยให้ ‘ศพ’ ไหลลง ไม่ถอยไม่หลบ แต่เอาฝ่ามือกดปลายกระบี่ ดันศพพรุนสองร่างนั้นวิ่งเข้าไป ชนโต๊ะสองตัวข้างหลังแตก กระบี่ยาวสองเล่มงอจนถึงที่สุด พละกำลังที่ซ่อนในตัวกระบี่มากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้พลันดีดออก เกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่องกัน เจ็ดแปดร่างคนกระเด็นออกไป
หนิงอี้หันไปมองเด็กสาวพลางพูดเสียงเบา “แค่ดูก็พอ”
เด็กสาวที่พิงประตูตอบอืมเบาๆ
บุรุษผอมสูงที่เป็นเสี่ยวเอ้อของร้านครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เหงื่อเย็นๆ ซึมมาจากแผ่นหลัง
หนิงอี้ไม่รีบร้อนดึงกระบี่เหล็กหนักที่ปักไว้หน้าโต๊ะต้อนรับ ดังนั้น ‘ใต้ฟ้าต้าสุยปราณกระบี่ท่องหล้า’ แปดคำนี้ที่ทำให้คนพวกนี้ตกใจจนตายได้จึงซ่อนในฝักอย่างสงบนิ่ง
แสงดาบเงากระบี่ในโรงเตี๊ยมพุ่งไปหาเด็กหนุ่ม
หนิงอี้เหมือนมีตาอยู่รอบตัว วิชาสัมผัสของเขาสู่ซานเป็นอันดับหนึ่งใต้ฟ้า เขาขยับหลบได้เหมือนปลาได้ ผีเสื้อบินผ่านดอกไม้น้ำในที่คับแคบแห่งนี้ จนมาอยู่หน้าโต๊ะไม้ที่ยังอยู่ดี มองชิ้นเนื้อที่กลิ้งไปมาในนั้น ก่อนจะหยิบหูหม้อขึ้นด้วยความรังเกียจและสาดไปโดยไม่ยั้งคิด
น้ำมันร้อนกระจายไปเหมือนน้ำตก คนชั่วยุทธภพสามสี่คนที่ไล่ตามหลังหนิงอี้มาหลบไม่ทัน ถูกน้ำมันร้อนของหนิงอี้สาดใส่ ก็ย่อตัวลงร้องด้วยความเจ็บปวด กุมแก้ม นิ้วมือหยดลง ถึงขั้นจะดึงหน้าหลุดออกมา
หนิงอี้สาดไปที น้ำมันในหม้อหายไปครึ่งหนึ่ง ยากจะสาดไปหมดได้ กระดูกและขนตรงชิ้นเนื้อที่เหลือน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ เขาพลิกหม้อ หลบหนึ่งกระบี่ ก่อนจะครอบลงไป น้ำมันร้อนกับเนื้อกระดูกครอบใส่ศีรษะอีกฝ่าย นี่คือเล่ห์เหลี่ยมยุทธภพในการต่อสู้ในตลาด หนิงอี้หยิบมาใช้โดยไม่คิดอะไร
เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญที่ถูกต้องชอบธรรมอยู่แล้ว สู้กับคนก็ต้องใช้ทุกอย่างให้เต็มที่ อย่าได้ประมาท โดยเฉพาะตอนนี้สู้กับศัตรูด้วยตัวคนเดียว อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญที่มาจากยุทธภพ พวกเขาใช้กลอุบายทุกอย่าง ถ้าอยากชนะก็ต้องต่ำทรามเจ้าเล่ห์กว่าพวกเขา ต้องเหี้ยมโหดอำมหิต
บทเรียนแรกที่สวีจั้งสอนหนิงอี้
‘คนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งกลัวคนมีอำนาจ คนมีอำนาจกลัวคนไม่กลัวตาย’
เสียงน้ำมันร้อนดังมาจากข้างหน้า
คนที่สาดน้ำมันร้อนเลียนแบบหนิงอี้เป็นบุรุษผอมเล็กแต่หน้าตาดุร้าย สวมอาภรณ์เนื้อหยาบสีเขียว
หนิงอี้แค่นยิ้ม ถือโอกาสยกหม้อใหญ่สองหูนั้นที่เพิ่งครอบหัวคนนั้นออกมา ก่อนจะขยับถอยหลัง ยกแขนเสื้อ น้ำมันร้อนเต็มฟ้าเหมือนรวมเป็นเส้นสาย จากนั้นเขายื่นมือออกไป บุรุษผ้าเนื้อหยาบผอมเล็กคนนั้นซวนเซหนึ่งก้าวเสียการควบคุม ก็ถูกน้ำมันในหม้อใหญ่ของหนิงอี้ราดตัว ท่ามกลางเสียงร้องโอดครวญแหลมเล็ก กระบี่ยาวในฝักเขาถูกหนิงอี้ชักออกมา
หนิงอี้ถือด้ามกระบี่กลับด้าน ไม่หันกลับมา แต่แทงเข้าเอวของบุรุษร่างกำยำข้างหลังไปครึ่งหนึ่ง ปลายกระบี่ทะลวงร่างออกไป หนิงอี้เดินถอยสองก้าว แผ่นหลังแนบกับหน้าอกอีกฝ่าย ข้างหน้ามีแสงดาบเงากระบี่ไล่ตามมาไม่หยุด หนิงอี้กับบุรุษร่างกำยำถอยไป เหมือนเต้นระบำน่าขัน จนมาชิดกำแพงโรงเตี๊ยมก็ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว
หนิงอี้หน้าไม่เปลี่ยนสีไป เขาจับด้ามกระบี่ยกแขนขึ้นบน กระบี่ยาวของบุรุษผ้าเนื้อหยาบเล่มนี้ฟันจากล่างขึ้นบน เป็นเส้นฝอยเหมือนฟันกระดาษ ไม่มีสิ่งใดขวาง ผ่าบุรุษร่างกำยำข้างหลังเป็นสองส่วน เลือดทะลักไม่ขาดสาย
หนิงอี้ปล่อยมือที่จับกระบี่ ตัวพุ่งชนไปข้างหน้า แสงดาบพุ่งโดนอากาศ นักดาบคนนั้นถูกหนิงอี้พุ่งชนเข้าไป ตั้งตัวไม่ทันเลย
หนิงอี้กำหมัด ชกใส่หน้าอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าราบเรียบ ชกจนนักดาบคนนั้นก้มตัวลง
ในที่สุดทั้งโรงเตี๊ยมก็มีเวลาหยุดพัก
การต่อสู้ในยุทธภพ สู้กันเป็นตาย
สู้พันคนด้วยตัวคนเดียวก็ยังเป็นจำนวนน้อย
ตอนนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าความจริงพลังบำเพ็ญแสงดาราเปราะบางอย่างยิ่ง หากถูกโจมตีประชิดตัว พลังบำเพ็ญแสงดาราขอบเขตกลางก็ยังอ่อนแอเกินไป เผชิญหน้ากับคนโหดที่เดิมพันด้วยชีวิต ก็ต้องสังหารอีกฝ่ายให้หมดในอึดใจเดียว
สิบเจ็ดสิบแปดร่างคน
หอกยาว หอกพู่ระย้าแดง ไม้พลอง ท่อนเหล็กทอง ปราณกระบี่ ถาโถมเข้ามา
หนิงอี้ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว
เขายังคงมีใบหน้าสงบนิ่ง ดึงดาบยาวที่ปักพื้นออกมาโดยไม่ยั้งคิด
ในความคิดเป็นคำพูดนั้นของเคียงกระบี่
“หนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่ง”
ออกกระบี่เล็งเป้าสิ่งหนึ่ง
หอกยาวคือหนึ่ง ไม้พลองก็คือหนึ่ง ศีรษะก็คือหนึ่ง หน้าอกหัวใจก็คือหนึ่ง
หลับตาลง ใช้สัมผัสทั้งหมด
หนิงอี้กำดาบด้วยสองมือ หลังยืนนิ่งก็สูดลมหายใจเข้าลึก
ร่างคนมืดฟ้ามัวดินพุ่งเข้ามา จมหนิงอี้
จากนั้นเป็นเงาดาบนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป ระยะสามจั้งตรงหน้าระเบิดเป็นสีแดงฉานทีละกลุ่ม จากนั้นขยายออกไป พื้นเปิดขึ้น โต๊ะไม้พังทลาย ปราณกระบี่ปั่นป่วน ฟันทำลายของทุกอย่างในโรงเตี๊ยม ระเบิดเป็นผุยผงไปทีละอย่าง
แขนขาดกับกระดูกแตกพุ่งเข้ามาในระยะสามฉื่อตรงหน้าหนิงอี้ ยังไม่ทันเข้ามาก็ถูกปราณดาบกระแทกออกไป ในช่วงที่กวัดแกว่งดาบนี้ กำแพงตรงข้ามหนิงอี้ถูกล้างเป็นสีแดงฉาน
ฟันดาบสุดท้ายออกไป
หมอกโลหิตถูกปราณดาบฟันแตกเป็นรอยยาว เข้มข้นจนไม่อาจแก้ได้
หนิงอี้ทำท่าทางเก็บดาบยืนตรง กลับพบว่าดาบยาวนั้นที่ตนหยิบมาโดยไม่คิดอะไรมีระดับใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ในการปะทะไม่รู้กี่ครั้ง ได้แตกเป็นรอยเต็มไปหมดแล้ว
หนิงอี้โยนดาบยาวแตกหักนั้นทิ้ง เดินกลับไปโต๊ะต้อนรับ
บุรุษผอมสูงเดาตัวตนของหนิงอี้ได้คร่าวๆ แล้ว เขามีเหงื่อเย็นๆ ทั้งตัว นึกถึงคำสั่งที่องค์ชายท่านนั้นบอกกับตน
เขารีบพูด “ท่าน…”
ยังไม่ทันพูดจบ หนิงอี้ก็ยื่นมือมากดศีรษะเขาไว้ กระแทกลงเบาๆ เกิดเสียงดังไม่มาก โต๊ะต้อนรับฝุ่นแตกกระจาย
เด็กสาวกอดร่มกระดาษมันเดินมาหน้าหนิงอี้
หมอกโลหิตนั้นแยกสองด้านของชั้นหนึ่งออก
ด้านหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดสองคนที่ยืนขึ้นเงียบๆ มีสีหน้าจริงจัง
อีกด้านเป็นหนิงอี้กับเผยฝาน
จนเมื่อหมอกโลหิตสลายไป
คนชราที่ดูอายุร้อยแปดสิบปีคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “คำพูดที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ยินดีคืนคำ ชดใช้และขอโทษ ไม่ใช่ปัญหาอะไร…ไม่รู้ว่าคุณชายแซ่ใด”
หนิงอี้ครุ่นคิด ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาพัดหลิวไม่ใช่ว่าเก่งมากรึ เหตุใด…ล่วงเกินคนที่ล่วงเกินไม่ได้แล้ว ตอนนี้ถึงเริ่มกลัวแล้วล่ะ”
เจ้าภูเขาพัดหลิวยิ้มแหยๆ “กลมเกลียวกันไว้เถอะๆ”
คนสวมงอบที่ลุกขึ้นข้างๆ นั้นมากับเจ้าภูเขาพัดหลิว ฝ่าพายุฝนมาด้วยกัน ตอนนี้ดูแล้วก็เป็นกระดูกแก่เช่นกัน ไม่ถอดงอบ แค่ยืนขึ้น ก็ส่งเสียงกรุบกรอบทั้งตัวเหมือนแบกรับภาระหนัก
“พวกเจ้าสองคนจะลงดินอยู่แล้ว คนแก่ขี้หลงขี้ลืม อยากจะชดใช้ขอโทษก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
หนิงอี้ปักกระบี่ยาว เอ่ยราบเรียบ “คนหนึ่งทิ้งไว้ครึ่งตัว บางทีพวกเจ้าสองคนอาจจะหารือกันได้ว่าจะทิ้งศพใครไว้คนหนึ่ง ใช้ได้ทั้งสองวิธี”
เจ้าภูเขาพัดหลิวมีสีหน้าปั้นยากขึ้นทีละนิด
คนสวมงอบเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงแหบแห้ง ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นหญิงชรา
“ข้าคือเจ้าภูเขาสายลมวสันต์ ฟังจากน้ำเสียงของท่าน…” หญิงชรากดเสียงต่ำลง พูดมีลับลมคมใน “ไม่รู้ว่ามาจากภูเขาใดในแดนบูรพา”
ประกายสายฟ้าผ่าลงจากฟ้าสูง สว่างไปทั้งโรงเตี๊ยม
หนิงอี้ยิ้ม “ข้าแซ่หนิง ทั้งสองท่าน รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
เจ้าภูเขาพัดหลิวกับเจ้าภูเขาสายลมวสันต์สองคนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที