เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 17 สอนเจ้าฆ่าคน (1)
ตอนที่ 17 สอนเจ้าฆ่าคน (1)
พวกหนิงอี้สามคนนั่งในโรงเตี๊ยมมาหนึ่งชั่วยามกว่า รอจนฟ้ามืดสนิทถึงได้ออกไปอย่างไม่รีบร้อน
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมก็มีคนเลี้ยวออกมาจากตรอกเล็ก ตามหลังกลุ่มตน รั้งท้ายอย่างไม่รีบเร่ง
“พวกมันจะสืบที่พักเท้าของเราให้แน่ชัด ดูว่าเราพักโรงเตี๊ยมใด จะได้ส่งคนมาเฝ้าดู” สวีจั้งเอ่ยสบายๆ “โจรพวกนี้ทำอะไรมีความอดทนสูงมาก หลังจากมั่นใจว่าเราเป็นปลาใหญ่ที่พวกมันจะตกแล้ว พวกมันจะรอโอกาสที่เหมาะสม…เจ้าเป็นคนตระกูลใหญ่เมืองหุบเขาฟางข้างๆ ทำการค้าเสร็จแล้ว อีกไม่นานจะออกจากเมือง”
หนิงอี้ถามด้วยความฉงน “เช่นนั้นพวกเราจะให้พวกมันเฝ้าดูอยู่รึ”
“แน่นอนว่าไม่” สวีจั้งพาหนิงอี้เดินในตรอกเล็กเมืองสันติ ก้าวไม่ช้าไม่เร็ว เขาเอ่ยเนิบนาบ “ข้ารำคาญแมลงวันที่บินวนไปมาข้างหูหึ่งๆ ที่สุด พวกมันจับตาดูเรา เราจะออกจากเมืองตอนนี้แล้วจัดการเรื่องนี้”
เมืองเล็กชายแดนแห่งต้าสุย บ้านไม้มีอายุ พายุพัดใบไม้ร่วง เสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้แห้ง
ผ้าเรียวยาวข้างหลังสวีจั้งสัมผัสกับเศษใบไม้ เกิดเสียงดังแกรกๆ
อีกาดำบนหลังคาบ้านร้องทีหนึ่งก่อนจะบินไปไกล
บุรุษมีรอยยิ้ม พาหนิงอี้กับเผยฝานเดินบนเส้นทางเล็กออกจากเมือง เลี้ยวลดคดเคี้ยว เดินมาได้มากกว่าหนึ่งก้านธูปแล้ว จนมาถึงทุ่งกว้าง รอบๆ เป็นกองฟางมัดรวมกัน หุ่นไล่กาสั่นไหวตามสายลม
คนติดตามข้างหลังมีความอดทนสูงมาก ทั้งยังไหวพริบดีมาก สวีจั้งจงใจลดความเร็วลงเพื่อรอ กลัวว่าพวกเขาจะหลง ผู้ติดตามที่นำหน้ามาเหมือนสังเกตเห็นเจตนาของหนิงอี้ หลังออกจากเมืองก็ไม่เก็บกลิ่นอายพลังอีก แต่จุดแสงไฟขึ้นอย่างโจ่งแจ้ง ตามหลังหนิงอี้ไป
เมื่อหยุดฝีเท้า สวีจั้งหมุนตัวกลับมา มองกลุ่มคนตรงข้ามที่ห่างจากตนไปราวสิบจั้งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“สิบสามคน” หนิงอี้มองสวีจั้ง พูดเสียงต่ำ “ข้าจะไหวรึ”
สวีจั้งครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดที่นี่ถึงไม่เคยสงบเลย”
หนิงอี้สงสัยเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินสวีจั้งพูดต่อ “โจรรวมเป็นกลุ่มกันหมด กลุ่มหนึ่งมีอย่างน้อยเจ็ดสิบแปดสิบคน มีคนเฝ้าดู มีคนล้วงกระเป๋า มีคนจัดการศพ…และก็ฆ่าคนปล้นชิง
ทุกโรงเตี๊ยมในเมืองจะมีเส้นสายของโจร คนพวกนี้ไม่นึกว่าเราจะออกเมืองเร็วขนาดนี้ ดังนั้นคนที่มา…ส่วนใหญ่จะเป็นคนเฝ้าจับตามอง หรือนักล้วงกระเป๋าในเมือง”
หนิงอี้พยักหน้า เขาใช้ชีวิตในเมืองไร้มลทินเทือกเขาประจิมมาสิบปี จึงเข้าใจกลุ่มใต้ดินเช่นนี้ดี
“พวกมันเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก ต่อให้เจ้าเผชิญหน้ากับแค่คนเดียวก็อย่าได้ประมาท”
สวีจั้งพูดเสียงเบา “ตอนที่เผชิญหน้ากับเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็เช่นนี้ ฆ่าคนต้องให้เรียบร้อยหมดจด หากมาสิบคน เจ้าฆ่าไปเก้า หนีไปหนึ่ง ครั้งต่อไปอาจจะมาร้อยคน”
หนิงอี้เข้าใจนิดๆ แล้ว
“ข้าพูดเรื่องพวกนี้ก็เพื่อจะบอกเจ้าว่า เจ้าไหว…ไม่ใช่แค่สิบสามคน”
สวีจั้งพลันตะโกน “พวกเจ้าเป็นกลุ่มใดกัน”
หัวหน้าโจรที่ถือแสงไฟอยู่ตรงข้ามเป็นชายร่างใหญ่หัวโล้นที่ดูค่อนข้างมีความสำคัญ ด้านซ้ายบนตัวสักมังกรคราม ด้านขวาสักพยัคฆ์ขาว ทั้งตัวกล้ามเนื้อแน่น หลังได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้ากับโจรหลายคนข้างกาย ก่อนพูดอย่างเย็นชา “กลุ่มหิรัญ”
“นี่ เจ้าต้องสู้กับทั้งกลุ่มหิรัญแล้ว” สวีจั้งยิ้มหน้าบาน “หากฆ่าพวกมันไม่หมดในเวลาสั้นๆ จะมีคนมากันมากกว่านี้”
“เข้าใจแล้ว…” หนิงอี้พลันมองสวีจั้ง “ต่อไปจะเริ่มฆ่าแล้วใช่หรือไม่”
สวีจั้งพยักหน้า
“แต่ข้ายังไม่ทะลวงขอบเขตแรกเลย” หนิงอี้อึ้งไปเล็กน้อย “ท่านยังไม่สอนวิชากระบี่ที่ตกมาจากฟ้านั่นให้ข้า แล้วข้าจะเอาอะไรไปฆ่าพวกมัน”
สวีจั้งสูดลมหายใจเงียบๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนตอบกลับ “พวกมันก็ยังไม่ทะลวงขอบเขตแรกเหมือนกัน พวกมันก็ใช้วิชากระบี่ของข้าไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น…พวกมันเอาอะไรมาฆ่าเจ้า เจ้าก็เอาอันนั้นไปฆ่าพวกมัน”
สวีจั้งดึงเผยฝานถอยไป
สองข้างกองฟางค่อยๆ จุดแสงไฟขึ้นมา อีกยี่สิบกว่าคนไม่ตามหลังชายร่างกำยำหัวโล้น แต่ยืนรายล้อมกัน
หนิงอี้มองชายร่างใหญ่ที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าระมัดระวัง พลางพูดกับคนข้างหลัง “นี่ นี่…สวีจั้ง สวีจั้ง ให้กระบี่ข้าใช้หน่อยสิ”
เสียงทะลวงอากาศดังแว่วมา หนิงอี้หันไปมองด้วยความหวัง สองมือรับสัมภาระหนักอึ้ง สวีจั้งที่ลอยล่องถอยไปเอ่ยเสียงดังมา “ทุกท่าน…เงินกับของอยู่ในสัมภาระนั่น อยู่ในมือนายน้อยตระกูลหลี่คนนี้”
ชายร่างใหญ่หัวโล้นมองไปที่สัมภาระ หนิงอี้มองเงามืดยักษ์ที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ นั้น พลางหยิบสัมภาระขึ้นบ่า ด่าทีหนึ่งแล้วกัดฟันวิ่งหนีไปข้างหลัง
แสงไฟข้างหลังวูบไหวมอดดับ ประกายคมดาบสว่างขึ้น
เสียงดาบแหบแห้งลากผ่านความเงียบในยามราตรี หนิงอี้รู้สึกหนักที่บ่า สัมภาระถูกดาบฟันขาด เศษตำลึงเงินสีขาวกับเงินทองแดงพวงใหญ่ไหลออกมา ยังไม่ทันเสียดายก็ถูกแรงมหาศาลนั้นซัดกลับมา ก่อนจะถูกคนใช้เท้าถีบลอยออกไป กระแทกเข้ากับกองฟาง
เสียงของเผยฝานดังแว่วมาไกลๆ ด้วยความร้อนรน “หนิงอี้!”
ดวงตาเด็กหนุ่มดำมืด เพียงแต่ความมืดนี้…ไม่ใช่เวียนศีรษะตาพร่ามัว
เท้าข้างหนึ่งเหยียบที่หน้าอก หากเป็นก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็ต้องหายใจไม่ออกล้มกับพื้น กุมหัวใจลุกไม่ขึ้น เพียงแต่ตอนนี้ หนิงอี้กลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด
เขานึกถึงไข่มุกตะวันคร้านห้าร้อยปีนั้นที่ตนกินไป และยังมีโอสถม่วงเร้นพันเม็ดที่โจวโหยวให้ตนไว้
โอสถพวกนี้ มากพอจะทำให้ทะลวงขอบเขตแรก
ระหว่างทาง สวีจั้งยังเคยบอกเขาว่าร่างกายเขาต่างจากคนอื่น รากฐานแต่กำเนิดไม่เพียงพอ…ดังนั้นจะต้องกินทรัพยากรให้มาก ถึงจะทะลวงพลังได้อย่างราบรื่น
ตนกินไข่มุกตะวันคร้านไปเม็ดหนึ่ง และยังมีโอสถม่วงเร้นมากขนาดนั้น…ต่อให้ไม่ทะลวงพลัง กายและจิตก็ยังเหนือกว่าตนปกติ ตอนอยู่ทะเลทรายยังจูงม้าตามสวีจั้งทัน ก็อธิบายในจุดนี้ได้แล้ว
“เจ้าเด็กนี่แปลกๆ ฆ่ามัน” ชายร่างใหญ่หัวโล้นชำเลืองตามองกองฟางทีหนึ่ง แรงถีบของตนเมื่อครู่มากพอจะถีบม้าใหญ่ตายได้ ปรากฏว่าเจ้าเด็กนี่กลับไม่เป็นอะไรเลย ตอนนี้ยังนั่งเหม่อลอยลูบหน้าอก อาจจะมีสมบัติคุ้มกันที่ผู้อาวุโสให้ไว้
คมดาบสว่างขึ้นสี่ทิศ ชายร่างใหญ่สิบสองคนต่างพุ่งเข้าใส่หนิงอี้
หนิงอี้ไม่ทันคิดก็พลิกตัวกระโดดขึ้นกองฟางสบายๆ ก่อนจะวิ่งไปทางสวีจั้ง
ทันใดนั้นมีคมดาบที่แฝงประกายเย็นเยือกทะลวงกองฟางผ่านข้างแก้มตน
หนิงอี้หรี่ตาลง พลันเกิดลางสังหรณ์ขึ้นในความคิด เขาเอียงตัวแล้วทำท่าสะพาน พริบตาต่อมา ดาบสามสี่เล่มทะลวงผ่านกองฟางดัง ‘ฟิ้ว’ แนบผ่านผิวหนังวนรอบหนึ่ง
กองฟางถูกดาบฟันขาด ร่างคล่องแคล่วของเด็กหนุ่มเคลื่อนไหวในความมืด พลันดับเสียงลง
ในความมืด มีคนนำพับไฟขึ้นมาเตรียมจุด แต่กลับถูกสหายห้ามไว้
การจุดไฟที่นี่จะทำให้กองฟางติดไฟได้ง่ายมากและเป็นที่สนใจของคน หากทหารรักษาการณ์ของเมืองสันติมา เช่นนั้นทั้งกลุ่มจะไม่ใช่แค่ภารกิจล้มเหลว แต่ยังเกิดปัญหาอีก
หัวหน้าโจรที่นำมาทำท่าทางอย่าส่งเสียง ทุกคนต่างหยุดนิ่งและเอียงหูฟัง
…..
หนิงอี้แนบกับกองฟาง กลั้นลมหายใจสุดชีวิต ถึงตอนนี้ เขาไม่ตัวสั่นแล้ว ในความคิดสงบนิ่งมาก
เสียงเอะอะทั้งหมดไกลออกไป
เขารู้ว่าโจรเดนตายพวกนี้กำลังหาร่องรอยของตน หากตนส่งเสียงก็จะเผยตำแหน่งทันที
ความคิดชัดเจนขึ้น
หนิงอี้เห็นร่างเงาผอมสูงหนึ่ง คนนั้นกำลังย่างก้าวมาทางตนช้าๆ
มากสุดอีกสิบลมหายใจ ที่ซ่อนตัวจะถูกพบ
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเงินทองแดงมาเหรียญหนึ่งและพุ่งออกไป
การสังหารคนมีหลายวิธี
การฆ่าไปทีละคนเป็นวิธีการฆ่าที่บุ่มบ่าม
หนิงอี้นึกวิธีอื่นที่จะฆ่าคนสิบสองคนพร้อมกันไม่ออกแล้ว
แต่เขารู้ว่าหากไม่คว้าโอกาสสุดท้ายไว้ เมื่อตนถูกพบก็จะไม่ทันการ
เสียงดังใสมาจากในความมืด เงาผอมสูงหันไปมองตามจิตใต้สำนึก แต่ในหางตากลับเห็นเงาอีกทางพุ่งเข้ามา ก่อนชกหมัดที่เป้ากางเกงตนอย่างแรง
หนิงอี้ไม่สูงพอ ต่อให้กระโดด ก็อาจจะทุบไม่โดนจุดขมับ ไม่อาจปลิดชีพได้ในทีเดียว
ก่อนที่บุรุษจะส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หนิงอี้กระชากแขนบุรุษสูงตรงหน้า ชิงดาบมา ก่อนจะเหยียบบนกองฟางและอาศัยแรงฟันดาบออกไป
นี่คือการฟันดาบแรกของหนิงอี้
คมดาบเร็วมาก เสียงลมที่เกิดขึ้นกระแทกบ่าของบุรุษ บุรุษคนนั้นถูกฟันบ่าไปครึ่งหนึ่ง ทั้งตัวล้มลงกับพื้นดังตึง
เลือดสีแดงฉานสาดกระจายใส่หน้าหนิงอี้ เด็กหนุ่มหอบหายใจแรง ฝืนทนความไม่ชินอันรุนแรงไว้ ก่อนชำเลืองตามองโจรอีกคนที่ยังตื่นตกใจ
ไม่มีใครเชื่อว่านายน้อยตระกูลขุนนางอายุสิบหกปีจะสังหารได้เด็ดขาดเช่นนี้
ฟันลงอีกดาบเหมือนตัดฟืน หนิงอี้กระโดดลงจากกองฟาง สองมือถือดาบ ดาบนี้ฟันเข้าที่ศีรษะ กะโหลกศีรษะแข็งมาก ฟันเสียงดังแล้ว หนิงอี้ข้อมือสั่น กำดาบไว้ไม่อยู่ ทั้งตัวเขาล้มลงบนตัวโจร เขารีบลุกขึ้นด้วยความลนลาน มีเสียงลมดาบดังมาจากข้างหลัง สองมือดึงดาบขึ้น ดาบนั้นฟันลงลึกมาก ดึงไม่ขึ้นในทีเดียว
เสียงซวบดังขึ้นข้างหลัง หนิงอี้แสยะปากยิงฟัน รู้สึกถึงรสชาติของการถูกคมดาบพัดผ่าน มีความเย็นเยือกแฝงมา
เขาดึงดาบขึ้นมาดัง ‘ชิ้ง’ ก่อนย่อตัวฟันออกไป คมดาบฟันขวางเข้าเนื้ออย่างง่ายดาย ฟันไปถึงครึ่งหนึ่งก็ติดตรงกระดูกสันหลัง
“บ้าจริง…” หนิงอี้พยายามดึงดาบ ก็รู้สึกเย็นที่แผ่นหลังอีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ ใบหน้าขาวซีด ถูกคนถีบอย่างแรง ตัวเขาและดาบพุ่งเข้าไปปักในกองฟางอย่างแรง
………………………..