เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 10 วิถีของหนิงอี้ (1)
ตอนที่ 10 วิถีของหนิงอี้ (1)
โจวโหยวรอคำตอบของเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ
เขาเห็นเงาของคนคุ้นเคยจากตัวหนิงอี้
ชั่วขณะที่หนิงอี้กำลังว้าวุ่นใจ คิ้วขมวดเล็กน้อย ใบหน้าที่ยังถือว่าหล่อเหลานั้น ดูไม่ออกว่ามีความลังเลมากเพียงใด
หนิงอี้ว้าวุ่นใจอยู่หนึ่งลมหายใจ อาจจะไม่ถึง เพียงแค่ครึ่งลมหายใจ
“หากข้าเข้าสำนักเต๋า…ข้าบอกว่าหาก” เขาเลิกคิ้วขึ้น ถามต่อว่า “นั่นหมายความว่าจากนี้ข้าจะต้องอยู่ตำหนักนภาม่วงของสำนักเต๋า หลอมโอสถฝึกบำเพ็ญทุกวัน หรือศึกษาศาสตร์เต๋า อ่านตำราดีดพิณ ไม่มีที่ใดที่ไปได้อีกแล้วใช่หรือไม่”
โจวโหยวเงียบอยู่พักหนึ่ง เขาไม่นึกเลยว่าปัญหาที่เด็กหนุ่มเป็นกังวลจะเป็นเรื่องนี้
“เจ้าลงเขาได้ แต่สำนักเต๋ามีศัตรูมากมาย ดังนั้นขอบเขตการเคลื่อนไหวของเจ้าจึงมีจำกัดมาก ก่อนหน้าที่เจ้าจะเติบใหญ่ หอสามวิสุทธ์จะปกป้องเจ้าอย่างดีมาก…ในบางครั้ง ก็หมายถึงพันธนาการเช่นกัน”
โจวโหยวเห็นเด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างจริงจังมาก มือซ้ายยกมาเท่ามือขวา เหมือนกำลังคำนวณอะไรเงียบๆ มือขวายกมาสองนิ้ว
“ข้าอยากให้สวีจั้งรอดชีวิตไปได้ สำนักเต๋าทำได้หรือไม่”
โจวโหยวขมวดคิ้ว
สวีจั้งดูตกใจเล็กน้อย
หนิงอี้พูดนิ่งๆ “ข้าไม่เข้าใจการบำเพ็ญ แต่ข้ามองออกว่าเขาใกล้จะตายแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงคิดฆ่าเขา ข้ารู้ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเป็นยักษ์ใหญ่ แต่ท่านคือโจวโหยว ท่านเพิ่งขู่ไล่คนจากเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไป ท่านก็บอกข้าแล้วว่าคนที่สำนักเต๋าปกป้อง แม้แต่จักรพรรดิแห่งต้าสุยยังต้องไว้หน้าสามส่วน”
โจวโหยวเงียบ
สวีจั้งเก็บรอยยิ้ม เขามองหนิงอี้จริงจังมาก
หนิงอี้มองโจวโหยวพลางพูดเนิบนาบ “สวีจั้งช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าอยากให้เขารอด”
คำว่ามีชีวิตรอดไปในที่นี้ ไม่ใช่แค่ช่วยสวีจั้งสลัดคนที่มาล่าสังหารพวกนั้น แต่ยังช่วยเขารักษาบาดแผลภายในกาย ให้เขาพ้นจากสภาพแสงดาราแผดเผากาย
สำนักเต๋าต้องทำอะไรมากมาย
หลังเงียบไปชั่วขณะ
“สวีจั้งเป็นสหายของข้า…” โจวโหยวส่ายหน้า “หากเขาให้ปกป้องได้ง่ายเหมือนยัยเด็กตระกูลเผยนั่น ข้าก็คงปกป้องไปนานแล้ว เขาเลือกทางเส้นนี้ เขาสู่ซานให้ความเคารพเขา ข้าก็ควรจะให้ความเคารพเขาเหมือนกัน”
หนิงอี้นึกอะไรได้ แต่สวีจั้งกลับขวางเขาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “คนแซ่หนิง ความเป็นตายของข้า…เจ้าไม่ต้องกังวล”
หนิงอี้ชำเลืองตามองสวีจั้งทีหนึ่ง แต่ไม่ได้สนใจ
เขายกมือขวาขึ้นอย่างจริงจังมาก สองนิ้วชิดติดกัน จนถึงตอนนี้ นิ้วที่สามยื่นออกมาเช่นกัน
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก “เข้าสำนักเต๋า…ข้ามีเพียงสามเงื่อนไข
หนึ่ง ยัยเด็กนี่ไปที่ใด ข้าจะไปที่นั่นด้วย ไม่ว่าอย่างไร…ข้าก็จะอยู่กับนาง
สอง ข้าชอบอ่านตำรา แต่ไม่ชอบการถูกจำกัด
สาม ข้าอยากให้สวีจั้งรอด”
โจวโหยวส่ายหน้า “น่าเสียดาย ดูเหมือนเจ้าจะไร้วาสนากับสำนักเต๋าข้าแล้ว…ข้าจะส่งพวกเจ้าออกเดินทาง ก่อนออกจากเทือกเขาประจิม เจ้ายังเปลี่ยนความคิดได้”
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก รู้สึกว่าฝ่ามือตนชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
มือเล็กอบอุ่นจับมือเขาไว้แน่น เหงื่อออกที่ฝ่ามือ จนถึงตอนนี้ในที่สุดเผยฝานก็พ่นลมหายใจยาว
สวีจั้งห่อ ‘พินิจเหมันต์’ อย่างดี ก่อนจะพูดสบายๆ “โจวโหยว สหายน้อยนี่ไม่ตกลง ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
โจวโหยวขมวดคิ้ว
“กระดิ่งสามวิสุทธ์คืนให้เจ้า เจ้าเป็นเทพเซียนพเนจรแห่งสำนักเต๋า ข้าคือคนหนีตายที่เล่นชีวิตด้วยคมมีด พวกเขาศักดิ์สิทธิ์รอฆ่าข้า เจ้าคิดว่าพวกเขาพูดเล่นรึ ขืนไปช้า ข้าได้ตายจริงๆ แน่
เจ้าไม่รีบร้อนส่งข้าออกเทือกเขาประจิม ถึงตอนนั้นจะปล่อยให้ฆ่าไม่ไยดีกันรึ” สวีจั้งนำกระดิ่งเงินนั้นออกมา พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เรียกพิราบนั่นออกมา ไว้ค่อยเล่ารายละเอียดระหว่างทาง”
พิราบขาวตรงบ่าโจวโหยวมองค้อน ตบปีกดังพรึ่บๆ ทะยานขึ้น หลายลมหายใจต่อมา ก็ขยายใหญ่ขึ้นตามสายลม แสงสีแดงพุ่งออกมา นกกระจอกสีแดงทั้งตัว กางปีกสีแดงเพลิงขนาดยักษ์ ดวงตากระดิ่งทองแดงถมึงทึง มองสวีจั้งด้วยความโกรธ
บุรุษที่แบกพินิจเหมันต์เอ่ยนิ่งๆ “จะให้ทั้งโลกรู้ว่าข้านั่งเจ้าออกจากเทือกเขาประจิมรึ ได้ ข้าไปถึงที่หมายแล้วจะตุ๋นเจ้าเป็นน้ำแกงพิราบดื่ม แบ่งให้ศัตรูเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นลองชิมด้วย บางทียิ้มทีหนึ่งอาจจะลบล้างบุญคุณความแค้นกันได้”
นกยักษ์ที่แปลงจากพิราบขาวเป็นนกกระจอกแดงขยับยึกยือในท้อง สุดท้ายไม่ได้เปล่งเสียงใดออกมาด้วยความคับอกคับใจ
“คิดจะมีเรื่องกับข้ารึ” สวีจั้งยิ้มหยีตา “คงคิดได้เมื่อสิบปีก่อนแล้วสิ คิดดูเถอะ ฝึกถึงพลังบำเพ็ญนั้นยังเร็วเกินไป”
นกกระจอกแดงได้แต่เบนสายตาคับแค้นใจไปมองโจวโหยว
“ไม่นานหรอก ราวๆ ปีถึงสองปี” โจวโหยวเอ่ยเสียงเรียบ ลูบๆ หัวมัน ก่อนให้สัญญาอย่างจริงจัง “รอเจ้าฝึกบำเพ็ญเกินคำพูดคนก่อน ข้าจะพาเจ้าไปเขาสู่ซาน ไปดูหลุมศพของสวีจั้ง”
สวีจั้งมองค้อน ถึงกับพูดไม่ออก
แสงสีแดงหุบกลับไป หลังทุกคนขึ้นนั่งบนหลังนกแล้ว นกกระจอกแดงยักษ์นี้กระพือปีกหนักขึ้นช้าๆ นกกระจอกแดงที่เก็บประกายไฟไปดูเหมือนลูกธนูยักษ์พุ่งทะลวงกลางยามราตรี คลุมด้วยแสงจันทร์ ชั้นเมฆถูกสองปีกแหวกออก แสงจันทร์กับแสงดาวแตกกระจาย
หนิงอี้กอดเผยฝานในอ้อมอก สายลมพัดจนเขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
ตรงหน้าเป็นเมฆไหลหลากไร้พรมแดน พายุหมุนดังพึ่บพั่บ หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งกอดเด็กหญิงไว้แน่น ข้างหูเขามีแต่เสียงลมฉีกขาดดังฟู่ๆ
นกกระจอกแดงไม่ได้รีบบินทันที แต่ลอยขึ้น ร่างนกยักษ์แทบจะตั้งตรงดิ่งกับพื้นดิน เหมือนดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นฟ้า หนิงอี้รู้สึกว่าตนจับขนนกสีแดงไว้ไม่มีประโยชน์เลย ทั้งตัวเขาแทบจะตกลงไป
เขาลืมตาขึ้น เห็นสวีจั้งนั่งอยู่ข้างตนด้วยใบหน้าซีดขาว ร่างนกกระจอกแดงที่ขยายใหญ่แล้วตัวใหญ่มาก พื้นที่บนหลังมากพอจะบรรจุคนได้สิบกว่าคนเหลือๆ สวีจั้งใช้สองมือจับขนนกกระจอกแดงไว้ กัดฟันพูด “เจ้ารอก่อนเถอะ…สักวันข้าจะตุ๋นเจ้าทำน้ำแกงพิราบ”
โจวโหยวยืนอยู่หน้าสุดด้วยรอยยิ้ม เส้นผมขาวโบกสะบัด หันมามองสวีจั้งเชิงเยาะเย้ย
สหายของตนคนนี้…ไม่กลัวอะไรเลย
แต่กลัวความสูง
เมื่อลอยขึ้นมาถึงจุดสูงสุด นกกระจอกแดงหยุดพุ่งทะยาน แต่ลอยอยู่กลางอากาศ ส่งเสียงร้องเบาๆ อย่างมีความสุข
มองจากบนพื้น ไม่มีใครเห็นนกใหญ่ตัวนี้ชัดเจน
หนิงอี้มองลงไปด้วยอาการเวียนศีรษะเล็กน้อย ข้างล่างตนเป็นชั้นเมฆกลางความมืด กระแสเมฆลมลอยล่อง แนวเขาของเทือกเขาประจิมซ้อนทับตัดสลับกัน ตอนนี้มองไปกลายเป็นจุดดำเล็กยาวเหยียด มองเห็นไม่ชัด
แสงจันทร์ตกกระทบ ลากผ่านใบหน้า ลงไปอีกหน่อย จะลอยอยู่บนชั้นเมฆ เหมือนตกอยู่กลางทะเล
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก
เขาไม่เคยเห็นดวงจันทร์ใหญ่เช่นนี้มาก่อน
ดวงจันทร์บริสุทธิ์สุกสกาว จมลงทะเลหมอกครึ่งหนึ่ง มองไป…เหมือนแนบอยู่ตรงหน้าตน
เสียงนกกระจอกกังวานขึ้นบนชั้นเมฆ ดังกึกก้อง ค่อยๆ ขจัดสิ่งเลวร้าย
โจวโหยวหันไปมองทุกคนที่อยู่ข้างหลังด้วยความสนุกสนาน
สวีจั้งที่กว่าจะได้พักหายใจยังคงกัดฟัน ไม่กล้ามองภาพข้างล่าง
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญ อยู่ความสูงระดับนี้…ส่วนใหญ่จะเกิดความกลัวในใจ หากตกลงไปคงแหลกเป็นเสี่ยงๆ
เส้นทางการบำเพ็ญคือเหยียบเหล็กกล้าบนฟ้าสูง จะต้องกลั้นใจไว้ ผิดพลาดไม่ได้ คนที่เดินทางจะต้องระมัดระวัง ถือจิตใจแห่งมรรค หากไม่อาจเดินได้เหมือนพื้นราบ ก็ยากจะส่องเห็นมหามรรคที่แท้จริง
ในมุมมองโจวโหยว หนิงอี้เป็นคนที่น่าสนใจ เขาเหมือนไม่ใช่คนที่กลัวตกจากฟ้าสูง และสิ่งที่ทำให้โจวโหยวสนใจกว่าคือเด็กสาวในอ้อมกอดหนิงอี้
เผยฝานมีสีหน้าจริงจัง กลั้นลมหายใจ ไม่ส่งเสียงเลยมาตลอดทาง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางขึ้นจากพื้นดิน นางไม่เคยมีเซียนกระบี่ขี่กระบี่บินพาไป และไม่เคยนั่งหลังนกสัตว์แปลกเช่นนี้
ดังนั้น…นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใกล้ผืนดาราเหนือศีรษะมากที่สุด
เหนือศีรษะเผยฝานเป็นแสงดาราเริ่มวนเวียน ควบแน่นขึ้น
โจวโหยวมองภาพที่เผยฝานรวมแสงดาราขึ้นอย่างสนอกสนใจ
ผู้บำเพ็ญฝึกบำเพ็ญอย่างไร นั่นคือการเชื่อมต่อฟ้าดิน ยกระดับตัวเอง
ก้าวแรกคือการนำจิตใจธรรมดาที่ขังในร่างกายออกมา ใช้ความคิดของตนเชื่อมต่อพิเศษบางอย่างกับดาราบนฟ้า
ก้าวแรกนี้ จริงๆ คือ…การหายใจ
พ่นลมหายใจขุ่นออก ดูดรับแสงดารา
มีคนต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจหลักการนี้
แต่ก็มีคนที่เริ่มหายใจเอาอากาศแรกของโลกก็ก้าวสู่การบำเพ็ญตั้งแต่เกิด
อย่างแรกมีเยอะมาก เทียบกันแล้วก็เหมือนกันหมด เช่นคนธรรมดาที่ไม่อาจฝึกบำเพ็ญได้ทั้งชีวิต
ส่วนอย่างหลัง แทบจะไม่มีเลยในทั้งแผ่นดินใหญ่
การเกิดของโจวโหยวทำให้ศูนย์กลายเป็นหนึ่ง จากก่อนหน้านี้ที่ ‘ไม่มี’ เติมเป็นคำว่า ‘แทบจะ’ เข้าไป
“เป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ใช้ได้” โจวโหยวมองสวีจั้งพลางพูดเสียงเบา “นางคือลูกหลานตระกูลเผยที่เหลือรอด มีป้ายคำสั่งเขาลั่วเจียอยู่กับตัว นี่คือเหตุผลที่เจ้าจะส่งนางกลับต้าสุยรึ”
สวีจั้งไม่ตอบ เพียงแค่ส่ายหน้า สื่อเป็นนัยๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเหมือนที่โจวโหยวคิด
โจวโหยวไม่ใช่คนที่หาเรื่องใส่ตัว
ก่อนที่มาช่วยสวีจั้ง เขาไม่กังวลอะไรเลย เป็นกังวลแค่วิถีของตน
ตอนนี้เกิดสนใจในบุคคลอัจฉริยะขึ้นมา ดังนั้นก่อนส่งสวีจั้งออกจากเทือกเขาประจิม เขาเลยเป็นกังวลว่าหนิงอี้จะยอมเข้าสำนักเต๋าหรือไม่ ไม่ว่าบทสุดท้ายเป็นอย่างไร จะไปหรือไม่ไป ส่งไปแล้ว เขาก็จะไม่เอามาใส่ใจมากกว่านี้อีก
ส่วนเผยฝานจะไปที่ใด พรสวรรค์เป็นอย่างไร
โจวโหยวไม่สนใจ และขี้เกียจจะสนใจ
เขามองว่านางสามารถรวมแสงดาราด้วยการหายใจเองได้ ก็เป็นหน่ออ่อนที่ใช้ได้ทีเดียว
แต่ว่าก็แค่ใช้ได้เท่านั้น…และยังไม่ดีถึงขั้นทำให้เขาโจวโหยวเอาปัญหากลับไปให้สำนักเต๋าด้วยตนเอง
หนิงอี้ไม่เหมือนกัน
ขลุ่ยกระดูกของหนิงอี้นั่น มีระดับเหนือกว่าพินิจเหมันต์ของสวีจั้ง
แค่นี้ก็คุ้มค่าที่โจวโหยวจะรั้งไว้ด้วยตัวเอง
โจวโหยวเป็นคนแปลก
สวีจั้งก็เป็นคนแปลก
ทั้งสองคนเป็นสหายกันได้ ยินยอมเป็นสหาย…นั่นหมายความว่า คนแปลกสองคน ยอมรับกันและกันในระดับบางอย่าง
หากสวีจั้งไม่เคยพลังบำเพ็ญลดลง…เช่นนั้นถ้าโจวโหยวคิดจะทะลวงพลัง ก็ต้องใช้พลังภายนอกมากมาย และตัวเลือกที่ดีที่สุดในนั้นก็คือสวีจั้ง
“ถ้าเจ้าตาย ข้าอยากดูแลหนิงอี้เอง” โจวโหยวพูดจริงจังมาก “เขาคล้ายกับเจ้า เด็ดขาด แน่วแน่ รู้จักการตัดใจ”
สวีจั้งนั่งบนหลังนก พูดด้วยรอยยิ้มนิดๆ “เชื่อข้า…เขาไม่เลือกอยู่กับเจ้า เป็นโชคดีของเจ้าแล้ว”
โจวโหยวขมวดคิ้ว
“เพราะสำนักเต๋าของพวกเจ้า…เลี้ยงดูเขาไม่ไหว”
……………………