เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 2 ส่งเจ้า ไปไกลโพ้น
ตอนที่ 2 ส่งเจ้า ไปไกลโพ้น
“เอ่อ ปวดหัว…”
ตอนที่หนิงอี้ลืมตาขึ้น สายตาพร่ามัว ตรงหน้าเป็นหมอกควันอบอวล เขาคว้าไปรอบๆ ตามจิตใต้สำนึก คว้าเจอเครื่องนอนด้านหนึ่ง
นี่มัน…บ้านหรือ
เขากดหน้าผากแรงๆ รู้สึกเจ็บปวดแขนขา แก้มซ้ายขวาเจ็บแสบไปหมด
ไร้เรี่ยวแรง หลับตาลงอีกครั้ง พยายามนึกว่าเมื่อคืนวานเกิดอะไรขึ้น
เมืองไร้มลทิน
สุสานใต้ดิน
สิงโตหยก…สร้อยหยกเลือด
ไข่มุกตะวันคร้าน
ไข่มุกตะวันคร้านหรือ
หนิงอี้ที่นึกขึ้นได้พลันได้สติกลับมา ลุกขึ้นพรวด
เสียงแหบแห้งเกียจคร้านดังเข้าหู
“หนิงอี้…ตื่นแล้วรึ”
เด็กสาวที่ดู ‘ง่วงงุน’ คลานขึ้นมาจากทางซ้ายของหนิงอี้ นางหาววอด ขยี้ดวงตาเหลือบดำ พูดพึมพำ “พี่…ข้าหิวแล้ว”
ฟ้าสาง
เทือกเขาประจิมมีอารามมากมาย ส่วนมากอยู่นอกเขตรกร้าง โดยเฉพาะเขตเมืองไร้มลทิน ที่นี่เล่าลือว่าใต้ดินเคยเกิดการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ พุทธใช้เพื่อกำราบกรรมสังหารจึงสร้างอารามพุทธไว้มากมาย ผ่านมาเนิ่นนาน ส่วนใหญ่จึงทรุดโทรม
ในเทือกเขาประจิมเป็นแดนต้องห้ามที่เล่าขานกันมาอย่างแพร่หลาย หนึ่งในนั้นคืออารามโพธิ์แห่งเมืองไร้มลทิน
ไม่มีใครเข้าอารามได้
หนิงอี้อยู่ในอารามมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนที่จำความได้ เขาก็อยู่ในอารามนอกเขตเทือกเขาประจิม เข้าไปอยู่ในอารามคนเดียวย่อมไม่กลัว ผ่านอะไรในทางโลกอันยากลำบากนี้มาเยอะแล้ว ถึงได้รู้ว่ามีเรื่องเพ้อฝันอย่างภูตผีปีศาจ หากมีอยู่จริงๆ ก็เกรงว่าจะเป็นมิตรยิ่งกว่าจิตใจคน
อย่างน้อยตอนที่หนิงอี้อยู่ในอารามคนเดียวก็ไม่เคยเจอปัญหาอะไร
หลังเก็บเด็กน้อยมาได้ จะทำอะไรก็ต้องระวังเพื่อความปลอดภัย หนิงอี้เดินทางในคืนพายุหิมะอยู่สิบกว่าวัน แบกนางมายังอารามทรุดโทรมแห่งนี้ในเมืองวารีวิสุทธิ์ ถึงได้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุข
อยู่อย่างสงบมาสิบปี
อารามทรุดโทรมไม่ใหญ่ โถงกลางตั้งรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมเก่าแก่ไว้ ข้างหลังลานอารามปัดๆ หน่อยก็จะยกเตียง โต๊ะเก่าและเชิงเทียนออกมาได้
หนิงอี้นั่งยองเติมไฟใต้เชิงเทียน ตัดกิ่งไม้มา
เขาดมกลิ่นเบาๆ ควันลอยมาจากโถงกลางไปจนถึงลานด้านหลังไม่ขาดสาย
ธูปในแท่นบูชาหมดไปนานแล้ว เหลือเพียงธูปดอกเดียวที่ทำใจใช้ไม่ได้มาตลอด
“เผยฝาน ธูปดอกสุดท้ายแล้ว อีกสองวันตอนส่งเจ้ากลับบ้าน ช่วยขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองที นี่เจ้าใช้เปลืองขนาดนี้เลยรึ” หนิงอี้เติมฟืนใต้เชิงเทียนเรื่อยๆ พลางถอนหายใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไร้มลทินเมื่อคืนวาน พอจะนึกขึ้นมาได้บ้างแล้ว
หลังจากตนหมดสติไป ดีที่ยัยเด็กนี่ฉลาด เห็นสถานการณ์ผิดปกติเลยลากตนกลับมา
ไข่มุกตะวันคร้านนั่นคงจะหายไปแล้ว สร้อยหยกเลือดยังอยู่ แต่ไม่มีค่าเท่าไข่มุกตะวันคร้าน ดีเลวอย่างไรก็ขายมาแลกค่าเดินทางได้ ถึงตอนนั้นระหว่างทางไปเมืองหลวงก็คงไม่ถึงกับหิวตาย
ส่วนภาพนั้นในความคิดสุดท้าย หนิงอี้มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
พอนึกดูดีๆ กลั่นกรองความคิดทั้งหมด ตั้งแต่เข้าสุสานจนหมดสติก็นึกได้ในทุกรายละเอียด
หนิงอี้คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงเจ็บแก้มซ้ายขวา เหมือนถูกพัดเหล็กตบหลายสิบที
หรือนอกเมืองไร้มลทินจะมีสิ่งอัปมงคลอยู่จริงๆ
หนิงอี้ตกใจจนสวดขอพระโพธิสัตว์คุ้มภัยอยู่ในใจหลายรอบ
“หนิงอี้…เมื่อคืนวานพี่น่าตกใจมากเลยนะ หน้าซีด เป็นลมไม่ได้สติ ตบซ้ายขวาหลายสิบทียังไม่รู้ตัวเลย”
เด็กสาวที่ยกชามใหญ่พลางกินบะหมี่คำใหญ่ ท่าทางดูไม่ได้เลย เบิกตาโต ในปากยังเคี้ยวบะหมี่พลางพูดอุบอิบ “ถ้าพี่ตาย ใครจะทำกับข้าวให้ข้ากินล่ะ”
หนิงอี้เบิกตาโต ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมถึงแสบหน้านัก
เขายกชามบะหมี่ขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ รีบกินไปสองคำแล้วพูดอู้อี้ “รีบกิน กินแล้วไปเก็บของกัน อีกสองวันจะออกเดินทาง อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว เราจะขายสร้อยแลกค่าเดินทาง ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้าน”
เผยฝานพลันเงียบไป
หนิงอี้กินบะหมี่ต่อ
บรรยากาศเงียบลง
หนิงอี้เงยหน้ามองเด็กสาวทีหนึ่ง เห็นนางวางชามลงเงียบๆ นั่งยองบนเตียง กอดเข่ามองตน ก่อนจะก้มหน้ากินบะหมี่
หนิงอี้ที่กินบะหมี่ไปได้ครึ่งหนึ่งพลันเงยหน้ามองเผยฝานอีกครั้ง
เขาชี้ไปที่ชามแล้วเอ่ยขึ้น “ไหนว่าหิวไม่ใช่รึ…ยังเหลืออีกครึ่งชาม เจ้าไม่กินแล้วหรือ”
เผยฝานพูดเสียงแหบแห้ง “หนิงอี้ เหตุใดจู่ๆ พี่ถึงใจดีเช่นนี้”
หนิงอี้พูดไม่ออก
เด็กสาวนำป้ายคำสั่งโบราณนั้นออกมาจากตรงเอว บนป้ายคำสั่งแกะสลักกลีบดอกไม้แตกหัก นางพูดพลางแสบจมูก “ตั้งแต่เทือกเขาประจิมไปถึงเมืองหลวง ระยะทางไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ตอนนี้กว่าพี่จะได้สร้อยมาก็ไม่ง่าย ขายไปแล้วจากนี้เราก็จะได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ซื้อบ้านเล็กๆ ในเมืองไร้มลทิน ไม่ต้องขโมยอีก…พี่ขายมันเป็นค่าเดินทาง ไม่กลัวส่งข้าถึงเมืองหลวงแล้วตอนนั้นถึงพบว่าป้ายคำสั่งนี่เป็นของปลอม ตัวตนข้าเป็นของปลอมหรอกหรือ ไม่มี ‘อาสวี’ อันดับสามแห่งต้าสุยอะไรมาหาข้าที่เทือกเขาประจิม เขาลั่วเจียก็ยิ่งไม่เคยมีศิษย์อย่างข้า…ถึงตอนนั้น…พี่จะทิ้งข้าหรือไม่”
หนิงอี้ก้มหน้ากินบะหมี่ต่อ
เด็กหนุ่มไม่ตอบ
ไฟในเชิงเทียนลุกโชติช่วง สะเก็ดไฟคุกรุ่น
หนิงอี้เก็บเผยฝานได้เมื่อสิบปีก่อน
เขาจำวันนั้นที่เกิดพายุหิมะในเทือกเขาประจิมได้ดี
ชายวัยกลางคนอาภรณ์ขาดวิ่นมาถึงอารามทรุดโทรม อุ้มเด็กหญิงที่หลับใหลอยู่คนหนึ่ง บุรุษคนนั้นอาบเลือดไปทั้งตัว วางเด็กหญิงลงบนแท่นบูชา ฝากป้ายคำสั่งโบราณนี้ไว้
หนิงอี้ไม่เข้าใจการฝึกบำเพ็ญ และไม่รู้ว่าฟ้าสูงเท่าไร ดินหนาเพียงใด แต่เขารู้ว่าบุรุษคนนี้แกร่งกว่า ‘ผู้บำเพ็ญสูงส่ง’ พวกนั้นที่เขาเจอมาในเมืองวารีวิสุทธ์
วันนั้นนอกอารามถูกปิดล้อมอย่างหนาแน่น
ขณะเดียวกับที่ชายวัยกลางคนนั้นก้าวออกจากประตูอารามโพธิ์ก็ชูแขนสองข้างขึ้น ปราณกระบี่แหวกออก รูปปั้นในอารามถล่มลง พายุหิมะนอกอารามโหมกระหน่ำ เป็นเม็ดๆ จนเห็นชัด สั่นสะเทือนจนยืนไม่อยู่
กระบี่เผยคม จิตสังหารในแขนเสื้อไม่ซ่อนเร้นอีก
เสียงการเข่นฆ่าดังสนั่นหนึ่งวันหนึ่งคืน
กระทั่งเมื่อเสียงเบาลงจนเงียบสงัด หนิงอี้ออกมาตรวจดู พบว่าในระยะสิบลี้ หิมะละลาย ศพเกลื่อนไปหมด มีนักบวชและคนในอาภรณ์ขาวดำ เลือดแห้งกร้าน สิ้นชีพไปนานแล้ว
วัชพืชรกร้างโค้งงอ ชีวิตสิ้นลงทั้งหมด
ไม่ว่าอย่างไร อยู่ต่อไปก็มีแต่จะเกิดปัญหา หนิงอี้จึงแบกเด็กหญิงที่หลับใหลอยู่หนีไปตลอดทาง เดินทางสิบวัน ออกจากที่นี่ไปไกล
เขาคาดเดาในใจว่าบุรุษที่อาบเลือดทั้งตัวนั้นเป็น ‘อาสวี’ อันดับสามแห่งต้าสุยที่เผยฝานมักจะพูดถึง แต่สถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้…หากคนแซ่สวีนั่นรอดไปได้ เหตุใดถึงไปแล้วไม่กลับมา
มีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดีแล้ว
หนิงอี้จำได้ว่าตอนที่เพิ่งมาถึงอารามแห่งนี้ เด็กหญิงที่ป่วยหนักเชื่อฟังมาก รอเงียบๆ ไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย
ตอนนั้นเผยฝานยังไม่ใช่เผยฝาน ทุกวันจะเงียบจนเหมือนตุ๊กตาไม้ ใบหน้าซีดขาว เหม่อมองนอกอาราม ไม่พูดสักคำ ข้าวสักเม็ดก็ไม่กิน
ไม่รู้เลยว่าคนนั้นที่ตนรอไม่กลับมาอีกแล้ว
หลังหิวอยู่สามวัน เด็กหญิงก็รับอาหารจากหนิงอี้ พอกินอย่างมูมมามจนหมดแล้ว สิ่งแรกที่นางถามหนิงอี้คือ
‘ขอพรกับพระโพธิสัตว์ได้ผลจริงหรือ’
‘ได้ผล…ศักดิ์สิทธิ์มาก’ หนิงอี้ในวัยเยาว์เช่นกันทำใจแข็งไม่ลง พูดปลอบเสียงเบา ‘เชื่อข้า’
ผ่านไปพักหนึ่ง เด็กหญิงคุกเข่าหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ สองมือประกบธูปขึ้นอย่างยากลำบาก ครึ่งตัวบนเหยียดตรง ร่างผอมแห้งโซเซจะล้ม กัดริมฝีปากจนเลือดไหล แต่แววตายังคงใสสะอาด พูดเสียงสั่นๆ ‘พระโพธิสัตว์ ข้ารู้ว่าท่านพ่อท่านแม่ข้า แล้วก็อาสวี พวกเขายังมีชีวิตอยู่…พวกเขาแค่กำลังยุ่งเลยฝากข้าไว้ที่นี่ สักวัน พวกเขาจะมารับข้าใช่หรือไม่’
ในอารามมีคนเหลือธูปไว้ ตอนนั้นต่างถูกหนิงอี้จุดจนหมด
ควันธูปลอยโชยหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ ไร้สุ้มเสียง
เด็กหญิงเหมือนคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นทั้งคืนก่อนจะหลับไปอีกนานมาก
หนิงอี้ได้ยินเสียงพึมพำทั้งคืน
ตอนนั้นหนิงอี้ไม่มีครอบครัว
ตอนนั้นเขาคิดว่าหากตนมีครอบครัว เช่นนั้นจะต้องรักษาไว้อย่างดี
ตอนนี้เขามีแล้ว
หนิงอี้วางตะเกียบลง หยิบผ้าที่ซักจนขาวสะอาดขึ้นมา เช็ดมุมปากให้เผยฝานอย่างเบามือ พูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ ต้องยิ้มสิ ต้องมีความสุข เดี๋ยวจะไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ตอนส่งเจ้ากลับเมืองหลวง จะได้ไม่มีใครหัวเราะพวกเรา”
“อย่าโทษที่พ่อแม่เจ้าไม่มารับเจ้าเลย…ลำบากในเทือกเขาประจิมมาตั้งสิบปี หากจากนี้มีใครในเมืองหลวงไม่ดีกับเจ้า เช่นนั้นข้า เช่นนั้นข้า…ข้าก็จะรับเจ้ากลับมา ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ ให้เจ้า ทำบะหมี่ให้เจ้ากินทุกวัน จะไม่ให้เจ้าหิวอีก”
เผยฝานสูดน้ำมูกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม พูดเหมือนจุกในลำคอ “ข้าไม่อยากกินบะหมี่แล้ว”
หนิงอี้ยิ้มเช่นกัน
ทั้งสองคนเอาหน้าผากชนกัน เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา “ข้าจะส่งเจ้ากลับไปพันลี้ หมื่นลี้ ไกลกว่านี้ก็ยังได้…เจ้าไม่ต้องกังวล”
แสงตะวันส่องเข้ามาในอารามทรุดโทรม เผยฝานในอายุสิบสี่ปียิ้มอย่างมีความสุขเป็นครั้งแรก
นางขานรับอย่างหนักแน่น
……………………