เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 19 สอนเจ้าฆ่าคน (3)
ตอนที่ 19 สอนเจ้าฆ่าคน (3)
หลังจากกลับไป หนิงอี้กลั้นความเจ็บปวดและเช็ดตามตัว เผยฝานทำแผลให้เขาด้วยความสงสาร ทาสมุนไพรนิดๆ พันด้วยผ้าสามรอบ โดยเฉพาะตรงหลังกับเอว พันไว้แน่นมาก
จากนั้นหนิงอี้ล้มลงนอนในโรงเตี๊ยมหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ
การเข่นฆ่าข้างนอกกองฟางนั้น ภาพการยกดาบอย่างหมดแรง ฟัน หนี กระโจน ทุกภาพหยุดนิ่ง วนเวียนในความคิดไม่หยุด
ในฝันร้าย หนิงอี้วิ่งอย่างเฉยชา หูสองข้าง…มีคนตะโกนเสียงดัง มีคนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาได้แต่ถือดาบฟันไปไม่หยุด คมดาบเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฟันคนเหมือนตัดฟืน หลังจากเสียงพลั่กดังขึ้นแล้ว ความเจ็บปวดทั้งหมดพุ่งออกมาจากบาดแผล โลหิตสาดกระจาย ย้อมทัศนวิสัยเป็นสีแดง
สุดท้ายหนิงอี้หยุดวิ่ง ยกสองมือขึ้น รู้สึกว่าทั้งตัวหุ้มไปด้วยเลือดสด
“ฟู่ ฟู่…”
ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็หอบหายใจหนักหน่วง เหมือนตกลงหุบเหวลึกหมื่นจั้ง ตกจากสะพานแขวน
เกิดเสียงดังแกรก กระดูกแหลกเป็นเสี่ยงๆ ในความฝัน
หลังตื่นมาก็อยู่ในความเป็นจริง
หนิงนี้ร้องด้วยความเจ็บปวด เขาเปลือยกายท่อนบน นอนบนเตียง สมุนไพรและผ้าพันแผลตรงปากแผลชุ่มไปด้วยเหงื่อ รู้สึกปวดศีรษะเหมือนตัดขาดจากโลก แขนขาไม่มีแรงเหลือให้ขยับตัวได้เลย
ตรงหน้าอกมีแรงกดทับเบาๆ
เขาชำเลืองตามองไปเห็นศีรษะเด็กสาวที่นอนกรนขยับขึ้นลงพาดอยู่ตรงหน้าอกตน เส้นผมกระเซิง ผมสะบัดเบาๆ ตรงปลายจมูก หอมเย็นอบอุ่นและงดงาม
ภาพการสังหาร…เป็นเพียงความฝัน
หนิงอี้ไม่ขยับ แค่นอนเงียบๆ อย่างนี้ เสพความเงียบสงบที่หาได้ยาก
เขาเอียงศีรษะไปมองแสงตะวันด่างพร้อยที่ส่องมาจากหน้าต่าง ใจนึกว่าตนหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ ถึงยามโพล้เพล้วันที่สองแล้วรึ
เด็กนี่หลับลึกมาก ดูท่าคงจะเหนื่อยมาก
เสียงเปิดประตูดังเบาๆ มาจากนอกห้อง หนิงอี้พยายามลุกขึ้นนั่ง ก็เห็นสวีจั้งในชุดคลุมดำแบกพินิจเหมันต์ ถือกล่องอาหารมา มือหุบร่มกระดาษเหลืองเปียกชุ่ม ยืนข้างประตูอย่างสบายใจ
เผยฝานตื่นแล้ว ขยี้ตางัวเงีย ทำจมูกฟึดฟัด “หอมจัง…”
“ไก่ขอทาน ขาหมูอบ เนื้อวัวพะโล้ ต้มน้ำแกงเป็ด ซาลาเปาไส้หมู…” สวีจั้งกองกล่องอาหารสี่ห้ากล่องลงบนโต๊ะไม้ กลิ่นหอมโชยมา เขายิ้มหยีตา “หนิงอี้ อย่าน้ำลายไหล นี่ให้เด็กนี่กิน เจ้ามีแค่ซาลาเปาเท่านั้น”
หนิงอี้คิดว่าจริงจึงพ่นลมหายใจยาว
เผยฝานทำแก้มป่องทันที พูดด้วยความโกรธ “คนแซ่สวี ถ้าท่านไม่ให้หนิงอี้กิน ข้าก็จะไม่กิน”
สวีจั้งยิ้มและบอกมิกล้าๆ เห็นสองคนพุ่งเข้ามาก็รีบหลีกทางให้ ทำเสียงจิ๊ๆ อย่างปลงๆ “จริงๆ เลย…พยัคฆ์ร้ายกระโจนใส่อาหาร”
“อร่อย!” หนิงอี้กินไก่ขอทานไปหนึ่งคำ ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา ก่อนฉีกน่องไก่ส่งให้เผยฝาน
เด็กสาวกัดไปคำหนึ่งอย่างระมัดระวัง ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “ว้าว…หอมจริงๆ”
สวีจั้งมองเด็กหนุ่มเด็กสาวไม่สงวนท่าทาง ล้อมโต๊ะเป็นพายุหมุนทำลายล้าง ก็รู้สึกแปลกไปอีกแบบ
เขาอดหัวเราะไม่ได้
เขาตัวคนเดียว ถือกระบี่ไปสุดหล้าฟ้าเขียว
ตอนนี้ข้างหลังมีเด็กยากจนจากเทือกเขาประจิมติดตาม ก็เหมือนจะไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้น
ในบางระดับ เด็กยากจนนั่นก็ไม่ยากจน…อย่างน้อยตนก็ยังต้องอาศัยให้เขาเลี้ยง
เมื่อนึกได้ดังนั้น สวีจั้งก็ถอนหายใจ
เขาพูดเสียงเบา “วันนั้นที่กองฟาง เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
หนิงอี้พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น “มารคลั่งสังหาร”
สวีจั้งเงียบ “ไม่ใช่แค่นั้น”
หนิงอี้ผงะไป
“เจ้าบอกว่าสวีจั้งเป็นอาจารย์ครึ่งหนึ่งของเจ้ารึ” สวีจั้งมองหนิงอี้พลางถามนิ่งๆ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นอาจารย์เจ้ารึ”
หนิงอี้หยุดท่าทางการฉีกเนื้อไก่ มองบุรุษในชุดคลุมดำที่ตอนนี้ใบหน้าไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าควรพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี
โจวโหยวจะรับเขาเป็นศิษย์ สวีจั้งขวางไว้
สวีจั้งบอกจะสอนวิชากระบี่ตกจากฟ้าให้ตน
สวีจั้งยังบอกจะสอนตนฆ่าคน
กองฟางวันนั้น นับเป็นการเริ่มต้นหรือไม่
หากไม่นับ…เช่นนั้นตนกับสวีจั้งข้องเกี่ยวอะไรกัน
หนิงอี้เคี้ยวเนื้อไก่ฉีกโดยไม่รู้ตัว ดื่มน้ำแกงเป็ดที่มีคราบมันลอยอยู่บนแกงอีกคำ กลืนดังอึก ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ท่านบอกจะสอนข้าฆ่าคน”
สวีจั้งพูด “ฆ่าคนเป็นเรื่องง่ายมาก เมื่อวานเจ้าก็ได้เรียนแล้ว”
“คนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งกลัวคนพาล และคนพาลกลัวคนไม่กลัวตาย” สวีจั้งมองหนิงอี้ “ฆ่าคนไม่ต้องกลัวตาย เจ้าดึงชีวิตออกไป เจ้าจะโหดเหี้ยมกว่าทุกคน เจ้าจะกำราบพวกเขาได้ จากนั้นก็ฆ่าพวกเขา”
หนิงอี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“เจ้าได้เรียนรู้แล้ว”
คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอี้ได้ยิน เขาไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าหมายถึงอะไร
ตอนไปรับจ้างที่ร้านช่างเหล็กในเมืองไร้มลทิน ช่างเหล็กบอกกับตนว่า…เจ้าเรียนทักษะการตีเหล็กแล้ว ไม่ต้องอยู่ที่ร้านข้าแล้ว
แต่หนิงอี้อยู่แค่หนึ่งวัน เขาควงค้อนเหล็กทำงานทั้งวัน ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักแต่การทำอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ตีเหล็กต้องใช้เวลาเรียนสิบปี
ฆ่าคนต้องใช้นานกว่านั้น
คำพูดของสวีจั้งเป็นเพียงการพูดขอไปที
เจ้าได้เรียนรู้แล้ว ไม่ต้องมาให้ข้าสอนแล้ว…คำพูดเช่นนี้ ความจริงแล้วเป็นการทำแบบขอไปที
หนิงอี้อยากพูดอะไรมากมาย สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ได้แต่มองสวีจั้งตาปริบๆ ในดวงตามีประกายแปลกๆ มัวหมองลง สุดท้ายพูดด้วยความขมขื่น “ท่านหมายความว่า…จะไล่ข้าไปรึ”
สวีจั้งขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหนิงอี้เท่าไร
เขามองว่านี่เป็นความหมายที่ชัดเจนมากแล้วไม่ใช่หรือ
บุรุษที่แบกพินิจเหมันต์นั่งลงบนเก้าอี้ มองเด็กหนุ่มแปลกๆ เว้นช่วงไปนานมากก่อนจะพูดขึ้น “แน่นอนว่า…ไม่ใช่”
หนิงอี้งุนงงเล็กน้อย
“การฆ่าคนแบ่งเป็นหลายแบบมาก” สวีจั้งมองหนิงอี้ ขมวดคิ้วขึ้น “คนฆ่าคนได้ กระบี่ก็ฆ่าคนได้ มดปลวกก็ฆ่าคนได้ สิงโตก็ฆ่าคนได้เช่นกัน สิ่งที่เจ้าเรียนรู้…เป็นเพียงผิวเผินที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด วิธีการสังหารของอันธพาลในเมืองโหดเหี้ยม ข้าสอนเจ้าฆ่าคน จะไปสอนวิธีการระดับต่ำเช่นนี้ให้เจ้าได้อย่างไร
นักวางแผนสังหารคน ใช้โลกหล้าเป็นกระดานหมาก อาวุธไม่เปื้อนเลือด แต่พื้นดินหมื่นลี้เลือดไหลนอง
นักกระบี่สังหารคน ในระยะสามฉื่อ ไม่ว่าจะสามัญชนหรือโอรสสวรรค์ล้วนถูกสังหาร
บุ่มบ่ามด้วยโทสะ เลือดกระจายห้าก้าว สังหารฟ้า สังหารดิน สังหารอำนาจจักรพรรดิ สังหารตนเอง
มดปลวกเยอะก็กัดช้างตายได้ อำนาจจักรพรรดิยังกลัวประชาชน…โลกนี้ยุติธรรม เป็นกับตายอยู่สุดปลายสองด้านของตาชั่ง และการกระทำที่เรียกว่า ‘สังหาร’ ไม่ใช่แค่น้ำหนักที่ส่งผลถึงความสมดุล แต่ยังเป็นการกระทำที่พลิกตาชั่งอย่างหนึ่ง”
“มีชีวิตรอดนั้นยาก แต่ตายง่ายมาก” สวีจั้งเอ่ยนิ่งๆ “ใช้กฎให้เกิดประโยชน์ มองข้ามกฎ นี่คือหลักการทั้งหมดของการ ‘สังหาร’”
หนิงอี้ได้ฟังคำพูดนี้แล้วทั้งตกใจทั้งมึนงง ปลงอนิจจังและเงียบ เหมือนเห็นประตูใหญ่ของโลกใหม่เปิดอ้าให้ตนช้าๆ…
ตนไม่เคยคิดเลยว่าการสังหารคนจะมีหลักการมากขนาดนี้
มิน่าสวีจั้งถึงบอกว่าตนแค่สังหารคนเป็น ทั้งยังสังหารเก่งมาก
“สังหารคนครั้งแรก เจ้าน่าจะลองนึกดูว่าผลงานเมื่อคืนวานมีอะไรที่ยังไม่ดีพอหรือไม่”
หนิงอี้เงียบไปครู่หนึ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองสวีจั้ง พูดอย่างจริงจัง “ข้าควรจะฆ่าหัวหน้าโจรก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่โดนฟัน หากพวกมันสู้สุดชีวิต ข้าบาดเจ็บ ยื้อต่อไป คนที่ตายต้องเป็นข้าแน่…ดังนั้นข้าควรจะแสดงความอ่อนแอ หลอกล่อพวกมันก่อน”
สวีจั้งเอ่ยด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “ต่อ”
หนิงอี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ “ข้าเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน…หากให้ลองใหม่อีกครั้ง ข้าจะใช้ขลุ่ยกระดูกฆ่าคนชิงดาบ สังหารหัวหน้าโจรนั่นเป็นคนแรก ก็น่าจะสู้ต่อไปได้”
สวีจั้งเอ่ย “ให้ลึกลงอีกหน่อย นึกถึงเหตุผลโดยเนื้อแท้ เจ้ายังขาดไปอีกนิดเดียว”
หนิงอี้กัดฟัน ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะแก้ไขอย่างไร
“ผู้บำเพ็ญมีระดับ สามขอบเขตแรกสู้สามขอบเขตกลางไม่ได้ สามขอบเขตกลางสู้สามขอบเขตหลังไม่ได้ คนที่ทะลวงสิบขอบเขตกำราบทุกอย่างที่ต่ำกว่าได้ วิธีการสังหารและอาวุธทำได้แค่เติมเต็มความต่างในส่วนน้อยมากเท่านั้น…ที่เจ้าคิดวิธีแก้ปัญหาไม่ออก เหตุผลโดยเนื้อแท้เป็นเพราะเจ้าอ่อนแอเกินไป”
น้ำเสียงของสวีจั้งมีความขบขันนิดๆ พูดเย้าหยอก “หากข้าไม่มีพลังบำเพ็ญ แล้วปล่อยข้าไปแทนเจ้า ข้าก็คงได้แต่ทำเช่นนี้เหมือนกัน”
หนิงอี้เงียบ
เผยฝานพลันทำเสียงอุบอิบ “เช่นนั้นเหตุใดเมื่อวานท่านถึงบอกว่าหากหนิงอี้เหมือนท่านตอนอายุสิบหก คงจะฆ่าพวกมันไปหมดแล้วล่ะ”
สวีจั้งยิ้ม “ข้าเรียนกระบี่กับบิดาเจ้าตั้งแต่หกขวบ แปดขวบก็เริ่มฆ่าคน แม้จะยังไม่เริ่มฝึกบำเพ็ญ แต่ตอนข้าสิบขวบก็บุกรังโจรได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว”
เผยฝานมองค้อน เอาสองมือยกชามกระเบื้องขึ้นดื่มน้ำแกงเป็ดดังอึกๆ ต่อเงียบๆ
“หนิงอี้…ข้าสอนเจ้าฆ่าคน เพราะข้าคิดว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานนักแล้ว หากไม่ฝากอะไรไว้ให้ ก็คงจะน่าเสียดายจริงๆ” สวีจั้งพลันเอ่ยเสียงเบา “จำไว้ เจ้ากับข้าไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กัน”
หนิงอี้ใจสั่นไหว ริมฝีปากเปิดขึ้น จะพูดแต่ก็เงียบไป
เขาคิดเย้ยเยาะตนเอง ดูท่าสวีจั้งคงไม่อยากเกี่ยวพันกับตน
วินาทีต่อมา บุรุษผู้แบกพินิจเหมันต์พลันวางกระบี่ยาวลงไว้บนตัก ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่เจ้ายินดีเข้าเขาสู่ซานข้าหรือไม่”
เด็กหนุ่มอึ้งงัน เวลานี้ ไม่เข้าใจความหมายของสวีจั้ง
“ในหนึ่งเดือน ข้ารับรองว่าเจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตแรก”
สวีจั้งใช้สองมือกดปลายสองด้านพินิจเหมันต์ ก่อนเอ่ยราบเรียบ “วิชาม่วงเร้นของสำนักเต๋าเหมาะกับการฝึกสามขอบเขตแรก ไม่ว่าเจ้าจะเลือกอย่างไร ข้าจะมอบวิชาหลังจากนี้ให้เจ้า เข้าเขาสู่ซานข้า เขาสู่ซานจะไม่ให้อะไรเจ้า แต่ข้าสวีจั้งจะมองเจ้าเป็นญาติพี่น้องคนสำคัญ…เจ้าหรุยตายแล้ว ข้าจะถ่ายทอดแทนเขาทั้งหมด หากวันหนึ่งข้าตาย เช่นนั้นพินิจเหมันต์นี้จะเป็นของเจ้า”
พูดถึงช่วงท้ายสุด คำพูดบุรุษเบามาก
หนิงอี้ชะงักงัน
สวีจั้งไม่ยินดีรับตนเป็นศิษย์
แต่จะถ่ายทอดทุกอย่างแทนเจ้าหรุย…
เจ้าหรุย…เจ้าหรุยรึ
บุรุษกดสองมือบนผ้าดำ ตรงกลางฝ่ามือมีเหงื่ออุ่นๆ ซึมออกมา พูดจบเขาก็มีสีหน้าจริงจัง จ้องหนิงอี้พลางถามอย่างจริงจัง “เจ้ายินดีหรือไม่”
หนิงอี้มองบุรุษตรงหน้า อยากบอกว่าแน่นอน แต่ก็พบว่าตนกลับพูดไม่ออก
เขาหันหน้าไปมองเผยฝาน เห็นเด็กนี่พยักหน้าให้ตนหงึกๆ
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ขานรับเสียงหนักแน่น
สวีจั้งยิ้มก่อนจะยกแขนขึ้น ลากผ่านตะเกียงไฟช้าๆ สองนิ้วมือคีบเปลวเพลิงสายหนึ่ง แสงไฟกะพริบ เปลวเพลิงตรงไส้ตะเกียงลุกโชนตรงหน้าหนิงอี้
หน้าผนังยามโพล้เพล้ เงาคนวูบไหว
มีคนคีบไฟยืนขึ้น สองนิ้วมือกดที่หน้าผากเด็กหนุ่ม เปลวเพลิงมอดดับ เสร็จสิ้นพิธีรับศิษย์ของเขาสู่ซาน
เปลวเพลิงถ่ายทอดสู่กัน ยุคสมัยผลัดเปลี่ยน
สวีจั้งยิ้ม พึมพำเสียงเบา “เจ้าหรุย…ข้ารับศิษย์ดีแทนท่านแล้ว”
………………………