เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 21 สารทฝนหนาวเหน็บ
ตอนที่ 21 สารทฝนหนาวเหน็บ
เสียงเท้าม้าบนทางหลวงกึกก้องเหมือนสายฟ้า
ร่างเงาสีแดงเส้นผมกระเซิงสี่คน เพราะม้าใต้หว่างขารวดเร็วมาก มองไกลๆ จึงเหมือนมีลูกธนูสีแดงดำแนบกับพื้นพุ่งมาสี่ดอก
ผู้บำเพ็ญที่เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตแรกสี่คน แม้จะเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตแรก แต่ก็แกร่งกว่าพวกหยาบกระด้างที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญพวกนั้นมาก
ระหว่างหายใจสามารถดูดซับแสงดาราได้ แขนขาและอวัยวะภายในจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ…นี่คือก้าวแรกของคนไปสู่เทพ แม้จะไม่มีความเป็นเทพ แต่ก็ไม่เหมือนคนธรรมดาแล้ว
หนิงอี้กินไข่มุกตะวันคร้านห้าร้อยปี โอสถม่วงเร้นพันเม็ดของโจวโหยว กินแสงดารามหาศาลเหมือนมังกรกินน้ำบนหลังนกกระจอกแดงเข้าไป แม้จะไม่ทะลวงพลัง แต่การเปลี่ยนแปลงของกายและจิต…ได้เผยออกมาตอนสังหารโจรตรงกองฟางแล้ว
ไม่ว่าจะความเร็ว พละกำลังหรือความทนทาน อยู่คนละระดับกับคนธรรมดาแล้ว
ในม้าสี่ตัว คนที่นำหน้ามาเป็นผู้นำลำดับสาม ม้างามสีแดงฉานตัวใหญ่ แข็งแรงบึกบึน การย่ำเดินดังสนั่นเหมือนฟ้าผ่า กระแทกกับพื้นเหมือนตีกลองใหญ่เร็วๆ
บุรุษผอมแห้งนอนเกาะบนหลังม้า ผมกระเซิงปลิวไสวไปข้างหลัง หลังเขามีดาบหักอยู่เล่มหนึ่ง ด้ามดาบมัดด้วยโซ่เหล็ก ถูกเขาจับตรงปลายไว้แน่น
นี่คือทางหลวงที่รกร้างมานานมาก ไม่มีคนอยู่มาหลายปี วัชพืชขึ้นเต็มไปหมด เส้นทางยังถือว่าราบเรียบ ตรงไปตรงมา เพียงแต่ตรงสุดทางมีทางเลี้ยวอยู่
ก่อนจะเลี้ยวเข้ามา ผู้นำลำดับสามเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นก่อน
เดินม้าเข้าไป เทือกเขารกร้างสองลูกตรงหน้า สายลมหนาวพัดเข้ามา เด็กคนหนึ่งยืนอยู่กลางฝนตกหนัก ใบหน้าเย็นชา ดวงตาปิดสนิท ไม่ได้กางร่ม แต่ปักปลายร่มไว้กับพื้น ยืนอยู่กลางถนนหลวงร้างอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้
ผู้นำลำดับสามหรี่ตาลง
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุผลที่ตนรู้สึกไม่สงบสุขมาจากที่ใด
เด็กหนุ่มที่ยืนกลางฝนตกหนักยามค่ำคืนและรอตนอย่างเห็นได้ชัดคนนี้ ไม่มีใครอยู่ข้างกาย ข้างหลังก็ไม่มีใคร
เขาตัวคนเดียว ไม่มีพลังบำเพ็ญ
นอกจากร่มแล้วไม่มีอะไรเลย
เสียงควงโซ่ดังขึ้นเบาๆ บุรุษที่เกาะบนหลังม้าจับโซ่เหล็กสีดำในมือไว้แน่น มัดไว้กับด้ามดาบและตัวดาบตรงปลายอีกด้าน ใบดาบเริ่มสั่นไหวไม่หยุด ท่ามกลางเสียงฝนตกและกีบเท้าม้า สหายสามคนข้างหลังเริ่มจับดาบด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์เช่นกัน ก้มหน้าลงดูเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง แต่ความจริงเตรียมจะสังหารในทันที
เดินทางในยุทธภพ ก่อนออกกระบี่ออกดาบ อย่าได้สบตาเป็นอันขาด จิตสังหารซ่อนในฝักและดวงตา ยิ่งซ่อนไว้นานเท่าไร ยามที่ชักออกจากฝัก ก็จะยิ่งมีเลือดติดมามากเท่านั้น
ไม่พูดไม่จา ชักดาบพุ่งสวน ระหว่างนั้นมีการประชันกันลับๆ และครั้งนั้นที่ชักดาบฟันครั้งสุดท้าย มักจะเป็นการลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวมากที่สุด
ห่างกันสิบสองจั้ง
โจรม้าที่เดิมทีคิดจะซ่อนจิตสังหารพุ่งเข้าไป หากไม่เกิดอะไรขึ้น ก็ให้ฝนฝังร่างเด็กหนุ่ม สังเกตเห็นพลังที่ปั่นป่วนในฟ้าดิน
เด็กหนุ่มที่เพียงแค่ก้มหน้าเล็กน้อย หลับตาขมวดคิ้วมุ่นมาตลอด พลันลืมตาขึ้น
กลางฝนตกหนัก หนิงอี้ควงกระบี่ร่มขึ้น เด็กหนุ่มเดินก้าวแรกไปข้างหน้า จากนั้นเริ่มวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เสียงหายใจกระชั้นกับเสียงฝีเท้าเหยียบน้ำฝนดังคละปนกัน
ถือร่มเหมือนถือกระบี่ ลากร่มเหมือนลากดาบ
ทุกคนมองข้ามเสียงเบาๆ ที่เกิดจากการบิดด้ามกระบี่ร่มนั้น
หนิงอี้รูดมือซ้ายไปข้างล่าง ฝ่ามือลากด้ามกระบี่ กึก โครงร่มเอียงข้าง คมกระบี่เย็นเยือกสะท้อนออกมาเป็นลำแสงสายฝน หลังเดินก้าวสุดท้ายก็มีร่างเงาหนึ่งกระโดดขึ้นสูง
สองมือถือร่ม หนึ่งกระบี่เหมือนกระบอง
กระบี่ฟาด!
……
ช่วงที่เด็กหนุ่มอ่อนแอนั้นเริ่มวิ่งมา ร่างกายต้านสายลม ใบหน้าดื้อรั้นนั้นเต็มไปด้วยเม็ดฝน สองมือถือร่มมาด้วยท่าลากร่ม กลิ้งๆ สมทบกัน ทำให้วินาทีหนึ่งที่ผู้นำลำดับสามคิดไปเองว่านี่เป็นศิษย์ปิดท้ายของยอดฝีมือนักดาบ
ท่าการถือร่ม ลากดาบสังหาร
เมื่อเขาได้ยินเสียงคมกระบี่ดัง ‘ชิ้ง’ ในฟ้าดิน เขาก็ยิ่งระแวงกว่าเดิม ใจคิดว่านี่เป็นศิษย์ของปรมาจารย์กระบี่จริงๆ ใช้ร่มเป็นกระบี่ ไม่รู้เลยว่ากลุ่มหิรัญไปล่วงเกินช่างกระบี่ที่ประณีตละเอียดอ่อนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อสองฝ่ายห่างกันไม่ถึงหนึ่งจั้ง เขาดึงโซ่เหล็กออกมา น้ำฝนถูกเหล็กตีแตก แสงดาบออกจากฝัก กลับพบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่หยุดฝีเท้าและออกกระบี่นี้ แต่กลับกระโดดขึ้นสูง สองมือจับร่มกันฝนปักลง ใช้ปลายร่มทะลวงม่านฝน ฟาดลงมา…
ร่มที่ดูวิจิตรประณีตและให้แค่สตรีใช้นั้น ฟันลงมาอย่างป่าเถื่อนและไร้เหตุผลเช่นนี้ เด็กหนุ่มตกจากฟ้าสู่ดิน ม้าเร็วสี่ตัววิ่งผ่านหลังเขาไป ม้าสีแดงตัวใหญ่ที่เด่นกว่าใครที่สุดในนั้น ระหว่างวิ่งไปยังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น บุรุษคนนั้นรวมถึงม้าลื่นไถลไปกลางฝนตกหนักอันหนาวเหน็บ เละเป็นกองละอองฝนเลือดเนื้อ
เด็กหนุ่มที่ลงถึงพื้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง หลังยืนขึ้นก็มองพื้นดินที่ไถลเป็นสีเลือดพลางสูดลมหายใจเข้าลึก
หนิงอี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าแน่วแน่ สองมือเขาถือกระบี่ร่มแน่น สิบนิ้วมือยังมั่นคงยิ่ง แต่ตัวเขากลับเริ่มสั่นอย่างเสียการควบคุม
ฝนตกหนักมากในฟ้าดิน เสียงกระบี่เบามาก
เสียงเท้าม้าพลันหยุดนิ่ง
โจรม้าตาแดงสามคนเห็นผู้นำลำดับสามตายอย่างเวทนากับตา ก็ลืมไปเลยว่าตนเฉียดผ่านเด็กหนุ่มคนนั้นมาแล้ว ขอแค่ควบม้าเร็วก็จะชิงชัยกลับมาได้ ม้ากลับทันที ชักดาบหยาบออกมา แสงดาราวนเวียนพวยพุ่ง น้ำฝนสาดกระเซ็น เริ่มพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
ในโลกยุทธภพ คำว่าพี่น้องมาก่อน
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก หน้าอกพองขึ้น เขาลากกระบี่ร่มและพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ ‘การคาดเดา’ ของตน เขาไม่ได้กระโดดขึ้นสูงอีก แต่ใช้กระบี่ฟาดของสวีจั้ง
ทันทีที่ม้าดำสามตัวเฉียดผ่านเด็กหนุ่ม ปราณดาบวนเวียนแสงดาราลากผ่านปลายคิ้วเส้นผมเด็กหนุ่ม หนิงอี้ไม่ได้เลือกหลบ กระทั่งไม่เอียงตัวอ้อมไป แต่ใช้ท่าทางที่บุ่มบ่ามยิ่งประจันหน้ากับม้าดำสามตัวนั้นตรงๆ ตั้งกระบี่ร่มของตนขึ้น มือข้างหนึ่งกำด้ามร่ม อีกมือตั้งนิ้วขึ้นกดตรงหลังกระบี่
ดาบยาวสามเล่มแทบจะฟันใส่กระบี่ร่มของหนิงอี้พร้อมกัน กระบี่ร่มไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย ดาบยาวบางเหมือนกระดาษ ถูกฟันขาดเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย
เงาดำกดลงมา จากนั้นม้าดำใหญ่นั้นที่ชนกับคมกระบี่เกิดเสียงดัง ‘บึ้ม’ ให้ความรู้สึกต้านทานกับหนิงอี้ เด็กหนุ่มกลั้นหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยพายุคลั่ง ปล่อยให้ม้าดำใหญ่นั้นกระแทกเข้ามาพร้อมกัน เข่าสองข้างของเขางอลงเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งเข้าไป เงยหน้าเอนกาย สองมือกำด้ามกระบี่ เล็งปลายกระบี่ของร่มกระบี่ตรงท้องม้า
‘ร่มกระบี่’ ที่สวีจั้งไม่รู้ใช้ตำลึงเงินซื้อมาเท่าไรนั้น ผ่าท้องได้อย่างง่ายดาย หนิงอี้เบิกตาโต ตัวซุกในท้องม้าดำ มองเลือดเหนียวข้นและหนักสาดกระจายข้างตนด้วยความตกใจ ม้างามที่รวดเร็วปานสายฟ้าตัวนั้น…ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แค่วิ่งมาผ่าตัวเองเป็นสองส่วนเช่นนี้ พุ่งผ่านไป ความเร็วพลันลดลง จากนั้นเบิกตาโต สองข้างซ้ายขวาแยกจากกัน สุดท้ายล้มลงพื้นดังตึง ชิ้นส่วนศพสาดน้ำฝนสีแดงสดกระเด็น
ฝนตกหนัก หลุมน้ำขรุขระถูกกระแทกเป็นสีเลือด ละอองน้ำเกิดเสียงดังซ่าๆ กลางไอร้อน
เกิดเสียงฟ้าร้องขึ้นบนฟ้า
บนพื้นกลับเงียบสงัด
เด็กหนุ่มหน้าซีดขาว หลังจากก้มตัวลงก็ยันพื้นหมุนตัวลุกขึ้นด้วยความขมฝาดในลำคอ ก่อนจะถือกระบี่ร่มด้วยความรู้สึกซับซ้อน กางร่มดังเพี้ยะจากนั้นหุบร่ม ยันด้ามร่มเก็บกระบี่และเปิดกระบี่ทันที ทำซ้ำเช่นนี้สองสามครั้งก็ยังไม่เห็นเงื่อนงำของกระบี่ร่มนี้
หนิงอี้ที่มองโครงร่มเงียบๆ ลังเลอยู่หลายลมหายใจ สุดท้ายล้มเลิกความคิดที่จะเอานิ้วลองระดับความคมของกระบี่ร่ม
อีกด้านหนึ่ง แสงดารายังคงวนเวียนลอยขึ้น แสงดาราของขอบเขตแรกเบาบางและริบหรี่กลางฝนตกหนัก โจรม้าสองคนบนม้ามือถือดาบหักสองท่อน พวกเขาไม่หันไปมองสหายที่ตายไปคนที่สองเลย
กระบี่ร่มนั้นไม่ได้สังหารเขา แต่สิ่งที่โดนคมกระบี่ไม่ใช่แค่ม้าสีดำใหญ่นั้น แต่ยังมีครึ่งล่างบนหลังม้าที่คนนั้นขี่อยู่ หลังจากม้าดำทะยานไปอย่างรวดเร็วก็กลายเป็นสองส่วน แม้แต่คนนั้นบนหลังม้ายังถูกกระบี่ฟันขาดเป็นสองส่วนเช่นกัน
ผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกสองคนนั่งบนม้าด้วยใบหน้าซีดขาว โคลงเคลงนั่งไม่ติดแล้ว ม้าดีสองตัวข้างล่างฉุนเฉียวไม่สงบ สี่เท้าเหยียบพื้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมพุ่งเข้าไปอีก แทบจะสลัดสองคนตกลงจากม้า
ฝนตกหนักลงมากลางศีรษะ ทำให้ผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกสองคนรู้สึกหนาวนิดๆ กระทั่งสิ้นหวัง
เด็กหนุ่มลงมือโหดเหี้ยมคนนี้…ไม่เหมือนคนไร้ชื่อเสียงเลย ส่วนกระบี่ร่มคมนั่นก็ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน
ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีเบื้องหลังอย่างไรกันแน่
แต่เขารู้ว่า…ในเขตนี้ ในระยะสามพันลี้ ภูเขาที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าเขาสู่ซาน
“การฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่เจตนาเดิมของข้า…” หนิงอี้ถือกระบี่ร่มเดินเข้ามา ห่างกันช่วงระยะหนึ่ง เขามองม้าดำสูงใหญ่สองตัวก่อนพูดเสียงเบา “พวกเจ้าไม่หนี ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
ผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกคนหนึ่งนั่งบนหลังม้า เขาขมวดคิ้วมองม้าดำฉุนเฉียวไม่สงบ ก่อนจะออกแรงใช้คมดาบปักตัวม้า ม้าดำร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้
เขารู้ว่าตนหนีไม่ได้แล้ว จึงถามด้วยใบหน้าขาวซีด “ท่านเป็นศิษย์ใหม่ของเขาสู่ซานรึ”
หนิงอี้ครุ่นคิดก่อนจะตอบนิ่งๆ “ไม่ถือว่าใช่”
ผู้บำเพ็ญบนหลังม้าสีหน้าซับซ้อน ได้ยินคำตอบว่า ‘ไม่ถือว่าใช่’ เป็นทั้งยอมรับและปฏิเสธ
คำพูดนี้…แสดงว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ามีสัมพันธ์บางอย่างกับเขาสู่ซานจริงๆ
เขายังคงถามด้วยความไม่ยอม “กลุ่มหิรัญเคยไปล่วงเกินรึ”
หนิงอี้หมุนกระบี่ร่ม ก่อนพูดเสียงเบา “นอกเมืองสันติเมื่อวาน…กลุ่มหิรัญกระทบกระทั่งกับข้าอย่างไม่น่าพอใจนัก พวกเจ้าฟันข้าไปสองดาบ”
“ผู้อาวุโสต้องฆ่าล้างบางกันเลยรึ” คนบนหลังม้าถือคมดาบครึ่งหนึ่ง แสงดารารวมตรงมือ ก่อนถามด้วยความกลัดกลุ้ม “สองกระบี่คืนสองดาบ ถ้าให้จบกันตรงนี้ กลุ่มหิรัญข้ายินดีจะชดใช้ให้ผู้อาวุโสอย่างงาม”
หนิงอี้ได้ยินคำว่า ‘ผู้อาวุโส’ ก็อึ้งไป เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “แม้นามของกลุ่มหิรัญจะฟังดูมีเงินมาก…แต่ตอนนี้ข้าไม่ขาดเงินทอง”
สวีจั้งเคยบอกว่าฆ่าคนต้องฆ่าให้หมด หากตนมีแรงเหลือ เช่นนั้นก็อย่าให้รอดไปได้สักคน
กระบี่ร่มหมุน หนิงอี้กระโดดขึ้น พุ่งทะยานเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เกิดเสียงเบากลางฟ้าดิน ม่านฝนถูกร่มผ่าออก เส้นฝนรวมกันอีกครั้ง ศพสองร่างล้มลงจากหลังม้า
หนิงอี้ที่พยายามเค้นรอยยิ้มตบๆ หัวม้าใหญ่ หมุนตัวกลับแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองสารทฝนหนาวเหน็บที่ตกลงมาจากฟ้าไม่หยุด ก่อนถอนหายใจยาว
เด็กหนุ่มเก็บคมกระบี่อย่างระมัดระวัง จากนั้นกางร่มดังพรึ่บ เดินขากะเผลกไปทางเขารกร้าง
……………………