เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 94 คุณชายน้ำค้าง
ตอนที่ 94 คุณชายน้ำค้าง
ข้างนอกโรงเตี๊ยม พายุเงามืดก่อตัว
กลางพายุฝน มีสองร่างเงายืนอยู่ หญิงถือร่มก้มหน้า สวมแค่อาภรณ์แดงบางที่เปียกฝน ยังอยู่ในอ้อมกอดบุรุษสุภาพ หน้าตาบุรุษดูเรียบร้อยอย่างยิ่ง มือข้างหนึ่งกลับบีบคลึงตรงส่วนสะโพกอวบไม่หยุด คิ้วและดวงตาสตรีเปล่งประกายอ่อนโยน ช่วงตัวกดต่ำลงมาก พูดเสียงน่าสงสาร “คุณชาย…ข้ารอไม่ไหวแล้ว”
บุรุษสุภาพยังคงมองในโรงเตี๊ยมนั้น
เขาพูดเสียงเบามาก พูดหยอดหัวเราะเบาๆ “รอไม่ไหวแล้วอย่างไร”
หญิงหน้าแดงกัดฟันเม้มริมฝีปาก บิดเอว แต่พูดไม่ออกสักคำ
หากคนอื่นเห็นสภาพนางตอนนี้คงจะทำให้รู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ยอดผู้บำเพ็ญใน ‘สามเคราะห์สี่หายนะ’ ที่มีฐานะสูงยิ่งในแดนบูรพา จะมีมุมต่ำช้าไร้ศีลธรรมเช่นนี้
เพียงแต่ว่าคนที่ทำให้นางยินดีกางร่มให้ในวันฝนตกหนัก โลกนี้มีเพียงคนเดียว
หานเยวียมองในโรงเตี๊ยมนั้น เขาพูดเสียงเบา “สายตาขององค์ชายรองไม่เลวเลย หนิงอี้เป็นอัจฉริยะ อนาคตจะเปล่งประกายแสงในใต้ฟ้าต้าสุย”
หญิงหน้าแดงขึ้น นางพยายามเค้นคำว่า ‘อืม’ มาจากในลำคอ
หานเยวียดึงมือนั้นกลับ พูดเสียงเบา “แต่คนที่ข้าถูกใจไม่ใช่หนิงอี้”
หญิงแปลกใจเล็กน้อย
“เถาฮวา หากนางมาก่อนเจ้า ในสามหายนะสี่เคราะห์ภัยจะไม่มีเจ้า” หานเยวียมองในโรงเตี๊ยม ข้ามสิ่งกีดขวางหลายชั้นไปมองเด็กสาวที่น่ารักเพิ่งเติบใหญ่คนนั้น เขาพูดงึมงำ “นี่เป็นหน่ออ่อนดี หากยินดีติดตามข้าฝึกบำเพ็ญ ภายภาคหน้าจะโดดเด่นกว่าพวกเจ้าเจ็ดคน”
หญิงอวบใน ‘สี่หายนะ’ นามเถาฮวาพูดด้วยความคับแค้นใจ “นอกจากใบหน้าแล้ว นางยังมีอะไรอีก”
หานเยวียพูดเสียงเบา “วัดกันที่พรสวรรค์การบำเพ็ญ นางทิ้งห่างเจ้าไปหลายขุม”
เถาฮวาหน้าซีดขาว นางพูดด้วยความหัวดื้อ “หากคุณชายชอบ ข้าจะไปชิงมาให้คุณชาย เบื้องหลังนางก็แค่เขาสู่ซาน สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว อย่างมากก็ทุบตีบ่าวตาย บ่าวยอม”
หานเยวียยิ้มพลางชำเลืองตามองนาง ก่อนพูดถากถาง “เจ้าโง่ หากมีแค่เขาสู่ซานกับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ข้าลงมือเองก็ได้ไม่ใช่รึ เจ้าจะมองตัวเองสูงไปหน่อยกระมัง”
เถาฮวาทำหน้าคับอกคับใจ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
“ด้วยขอบเขตดาราชะตาสามชั้นฟ้าของเจ้า หลังจากคืนนี้จะไปลองดูก็ได้ หากพานางกลับแดนบูรพาได้จริงๆ ข้าจะให้มหาโชควาสนาที่ทำให้เจ้าก้าวสู่ราชันดาราได้” หานเยวียเอ่ยนิ่งๆ
นัยน์ตาเถาฮวาพลันฉายประกายดีใจ
“แต่หากเจ้าพลาด ตายในเมืองหลวง ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความเห็นใจ” หานเยวียพูดอย่างเฉยชา “ศพเจ้า ข้าจะไม่คืนชีพให้ ตายก็ตาย ไม่เกี่ยวอะไรกับแดนบูรพาข้า จากนี้วิญญาณสลาย ยินดีมาเป็นไส้ตะเกียงในหลอดแก้วของข้าหรือไม่”
เถาฮวาพูดด้วยความคับแค้นใจ “คุณชายจะดูถูกข้าไปหน่อยกระมัง”
หานเยวียยิ้ม “เดี๋ยวจะมีอะไรสนุกๆ ดู เจ้ารอดูอยู่ที่นี่เถอะ ส่วนหลังจากคืนนี้ เด็กแซ่เผยนั่นจะแยกกับหนิงอี้ เจ้าก็หาโอกาสลงมือได้”
เมื่อเอ่ยจบ หานเยวียก็ไม่สนใจนางอีก แต่เดินตรงไปเลย
เถาฮวาถือร่มจะตามไป
หานเยวียพลันหยุดตัวไว้
“ลืมที่ข้าพูดไปเมื่อครู่แล้วหรือ” เขาหันหน้ามา เสียงเฉยชาสุดขีด “รออยู่ที่นี่ ห่างโรงเตี๊ยมไปหน่อย ดมกลิ่นเน่าเหม็นของตัวเองหน่อยเถอะ ทำแขกแดนบูรพาข้าตกใจจะทำอย่างไร”
เถาฮวาหยุดเดินเงียบๆ หานเยวียไม่กางร่ม นางก็หุบร่ม ตากฝนตกหนัก ไม่กล้าใช้พลังบำเพ็ญ สภาพน่าเวทนาถึงที่สุด
คนงามตากฝน น่าเสียดายว่าภาพนี้ ในสายตาหานเยวียกลับไม่มีความสงสารใดๆ เลย
หานเยวียหมุนตัวกลับมาอีกครั้งอย่างเฉยเมย ก่อนไปเหมือนนึกอะไรได้ จึงพูดด้วยความสงสัย “สภาพข้าดูดีหรือไม่ จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีกับข้าหรือไม่”
เถาฮวาก้มหน้าลง ส่ายหน้า เค้นเสียงที่เบายิ่งจากในลำคอ “คุณชายดูดีเสมอเจ้าค่ะ”
ท่าทางต่ำต้อยถึงที่สุด
หานเยวียแค่นยิ้ม “เข้าใจแล้ว”
………
เด็กสาวกอด ‘ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า’ นั้น ยืนอยู่ตรงทางเข้าของชั้นหนึ่ง หนิงอี้ไม่ยอมให้นางขึ้นไป นางก็ยืนอยู่ชั้นหนึ่งอย่างว่าง่าย เขย่งเท้าก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างบนบ้าง
หนิงอี้สังหารคนในห้องแรกแล้ว
จากนั้น ประตูใหญ่ที่นางปิดด้วยตนเองข้างหลังก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
เผยฝานขมวดคิ้ว นางหันกลับมา เห็นประตูใหญ่นั้นพังทลาย เหมือนรับแรงพายุข้างนอกไม่ไหว พลันแตกกระจาย เศษกระจายเต็มพื้น
ข้างนอกเกิดพายุรุนแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ฝนตกหนัก
เงาของผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งเดินกลางฝนตกหนักในสภาพจนตรอก ดูเหมือนเปียกจนน่าเวทนา ระหว่างทางถูกลมพัด เดินมาทางโรงเตี๊ยมอย่างจนปัญญา
เผยฝานเห็นสภาพไร้ที่พึ่งของผู้คงแก่เรียนคนนั้นไกลๆ ดูเรียบร้อยและบริสุทธิ์ ใบหน้าหล่อเหลา อาจจะเป็นผู้ท่องแสวงหาความรู้จากเมืองหลวง เป็นเด็กบ้านนอกที่ข้างหลังเป็นชนบทพันลี้ที่ต้องทำการทดสอบเพื่อสร้างชื่อเสียง
เพียงแต่นอกเมืองหลวงคืนนี้ เกิดเรื่องมากมาย จะมีคนธรรมดาได้อย่างไร
หนิงอี้ที่กอดร่มกระดาษมันลงมาจากชั้นสองเห็นผู้คงแก่เรียนคนนี้เช่นกัน
ผู้คงแก่เรียนเข้ามาในโรงเตี๊ยม เปียกฝนไปทั้งตัว ดูไม่เหมือนผู้บำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญเท่าไร เขาหนาวสั่นไปทั้งตัว พูดเสียงเบา “ไม่รู้ว่าที่นี่ยังมีที่พักหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อของร้านที่ศีรษะฝังเข้าไปในโต๊ะรับรอง ตอนนี้เอาสองมือกดโต๊ะรับรอง ยกศีรษะขึ้นมาช้าๆ ลากเศษไม้แตกออกมา เขาบิดศีรษะอย่างผิดสรีระ เกิดเสียงดัง ‘กรอบ’ จากนั้นเขาเอาสองมือยื่นไปในกระบอกตา ดึงดวงตาสองดวงพร้อมกับเส้นเอ็นและเลือดอย่างกับไม่มีใครเห็น ก่อนโยนไปในปากและเคี้ยว กระบอกตาที่อาบเลือดสองข้างนั้น ตอนนี้กลายเป็นมี ‘ราศี’ ขึ้นมาเล็กน้อย
ผู้คงแก่เรียนเห็นภาพนี้ก็ตกใจวิญญาณแทบออกจากร่าง สั่นจะล้มลงหลายครั้ง ก่อนชำเลืองตามองศพบนพื้น ก็แทบจะเข้าใจทุกอย่าง โรงเตี๊ยมแห่งนี้เกิดการดำกินดำ และตนก็มาถึง
บุรุษผอมสูงหันหน้ามายิ้มกับผู้คงแก่เรียน “ท่านต้องการอะไร”
ผู้คงแก่เรียนไม่พูด บุรุษผอมสูงก็ยื่นมือมาข้างหนึ่ง หนังหน้าผู้คงแก่เรียนถูกฉีกออกมาในระยะห่างหลายฉื่อ บุรุษผอมสูงถือใบหน้าด้วยสองมือ เหมือนถือแป้งบางที่กำลังร้อนๆ กินไปทีละคำ เคี้ยวอย่างมีความสุข
ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เด็กสาวที่ห่างแค่เอื้อมที่มีสีหน้าปั้นยาก
แม้แต่หนิงอี้ที่เพิ่งลงมาจากบันไดชั้นสองและยังมีชายชราที่เห็นภาพนี้ชั้นบน ยังรู้สึกขยะแขยงอย่างยิ่ง
แม้แต่เถาฮวาที่ตากฝนอยู่นอกโรงเตี๊ยมยังมีสีหน้าคับแค้นใจถึงที่สุด
หานเยวียถามนางว่าใบหน้านี้ดูดีหรือไม่
นางคิดว่าดูดีจากใจจริง
แต่ตอนนี้ใบหน้านี้พังแล้ว คุณชายดูถูกนางมาตลอด แต่ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ
การฝึกเนื้อหนังร่างหนึ่งไม่ง่าย แม้แต่คุณชายก็ต้องใช้เวลาอย่างมาก เพื่อพบหน้าครั้งแรกกับเด็กสาวนั่น คุ้มค่าหรือ
เถาฮวาจับด้ามร่มแน่น ไม่พูดสักคำ
…….
บุรุษผอมสูงที่แสดงละครฉีกหน้ายืนตรงอีกครั้ง ใช้กระบอกตาสีดำมองหนิงอี้ โค้งตัวเล็กน้อย “แขกผู้มีเกียรติแห่งแดนบูรพามา เมื่อครู่มีความผิดมีตาหามีแววไม่ ตอนนี้ขอชดใช้ด้วยดวงตา…ไม่รู้ว่าเพียงพอหรือไม่”
หนิงอี้ครุ่นคิด
ชายชราเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีเสี้ยวหนึ่ง
บุรุษผอมสูงหัวเราะเบาๆ “ดูท่าคงยังไม่พอ”
“ผู้ฝึกบำเพ็ญป่าเขาพวกนั้นที่พักในโรงเตี๊ยม หากคุณชายหนิงอี้ไม่ชอบ ข้าจะกำจัดให้คุณชาย ว่าอย่างไร”
หนิงอี้ยิ้ม “เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”
ชายชราหรี่ตาลงเล็กน้อย
บุรุษผอมสูงพลันปรากฏบนชั้นสอง เขาใช้มือกดแก้มชายชรา สองเท้าเหมือนแมลงปอย่ำน้ำ ทางเดินของชั้นสองพลันระเบิดในชั่วพริบตา เกิดเสียงเหยียบพื้นดังสนั่น ชายชราถูกลากไปถึงสุดทางเดิน บุรุษผอมสูงดึงมือกลับ มองชายชราที่สิ้นลมหายใจและศีรษะฝังไปในผนังพลางหัวเราะเบาๆ หันกลับมาถาม “คุณชายหนิง”
หนิงอี้กอดร่มกระดาษมัน เขาพูดเสียงเบา “ข้าเป็นคนไร้ความเมตตา เจ้าลงมือได้เลย พวกเขาได้ยินแซ่ข้า รู้สำนักของข้าแล้ว ตอนนี้อาจจะซ่อนในห้องคิดจะฆ่าข้า ความจริง บทสรุปก็หนีไม่พ้นคำว่า ‘ตาย’”
หนิงอี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “คืนนี้เจ้าออกมือ จะได้ลดปัญหาไปด้วย”
บุรุษผอมสูงหัวเราะเบาๆ พูดคำว่าดี
หนิงอี้เดินลงจากชั้นสอง
ไม่นานนัก บุรุษผอมสูงหิ้วศีรษะเจ็ดคน สองมืออาบเลือด นั่งตรงสุดบันได ปล่อยมือออก ศีรษะกลิ้งลงมา เขามองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “การต้อนรับของแดนบูรพาบกพร่อง ถือว่าชดใช้ได้หรือไม่”
หนิงอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “ยังมีห้องอักษรสวรรค์อีกสามห้อง”
บุรุษผอมสูงยิ้ม “ความจริงมีห้องหนึ่งเก็บไว้ให้คุณชายหนิง เพียงแต่ข้าโง่เขลานัก คืนนี้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นเล็กน้อย คนที่เหลือเป็นสหายกัน หนึ่งมาจากภูเขาล่องโอฬารแดนบูรพา อีกหนึ่งมาจากภูเขาเชียงแดนบูรพา”
“พวกเขารู้ว่าข้าแซ่หนิง” หนิงอี้เอ่ยเสียงเบา “การเดินทางไปแดนอุดรครั้งนี้ ข้าไม่อยากเผยตัวตน”
บุรุษผอมสูงเลิกคิ้วขึ้น หยัดกายขึ้น
ข้างนอกโรงเตี๊ยม สองร่างเงาทะลวงกำแพงออกไป พุ่งทะยานไปกลางฝนตกหนัก
เถาฮวาที่รออยู่นานแล้วออกมืออย่างไม่ลังเล บีบแขกที่เชิญมาจากเขาศักดิ์สิทธิ์สองคนนั้นตายคามือ
…..
“คุณชายหนิง ตอนนี้ไม่มีใครรู้ตัวตนของท่านแล้ว”
บุรุษผอมสูงที่กลับมานั่งลงอีกครั้งยิ้ม “ข้าอยากเจรจากับท่าน…เรื่องความบริสุทธิ์ใจของแดนบูรพา”
หนิงอี้กอดร่มกระดาษมัน พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ครั้งนี้แดนบูรพาใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์กับวันล่าเหยื่อมากขนาดนี้ แต่เชิญข้าออกมือ…เกรงว่าคงเป็นเพียงขั้นตอนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ คุ้มค่าให้เจ้ามาเจรจาด้วยตนเองรึ”
บุรุษผอมสูงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่ปฏิเสธ
“ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร”
หนิงอี้ชำเลืองตามองศพผู้คงแก่เรียนนั้นที่นอนบนพื้น ก้มหน้าลง ตัวกอดร่มกระดาษมันแหงนมองไปข้างหลัง
เขาพิงโต๊ะต้อนรับ ถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหาน หรือว่าคุณชายน้ำค้างดี”