เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 18 สอนเจ้าฆ่าคน (2)
ตอนที่ 18 สอนเจ้าฆ่าคน (2)
บาดแผลข้างหลังสร้างความเจ็บปวดทะลวงหัวใจ
หนิงอี้ยื่นมือไปคลำ เอวด้านหลังชื้นเล็กน้อย มีความอุ่นนิดๆ พลิกตัวกลับมา ซวนเซลุกขึ้นพิงกองข้าวโพด ฟางหญ้าแทงหลัง ทั้งเจ็บทั้งคัน เขาก้มหน้าลงพบว่าดาบนั้นปักอยู่ในกองฟาง ดึงออกมาได้ทุกเมื่อ
หนิงอี้ยกสองมือขึ้นดู ฝ่ามือเป็นสีแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเลือดใคร
ข้างหน้ากองฟางเป็นคนกลุ่มหนึ่งมารวมกัน
สิบสามคน ตายไปสอง…ยังเหลือสิบเอ็ดคน…
คนนั้นที่ถีบตนเมื่อครู่มีแรงเยอะมาก น่าจะเป็นเจ้าหัวโล้นนั่น…
ความคิดหนิงอี้สับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่อยเปื่อยอะไรอยู่
สายตาเขาพร่าเลือนเล็กน้อย หรี่ตาลงจ้องไปตรงหน้าไม่ไกล ค่อยๆ รวมจุดสายตาไปที่ศีรษะเปล่งแสงแวววาว ภาพทุกอย่างถึงได้ชัดเจนขึ้นทีละนิด
“เหล่าเยาตายแล้ว…ดาบเดียวฟันหัว ขาดครึ่ง”
“อาปายังไม่ตาย…ถูกฟันบ่า ตรงนั้นพิการไปแล้ว…ไม่ได้สติ น่าจะใกล้ตายแล้ว”
“เจ้าเด็กนี่…ลงมือโหดจริงๆ เป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญหรือไม่”
“หืม มันตื่นแล้ว”
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก กลั้นลมหายใจ ยื่นมือมาข้างหนึ่ง จับดาบที่ปักในกองฟางไว้เงียบๆ สายตามองโจรกลุ่มนี้อย่างเฉยชา
เขาไม่นึกถึงสวีจั้งอีก…
เสียงของเผยฝานค่อยๆ ดังไกลออกไป…
ไม่รู้เพราะเหตุใด เลือดที่ไหลไม่หยุดในตัวเขาถึงไม่มีอุณหภูมิของร่างกาย แต่กลับทำให้เขาร้อนขึ้นเรื่อยๆ
สติข้ามผ่านความพร่าเลือน ค่อยๆ เริ่มกลับมาอบอุ่น
ความเจ็บปวดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
หนิงอี้เริ่มชินกับกลิ่นคาวเลือดตรงปลายจมูก มีความขมฝาดของเหล็กหล่อ ใบหน้าเขายังคงซีดขาว
ยืนกรานกันเช่นนี้ไม่นานนัก
“คนแซ่หลี่แห่งเมืองหุบเขาฟาง…เจ้ามาจากสำนักใด”
หัวหน้าโจรที่ยืนอยู่หน้าสุดมองหนิงอี้ พูดอย่างจริงจัง “ข้าไว้ชีวิตเจ้าได้ เจ้าถูกฟันไปสองดาบ แต่ฆ่าพี่น้องข้าไปสองคน หากเจ้ายอมหายกัน เช่นนั้น…เงินกับตำลึงนี่ ข้าจะคืนให้เจ้าได้”
หนิงอี้เห็นคนข้างหลังกัดฟัน นัยน์ตาฉายแววไม่ยอมและเคียดแค้น แต่ก็กลั้นใจไม่พูด
“ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นศิษย์เขาสู่ซาน เจ้าจะเชื่อหรือไม่” หนิงอี้ยิ้มอย่างอ่อนแรง เขาก็อยากจะถ่วงเวลาอีกหน่อย โจรพวกนี้คิดว่าตนจะไม่ไหวแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่า…ช่วงที่หนิงอี้หายใจ อาการบาดเจ็บได้เริ่มฟื้นฟู ยิ่งถ่วงเวลาได้นานเท่าไร สภาพของหนิงอี้ก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าไม่เชื่อ คนเขาสู่ซานไม่มีทางมีแค่สองสามร้อยตำลึงเงิน” ชายร่างใหญ่หัวโล้นยิ้มอ่อนโยน ก่อนถามต่อ “เจ้ามาจากสำนักใดกันแน่”
หนิงอี้แค่นยิ้ม ก็นึกว่าเขาสู่ซานจะมีคนที่ยากจนกว่าตน อย่างเช่นสวีจั้งที่ไม่มีเงินสักแดงเดียว
เมื่อนึกถึงสวีจั้ง หนิงอี้ก็ผึ่งผายขึ้นมา หัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่มีสำนัก อยู่ตัวคนเดียว ร่อนเร่พเนจร สง่างามหรือไม่”
“ดี สง่างาม” ชายร่างใหญ่หัวโล้นพยักหน้า ยืนถือดาบ พูดกับคนข้างกายอย่างเฉยชา “ฆ่ามันเถอะ”
เสียงสนทนาระหว่างโจรดังแว่วมา
“มารดาเถอะ รอเปล่าประโยชน์มาตั้งนาน…จะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”
“…ที่แท้ก็ไม่มีสำนัก ลงมือได้อย่างสบายใจเลย”
“ฆ่าพี่น้องข้าไปสองคน ไอ้สารเลว!”
หนิงอี้เบิกตาโต พิงกับกองฟาง
เขาไม่นึกเลยว่ายุทธภพจะโหดร้ายเช่นนี้
…..
“เจ้าโง่นี่…เหตุใดถึงซื่อตรงเช่นนี้กัน” สวีจั้งหิ้วเผยฝานที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บมายืนบนยอดเขาเล็กไม่ไกล ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เขาเลี้ยงดูเจ้าในเทือกเขาประจิมจนเติบใหญ่มาได้อย่างไรตั้งสิบปี หรือขโมยไม่เคยโดนจับได้เลยรึ”
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น “ก็แค่ถูกฟันสองดาบเอง ฟันอีกสองดาบก็ไม่ตาย หากเขาฉลาดได้เหมือนข้าตอนอายุสิบหก มีความสามารถเลิศล้ำ เช่นนั้นคนพวกนี้ตอนนี้คงถูกฆ่าไปหมดแล้ว”
เผยฝานรู้สึกจุกในลำคอ คำพูดที่จะพูดเมื่อครู่ถูกคำพูดนี้ของสวีจั้งยัดกลับไป
สวีจั้งยืนบนยอดเขา สายลมเย็นพัดมา อาภรณ์เรียบนิ่ง
มีท่าทีของผู้สูงส่งเล็กน้อย
“ในตัวหนิงอี้มีสมบัติล้ำค่า แต่กลับไม่รู้”
เขาพูดเนิบนาบ “ส่วนการขุดสมบัติล้ำค่าในตัวนั่น…ใครก็ช่วยหนิงอี้ไม่ได้ ได้แต่พึ่งตัวเอง หากตอนแรกเขาไม่คิดชิงดาบ แต่ใช้ขลุ่ยกระดูกนั่น คนพวกนี้คงตายไปหมดแล้ว”
เผยฝานอึ้งงัน
“แน่นอน…หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงจะผิดหวังมาก” สวีจั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลับกัน ข้าพอใจในสิ่งที่เขาทำตอนนี้มาก ขลุ่ยกระดูกคือไพ่ตายสุดท้ายของเขา หากไม่ดิ้นรนสู้สุดชีวิต แต่เอาขลุ่ยกระดูกออกมาเลย จากนี้หากเจอปัญหาที่ขลุ่ยกระดูกช่วยไม่ได้จะทำอย่างไร ผู้บำเพ็ญน่ะ…ไม่ถึงที่ตายจะนิพพานเกิดใหม่ได้อย่างไร”
เผยฝานเงียบลง
นางพลันนึกได้
สวีจั้งหนีตายสิบปี ไม่เคยใช้พินิจเหมันต์เลย เป็นเพราะเหตุผลนี้หรือไม่
สักวันหนึ่งเมื่อเขาคว้าพินิจเหมันต์อีกครั้ง…นั่นหมายความว่าเขาทุกลูกที่ขวางหน้าเขาก่อนหน้านี้ จะถูกสวีจั้งฟันขาดในกระบี่เดียวหรือไม่
…..
หนิงอี้พิงหลังกองฟาง
พลันมีเสียงเบาดังมาข้างหูเขา
“จากท่าทางออกดาบเมื่อครู่ของเจ้า มากสุดสามดาบ เจ้าจะถูกฟัน”
เจ้าของเสียงคุ้นหูมาก สวีจั้ง
“ฟันคนตรงกลางก่อน กระโจนไปทางซ้าย กระแทกไปทางขวา สามดาบฆ่าได้สามคน ฆ่าตายน้อยไปคนหนึ่ง เจ้าจะโดนฟันมากขึ้นอีกที” เสียงสวีจั้งมีความเย้าหยอกนิดๆ “หากเจ้าพลาดก็จะโดนดาบฟันมากขึ้น ตอนจะตาย ข้าจะออกมือช่วยเจ้า แต่ด้วยกายและจิตของเจ้าตอนนี้ จะรับดาบได้มากเท่าไร…ลองคำนวณเอาเอง”
ยังไม่ทันสัมผัสถึงความหมายในนั้น
กลุ่มคนในเงามืดก็พุ่งเข้ามาแล้ว พื้นที่หน้ากองฟางกว้างมากพอ ลมร้อนที่จู่โจมเข้ามาแทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก หนิงอี้หยิบดาบขึ้น ฟันหนึ่งดาบอย่างรวดเร็วยิ่ง ฟันจากบนลงล่าง เลือดสาดกระเซ็น ครั้งนี้กำดาบไว้แน่น เพียงแค่ฟันเผินๆ คนตรงกลางที่ถูกฟันถึงกับร้องโหยหวน
ดาบของหนิงอี้เปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น
เด็กหนุ่มส่งแรงพุ่งไปทางซ้าย กระแทกไปหนึ่งดาบ ก่อนพาร่างทางซ้ายนั้นหมุนตัวรอบหนึ่ง ไม่ได้แทงคนทางขวาตายเหมือนที่สวีจั้งบอก
เขารู้ว่าผู้ถือดาบใช้แรงฟันเยอะมาก และถ้าแรงแขนไม่เพียงพอจะเกิดอะไรขึ้น
โจรทางขวาฟันดาบใส่สหายโจรตรงหน้าหนิงอี้ ท่ามกลางเสียงร้องโอดครวญ ขนาดดึงดาบยังทำไม่ได้
“ซ้ายสามสี่”
เสียงบุรุษดังขึ้นในหูหนิงอี้ลับๆ
เด็กหนุ่มไม่ลังเล เพราะลางสังหรณ์เขาสังเกตเห็นอันตรายจึงชักดาบฟันออกไปทันที น่าเสียดายที่กำลังไม่แกร่งพอ ฟันดาบสองทางแล้วก็ซวนเซถอยไป
หนิงอี้พิงกองฟาง เสียง ‘ขวาสิบเอ็ด’ ยังไม่ทันสิ้นลง เขาก็ปาดาบออกไป ตอกร่างหนึ่งเข้ากับกองฟางด้านข้าง
ในมือไม่มีอาวุธแล้ว
โอกาสชิงดาบริบหรี่
แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งมาในเงามืด
วัตถุแหลมคมชิ้นหนึ่งถูกดึงออกจากแขนเสื้อหนิงอี้ ใบไม้สีขาวหิมะนั่น พุ่งออกมากลางสายลมความมืดที่ไม่มีใครเห็นชัด ซ่อนในซอกเล็บหนิงอี้
เด็กหนุ่มซวนเซเหยียบขึ้นกองฟาง อาศัยแรงกระโดดขึ้นพลิกตัวข้ามหัวโจรลงบนพื้น ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ชายร่างใหญ่หัวโล้นที่หนักกว่าตนสองสามเท่า
จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน
หัวหน้าโจรที่ถือดาบมั่นคงดั่งขุนเขานั่น มีวิทยายุทธ์สูงกว่าอย่างชัดเจน
หนิงอี้ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงของตนจะยืนหยัดได้นานเท่าไร แต่เขารู้ว่าหากใช้ขลุ่ยกระดูกจะสังหารคนที่สำคัญที่สุดได้
ชายหัวโล้นมองเด็กหนุ่มวิ่งมาทางตน ระยะทางสั้นๆ ถึงในพริบตา จนถึงตอนนี้เขาก็ยังสงสัยว่าเด็กหนุ่มที่มีกายและจิตแข็งแกร่งจนไร้เหตุผลคนนี้เป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งบางคน
ความจริงเขาก็เดาไว้ไม่ผิด…สวีจั้งตรงกับฐานะผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งที่เขาบอกทุกประการ อีกทั้งผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งคนนี้กำลังสอนให้หนิงอี้สังหารคนอย่างไร
พริบตาต่อมา เด็กหนุ่มชนกับชายร่างใหญ่หนักดั่งขุนเขา
คมดาบยกขึ้น
แขนเสื้อเด็กหนุ่มเปล่งแสงสีขาว
หนิงอี้ลูบคมดาบตรงปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว รู้สึกถึงอุณหภูมิร้อน เวลาทั้งหมดช้าลง เขาหายใจหนักหน่วง สัมผัสทั้งหมด…ในตอนนี้ชัดเจนและเดือดพล่าน
ใต้ปลายนิ้ว ขลุ่ยกระดูกนั้นผ่านไปที่ใด คมดาบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษดาบ แสงสีขาวจางๆ สะท้อนออกมาเป็นแววตาตกใจและหวาดกลัวของบางคน
สุดท้ายเศษดาบแตกตกลงพื้น เปื้อนคราบเลือด เสียงล้มลงพื้นหนักเหมือนขุนเขาดังสนั่น ก่อนจะสั่นสะเทือนพื้นราบ
ไม่มีเสียงใดอีก
หนิงอี้ที่ใช้แขนเสื้อปาดคอชายร่างใหญ่พุ่งผ่านไปเกือบหนึ่งจั้ง ยังคงอยู่ในท่าถือดาบปาดคอ
หนิงอี้รู้สึกว่าหากชายร่างใหญ่นี้เป็นโจรคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ และเขาก็ยังมีแรงเหลือมากกว่า เช่นนั้นเขาก็อยากจะอยู่ในท่านี้จนกว่าสวีจั้งกับเผยฝานจะมารับตน
ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
หนิงอี้หมุนตัวกลับมามองโจรที่มีแววตาตกใจระคนหวาดกลัวพวกนั้น ก่อนพูดอย่างจริงจัง “เคยได้ยินมารคลั่งสังหาร สวีจั้งแห่งเขาสู่ซานหรือไม่”
มีคนส่ายหน้า มีคนพยักหน้า
หนิงอี้กล่าว “แม้ข้าจะยากจนมาก แต่ข้างหลังข้าคือเขาสู่ซานจริงๆ ดังนั้น…พวกเจ้าล่วงเกินเขาสู่ซาน อีกไม่นานไม่ใช่แค่พวกเจ้า แต่ทั้งกลุ่มหิรัญจะต้องจบเห่”
หนิงอี้ถามอย่างเคร่งขรึมยิ่ง “สวีจั้งเป็นอาจารย์ครึ่งหนึ่งของข้า มารคลั่งสังหารนั่นจะมาถึงในไม่ช้า พวกเจ้ายังมีใครอยากประมือกับข้าอีกหรือไม่”
มีคนเริ่มวิ่ง
จากนั้นทุกคนหนีกันไปหมด
ผ่านไปพักหนึ่ง
หนิงอี้นั่งลงบนกองฟาง เขามองสวีจั้งเดินมาหน้าตนด้วยใบหน้ามืดทะมึน
“มารคลั่งสังหารคนนี่มันฉายาบ้าอะไรกัน”
“หรือว่าท่านไม่ชอบกัน”
“…เจ้าคิดว่าพวกมันจะเชื่ออุบายนี่รึ”
หนิงอี้มองสวีจั้งพลางพูดอย่างจริงจังมาก “ไม่มีใครเห็นชัดว่าข้าสังหารคนสุดท้ายนั่นอย่างไร พวกมันคิดว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญ ตอนนี้ข้าพูดอะไรไป…พวกมันก็จะเชื่อ ต่อให้ข้าบอกว่าท่านเป็นมือสังหารคลั่งเสียสติแห่งเขาสู่ซาน พวกมันก็จะเชื่อ”
“มีคนเคยได้ยินนามของข้า พวกมันรู้ว่าสวีจั้งเป็นใคร”
“ท่านมั่นใจว่านามของท่านอยู่ในหูคนที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญพวกนี้ ก็แปลว่าไม่ใช่มารคลั่งสังหารสิ ไม่ใช่มือสังหารบ้าคลั่งเสียสติแห่งเขาสู่ซาน”
สวีจั้งเงียบ เขาย่อตัวลงมองหนิงอี้ “แต่เจ้าปล่อยพวกมันไป”
หนิงอี้มองสวีจั้งตลอด “คนที่ล่าสังหารท่านในตลอดหลายปีมานี้ ไม่เอาคนอื่น แค่จวนขานฟ้ากับเขาอนันต์เล็ก ท่านฆ่าไปเท่าไร เหลือรอดเท่าไร”
“คนพวกนั้น ฆ่าไม่จบไม่สิ้น” สวีจั้งเอ่ยนิ่งๆ “สักวันข้าจะไปเยี่ยมถึงสำนักพวกมันเอง”
“ผู้อาวุโสพูดมีเหตุผลมาก…”
หนิงอี้ยิ้ม “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
……………………..