เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 20 กระบี่ฟาด
ตอนที่ 20 กระบี่ฟาด
ร่มกระดาษสีเหลืองที่พิงข้างกำแพง ตั้งอยู่ตรงมุม ถูกคนถือขึ้นมา
สวีจั้งถือร่มกระดาษสีเหลือง ผลักประตูห้อง เอียงตัว ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่กำลังสวมเสื้อคลุมใหญ่ในห้องทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “ข้างนอกฝนตกหนักมาก เจ้าหนู…มั่นใจนะว่าจะออกไปด้วยกัน”
เผยฝานที่สวมเสื้อคลุมใหญ่สีดำดูเก้ๆ กังๆ ขานรับหนักแน่น มองสวีจั้งพลางพูดด้วยความคับแค้นใจ “ข้าเป็นห่วงกลัวว่าหนิงอี้จะบาดเจ็บหนัก”
สวีจั้งยิ้ม “แค่ฆ่าโจรธรรมดาสองสามคนเอง ไม่มีอันตรายอะไร มิหนำซ้ำเขายังเป็นศิษย์เขาสู่ซานข้า ข้าไม่ปล่อยเขาหรอก”
หนิงอี้สวมอาภรณ์เรียบร้อย ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็พูดไม่ออกนิดๆ…ที่แท้ครั้งก่อนก็ไม่ได้เข้าเขาสู่ซาน ถึงได้ถูกดาบฟันมากขนาดนั้น
ตรงเอวที่ถูกดาบฟันไม่ได้เจ็บมากเท่าไร บางจุดแค่คันเบาๆ เหมือนไฟลวก แต่ที่มากกว่านั้นคือรู้สึกแปลกๆ ถึงการตึงของกล้ามเนื้อ รู้สึกได้ชัดเจนว่าตึงจนพันรอบผิวหนัง ทั้งตัวเหมือนเหล็กกล้านิ่มและเหนียว หนิงอี้ไม่เคยรู้สึกว่าตนจะปราดเปรียวเช่นนี้มาก่อน…สวีจั้งอาจจะพูดถูก การเสี่ยงอันตรายคือทางลัดในการปลุกศักยภาพแฝง
“เจ้าเด็กนี่…ข้าคิดว่าเจ้าอยากจะเรียนสังหารคนตามหลังข้าเสียอีก” สวีจั้งมองเผยฝานพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะลองดูหรือไม่ ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่บาดเจ็บ”
หนิงอี้มองเด็กสาวชุดคลุมดำที่กำลังยันกำแพงเขย่งเท้าเข้าไปในรองเท้าข้างกายตน นางไม่เงยหน้าขึ้น แค่เอ่ยอย่างเด็ดขาด
“ไม่”
เผยฝานบ่นอุบอิบ “ท่านพ่อข้าต้องไม่อยากให้ข้าสังหารคนตามหลังท่านแน่”
สวีจั้งขบคิดก่อนจะยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ก็ถูก”
เด็กสาวถือร่มอีกคันตรงมุมกำแพง เป็นร่มสีดำขนาดใหญ่และหนัก
สวีจั้งซื้อร่มมาสามคันจากข้างนอก
คนในชุดคลุมดำตัวใหญ่สามคนเดินออกจากโรงเตี๊ยม ย่ำไปบนถนนดินเลน รองเท้าเด็กสาวเหยียบน้ำฝน ต้านลมแรงด้วยความเหนื่อยนิดๆ ดันร่มดำใหญ่นั้นตามสองคนข้างหน้าไปช้าๆ
หนิงอี้มองร่มเหนือศีรษะตน สายฝนเล็กมากมายตกจากฟ้า ยิ่งใกล้ยิ่งหนัก กระแทกใส่ตัวร่มดังเปาะแปะและกระเซ็นออก ฝนตกหนักมาก ดังนั้นน้ำฝนที่ตกลงมาจึงทั้งหนักและแรง
หนิงอี้รู้สึกหนักบ่านิดๆ เขาถามด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโส…เหตุใดร่มข้าถึงไม่เหมือนพวกท่านล่ะ”
สวีจั้งมองหนิงอี้ในชุดคลุมดำใหญ่ ถือร่มที่โปร่งใสและวิจิตรนั้น เพียงแต่ด้ามร่มเป็นสีดำสนิท อย่างอื่นบางราวกับปีกจักจั่น คนถือร่มมือมั่นคงมาก แต่ร่มนั้นกลับสั่นไหวโคลงเคลงไปมาในพายุฝน
“ข้าจ่ายเงินซื้อไปเยอะมากนะ” สวีจั้งพูด “หรือเจ้าไม่คิดว่า ‘สิ่งนี้’ ดูดีรึ”
หนิงอี้เงียบไปชั่วครู่ “ก่อนอื่น…เงินที่ท่านใช้เป็นเงินของข้า สอง…‘สิ่งนี้’ ดูดีรึ”
หนิงอี้พลันสังเกตเห็นความต่างในคำพูด เขาหุบร่ม เดินตากฝน นำของเรียวยาวในมือมาพิจารณาอย่างละเอียด หลังหุบร่มก็แทบจะเห็นแต่ด้ามร่มดำสนิทนั้น
ปีกจักจั่นหุบลง เหลือเพียงโครงตรง
นี่ไม่ใช่ร่ม
นี่มัน…กระบี่
สามคนเดินบนถนน ผ่านตรอกเล็ก ตอนที่ใกล้จะเดินออกมา หนิงอี้เงยหน้าขึ้น แสงไฟยามโพล้เพล้สว่างขึ้นจากในตรอก บุรุษจุดพับไฟขึ้น แสงสว่างลอดมาจากซอกชุดคลุมดำ
สวีจั้งพลันหมุนตัวกลับ ยืนตรงพื้นที่กว้างนอกตรอก
เขามองหนิงอี้ “วิชากระบี่ที่อหังการที่สุดแห่งเขาสู่ซาน อยากเรียนหรือไม่”
หนิงอี้กลั้นหายใจ
“ข้าจะสอนเจ้าเดี๋ยวนี้” บุรุษยิ้ม “อีกเดี๋ยวก็จะใช้ได้แล้ว…นี่คือวิชากระบี่ตกจากฟ้าที่มีอานุภาพสูงมากอย่างหนึ่ง”
กลางฝนตกหนัก บุรุษโยนแสงไฟนั้นออกไป
จากนั้นชูร่มกระดาษเหลืองนั้นขึ้น
ทันทีที่หุบร่ม ทั้งร่มยาวเกิดเสียงดัง ‘ซวบ’ ถูกเขาง้างด้วยมือเดียวและฟาดใส่แสงไฟกลุ่มนั้น
บึ้ม
ไม่เหมือนร่มกระดาษน้ำมันเบาหวิวฟาดใส่ประกายไฟเลย
เหมือนการชนกันของดาราสองดวง เหมือนช้างยักษ์พุ่งชนกำแพง จากนั้นชนกำแพงแตกเป็นเสี่ยงๆ
ร่มกระดาษนั้นไม่ได้ตัดแสงไฟนั้นขาดได้สบาย แต่ทำลายมันสลายไป
‘ฟู่’ ควันพวยพุ่งท่ามกลางฝนตกหนัก
ควันขาวและอุณหภูมิสูงปรับสภาพอย่างรวดเร็วภายใต้การกระทบของฝน
เงียบสงบ
หนิงอี้กับเผยฝานที่ยืนตรงปากตรอกมองภาพนี้นิ่งๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
กระบี่นี้ของสวีจั้งไม่ได้ใช้แสงดาราหรือพลังใดๆ เลย
ส่วนแรงกาย…ดูเหมือนใช้แรงไปยี่สิบส่วน แต่ท่าทางการฟาดร่มนั้นดูสบายมาก
เผยฝานเลิกคิ้วขึ้น ชั่งน้ำหนักร่มสีดำในมือตนก่อนถามด้วยความแปลกใจ “นี่เรียกว่าอะไร”
สวีจั้งไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ
“ทุกคนล้วนอยากไปหลังเขาสู่ซาน เพราะหลังเขาสู่ซานเล่าลือว่ามีวิชากระบี่ที่อหังการที่สุดในโลกหล้า” สวีจั้งยิ้ม “แต่ปีนั้นคนที่เข้าไปถึงหลังภูเขามีเพียงข้า คนที่ได้เรียนตลอดสิบปีมานี้ก็มีเพียงข้า”
เขาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง พูดสบายๆ “หลังภูเขามีเพียงกระบี่เดียว…กระบี่ฟาด”
หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อน
เขาไม่ค่อยเข้าใจกระบี่นี้ พูดให้ถูกคือไม่เข้าใจร่มนี้…อาจจะเป็นเพราะพลังบำเพ็ญตนต่ำเกินไป ไม่เข้าใจความลี้ลับในนั้น แต่เขาก็เอียงไปทางว่ากระบี่นี้ไม่มีทักษะใดๆ เพียงแค่ฟาดจากบนลงล่างธรรมดาเท่านั้น
ตกจากฟ้า…
อานุภาพมหาศาล…
นี่เป็นกระบี่ที่ไม่มีเหตุผล
“สารภาพตามตรง ความจริงข้าไม่ค่อยเข้าใจความลี้ลับของกระบี่นี้เท่าไร สิ่งที่พวกเจ้าเห็นคนละเรื่องกับที่ข้าเห็นหลังภูเขา…แม้แต่จิตวิญญาณทักษะกระบี่หนึ่งส่วนสิบ ข้ายังแสดงออกมาไม่ได้เลย”
อัจฉริยะวิถีกระบี่สวีจั้ง ถอนหายใจให้กับทักษะกระบี่ที่ตระหนักรู้ไม่ถึงแก่นแท้ในชีวิตเป็นครั้งแรก “หลังภูเขาเป็นแดนประหลาด…มีผนึกหลายชั้น วงสีทองหนึ่งวง วาดพื้นเป็นกรงขัง แทงจะไม่มีใครฝ่าเข้าไปได้ เจ้าหรุยไปหลังภูเขาครั้งหนึ่ง ทะลวงขอบเขตพลังใหญ่ หลังกลับมาก็กลายเป็นคนละคน เหมือนตระหนักความลี้ลับระหว่างความเป็นตาย จากนั้นก็วางมือจากโลกมนุษย์”
“ข้าโชคดีได้เข้าไปหลังภูเขาครั้งหนึ่ง ได้เห็นกระบี่นี้”
สวีจั้งมองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโสลึกลับท่านนั้นหลังภูเขาได้ฝากภาพเงาเลือนรางไว้ ข้าเห็นวิชากระบี่นี้…ไม่ได้ใช้กระบี่ แต่ภาพนั้นที่ทรงพลังไม่อาจต้านทานได้ฝังลึกลงในภาพจำ ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่สุดยอดอย่างแท้จริง พลังบำเพ็ญลึกล้ำคาดเดาไม่ได้ หญ้าหนึ่งต้น ร่มหนึ่งคัน ล้วนเป็นกระบี่ได้ แค่ฟาดลงเช่นนี้ก็ไม่มีใครต้านได้”
หนิงอี้เกาศีรษะ “วิชานี้…เรียกว่ากระบี่ฟาดรึ”
สวีจั้งตอบอย่างจริงจัง “เรียกว่ากระบี่ฟาด”
หนิงอี้เดินออกจากตรอก เขามองกระบี่ร่มในมือพลางออกแรงชูขึ้นและฟาดลง
“ไม่เลว” สวีจั้งยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ”
หนิงอี้เก้อเขินเล็กๆ
“การต่อสู้จริงคือวิธีการฝึกที่รวดเร็วที่สุด…เทียบกับให้เจ้าฝึกพันครั้งกับเสาไม้อย่างไร้ความกังวลแล้ว ข้าอยากให้เจ้าใช้วิชานี้ฆ่าคนเลยมากกว่า หากฆ่าไม่ได้ก็จะถูกฆ่า”
สวีจั้งถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
หนิงอี้ตอบอย่างจริงจัง “ข้าฝึกหมื่นครั้งกับเสาไม้ด้วยความกังวลมากได้…อย่าให้ข้าถูกฆ่าได้หรือไม่”
สวีจั้งส่ายหน้า “วิชากระบี่ที่ฝึกกับเสาไม้ใช้ได้แค่ตัดต้นไม้ หากเจ้าอยากเรียนวิชากระบี่ไว้ฆ่าคนก็ควรเอาไปฆ่าคน”
หนิงอี้เงียบ
“กลุ่มหิรัญ เป็นกลุ่มโจรที่เขาสู่ซานคิดจะปราบปรามมาตลอด” สวีจั้งมองหนิงอี้ “ฆ่าคนวางเพลิง ทำการอย่างไม่เกรงกลัว ฟันเจ้าไปหลายดาบ จอมยุทธ์หนิงผู้เข้าร่วมเขาสู่ซานแล้ว หรือจะทนเห็นชาวบ้านเป็นทุกข์เช่นนี้กัน”
หนิงอี้ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ ก่อนพูดด้วยความถูกต้องชอบธรรม “ข้ามีแค้นต้องชำระ”
“ดี ข้าชื่นชมเจ้า” สวีจั้งตบบ่าหนิงอี้ ก่อนจะรับกระบี่ร่มมาจากมือเขา สะบัดน้ำบนกระบี่ “กระบี่เล่มนี้ข้าใช้…ใช้เงินเจ้าไปไม่น้อย รักษาไว้ให้ดี รู้ว่าใช้อย่างไรหรือไม่ จับด้ามร่มไว้ พลิกโครงร่มก็คือคมกระบี่”
หนิงอี้พยักหน้า
……
สามคนทะยานออกจากเมืองกลางฝนตกหนัก
“ก่อนเที่ยงคืน สิบแปดลี้ทางใต้ของเมืองจะมีโจรม้าของกลุ่มหิรัญสี่คนผ่านมา” สวีจั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สี่คน ม้าสี่ตัว ตั้งแต่ประจันหน้าจนจบงาน เจ้ามีเวลาเพียงครึ่งก้านธูป ฆ่าพวกมันให้หมด”
หนิงอี้ฟังจบก็พยักหน้า พลันถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดท่านถึงรู้ข่าวนี้ล่ะ แล้วก็…เหตุใดท่านถึงซื้อกระบี่ร่มเช่นนี้ด้วย”
สวีจั้งยิ้ม “หนิงอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจักรพรรดิต้าสุยถึงมีชีวิตรอดมาได้นานขนาดนี้”
หนิงอี้รู้ว่าจักรพรรดิต้าสุยองค์นี้อยู่มาหกร้อยปีแล้ว นอกจากพลังบำเพ็ญสูงส่ง…เขาก็นึกถึงเหตุผลอื่นไม่ออก
เขาส่ายหน้า
“เพราะจักรพรรดิไท่จงไม่เคยถามว่าเพราะเหตุใด โดยเฉพาะตอนที่เยาว์วัยยังไม่เติบใหญ่”
หนิงอี้หน้าแดงด้วยความอาย
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างจริงจัง “อย่าสงสัยในเรื่องที่ไม่ควรสงสัย…รอเจ้ายืนอยู่สูงพอ เจ้าจะพบว่าเรื่องราวมากมายไม่ใช่ความลับอีกต่อไป”
หนิงอี้จดจำไว้เงียบๆ
“เดินทางในโลกหล้า ข่าวกรองสำคัญมาก” สวีจั้งก้มหน้าหลุบตาลง “ฆ่าคนหนึ่งหรือถูกคนฆ่า บางครั้งก็เพราะการส่งข่าวกรอง บทสรุปจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง”
ไม่นานก็มาถึงสิบแปดลี้ทางใต้ของเมือง
หนิงอี้ถือกระบี่ร่มยืนกลางถนน รอก่อนเที่ยงคืนมาถึง
ฝนตกหนัก
เด็กหนุ่มที่หุบร่มยืนอยู่ หลับตาลง ปรับลมหายใจช้าๆ
ข้างหูเสียงฝนเบาลงเรื่อยๆ เสียงเท้าม้าดังขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนเที่ยงคืนจะมาถึง ทางหลวงสิบแปดลี้ทางใต้ของเมือง มีเสียงฝีเท้าม้ามาถึงแล้ว
หนิงอี้พลันลืมตาขึ้น
เขาสังเกตเห็นกลิ่นอายสังหารเข้มข้น
……………
บนเขาที่ห่างไปช่วงหนึ่ง สวีจั้งยืนบนเขาเหมือนก่อนหน้านี้ มองเด็กหนุ่มตั้งร่มยืนตรง ทันทีที่ลืมตาก็แผ่พลังที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เผยฝานขมวดคิ้วมองข้างถนนหลวง
ม้าเร็วสี่ตัว ดำสามแดงหนึ่ง
บุรุษสี่คนที่ขี่บนหลังม้าเส้นผมกระเซอะกระเซิง ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ในตัวยังมีพลังที่ต่างไปจากกลุ่มตรงกองฟางเมื่อวานชัดเจน
“พวกเขาเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญรึ” เด็กสาวหน้ามืดลง หันไปมองสวีจั้งพลางเอ่ยถามทีละคำ
“เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ”
“ข้าจะไปช่วยเขา!”
“ไม่อนุญาต” สวีจั้งยืนบนยอดเขา เอามือข้างหนึ่งกดบ่าเผยฝานไว้ พูดอย่างเฉยชา “แค่ขอบเขตแรกเท่านั้น…ทั้งยังเป็นขอบเขตแรกที่บาดเจ็บสาหัส”
“ขอบเขตแรกก็เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ หนิงอี้ไม่มีพลังบำเพ็ญ เขาไม่รู้ว่าความต่างนี้…มากเพียงใด” เผยฝานที่รวมแสงดาราเหนือศีรษะพยายามดิ้นสุดชีวิต สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่กัดฟันด้วยความดื้อรั้น “เขาจะเอาอะไรไปชนะได้”
“ความกล้าหาญ ปราณกระบี่ และดวงชะตากระมัง” สวีจั้งยิ้ม “ข้าก็ไม่รู้ว่าใช้อะไร แต่ว่า…ขอแค่ใช้กระบี่ร่ม ใช้กระบี่ฟาด ความจริงก็เพียงพอแล้ว”
…………………….