เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 22 ศิษย์ พี่ (rewrite)
ตอนที่ 22 ศิษย์ พี่ (rewrite)
“ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าทำเลวต้องทำให้สุด ฆ่าคนต้องฆ่าให้หมด”
“เคยบอก” หนิงอี้มองสวีจั้งพลางพูดอย่างจริงจัง “สี่คนเมื่อครู่ ข้าฆ่าทิ้งหมดแล้ว”
“ข้าเห็นแล้ว ก่อนลงมือยังพูดอะไรไร้สาระเป็นกอง…” สวีจั้งยืนบนเนินเขารกร้างเล็ก พูดอย่างไม่ยี่หระ “คิดหน่อยว่าที่ข้าพูดหมายถึงอะไร สี่คน ม้าสี่ตัว ฆ่าให้หมด”
หนิงอี้เงียบ
เขาพยายามนึกถึงคำพูดที่สวีจั้งพูดกับตนตอนแรก…จากนั้นเขาพบว่าสวีจั้งเคยพูดเช่นนี้จริงๆ
แต่เขาปล่อยม้าสองตัวนั้นไปแล้ว
หนิงอี้ยืนบนยอดเขารกร้างเล็ก หันไปมองเทือกเขารกร้างห่างไกลผู้คน ม้าดำใหญ่สองตัววิ่งไปท่ามกลางสายฝน ม้าตัวหนึ่งในนั้นยังมีดาบหักปักอยู่ตรงสะโพก
“ข้าจะตามไป” เด็กหนุ่มเก็บร่มกันฝนเงียบๆ หมุนด้ามร่ม เตรียมจะไปสกัดม้าดำสองตัว
สวีจั้งขวางหนิงอี้ไว้ “ข้ามเรื่องที่เจ้าจะตามทันหรือไม่ทันไปก่อน…หากตามทันก็ตามทันในสภาพน่าเวทนา เจ้าเป็นคนเขาสู่ซานข้าแล้ว อีกทั้งการแบ่งรุ่นดีเลวอย่างไรก็เท่าข้า จะให้ไปอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนั้นได้อย่างไร”
หนิงอี้มองสวีจั้ง เงียบไปครู่หนึ่ง “นี่เป็นความผิดของข้า”
สวีจั้งยิ้ม “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า นี่เป็นความผิดของทุกคน ประมาทศัตรู จากนั้นใช้สิ่งนี้เป็นราคาต้องจ่าย ความล้มเหลวส่วนใหญ่จะมาจากตรงนี้ ยามจับกระบี่สังหารคน คนอื่นเห็นเจ้าบ้าคลั่ง เห็นเจ้าอวดดีโอหังก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่ตัวเองมองตัวเอง จะต้องใจเย็น ต้องไร้ความปรานี…ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ข้า จับกระบี่สังหารคนครั้งแรกยากจะทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
หนิงอี้ซาบซึ้งใจ แต่เมื่อได้ฟังประโยคหลังก็เงียบอีกครั้ง
สวีจั้งตบบ่าหนิงอี้ “กลับไปพักเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาต่อ”
หนิงอี้เม้มริมฝีปากมองบุรุษ “ทำเช่นนี้ก็ให้ข้าฝึกบำเพ็ญได้รึ”
สวีจั้งชำเลืองตามองเด็กหนุ่มทีหนึ่ง “คนมากมายหลังรู้จักการฝึกบำเพ็ญแล้วกลับสังหารคนไม่เป็น แน่นอน…การฝึกบำเพ็ญไม่ใช่แค่เพื่อการสังหารคน แต่หากสักวันเจ้าจับค้อนหนัก แต่ไม่รู้วิธีใช้ มันจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกรึ”
หนิงอี้พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว…ในสายตาผู้อาวุโส ถ้าข้าจะต้องปราบปรามกลุ่มหิรัญ ก็ควรจะก้าวสู่ขอบเขตแรก นี่ถือเป็นการทดสอบรึ”
สวีจั้งมองหนิงอี้ ไม่ได้ตอบแต่พูดขึ้น “กลุ่มหิรัญอยู่รอบเมืองหุบเขาฟางเมืองสันติ พื้นที่ขุมอำนาจปกคลุมทั้งหมดสิบสามเมืองเล็ก เจ้าเพิ่งสังหารผู้นำลำดับสามที่บาดเจ็บสาหัสไม่อยู่ในสภาพหนึ่งส่วนสิบด้วยซ้ำ
เขตนี้มีโจรม้าเยอะมาก และเหตุผลที่กลุ่มหิรัญเป็นอันดับหนึ่งได้ ยึดครองสิบสามเมืองเล็กและอยู่เหนือกองโจรอื่น…ความจริงแล้วง่ายมาก”
บุรุษที่แบกพินิจเหมันต์ยืนบนเขาเล็กกลางฝนตก มองม้าดำสองตัววิ่งหลุดจากสายตาไปพลางเอ่ยนิ่งๆ “ผู้นำของพวกเขาคือผู้บำเพ็ญที่จะก้าวสู่สามขอบเขตกลาง ห่างจากขอบเขตที่สี่ แทบจะก้าวไปได้ในครึ่งก้าวแล้ว”
“ในยุทธจักรใช้กำลังปราบคน ผู้นำของกลุ่มอื่น พวกเขาสู้คนนั้นของกลุ่มหิรัญไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาเลยได้แต่หลบเลี่ยง”
สวีจั้งถาม “เจ้าคิดว่าเจ้าสู้ไหวหรือไม่”
หนิงอี้สับสนเล็กน้อย เขาควงร่มนั้นในมือขึ้น มองสวีจั้งพลางเอ่ย “กระบี่นี้คมยิ่ง…ข้ามีลางสังหรณ์ว่ามันตัดได้ทุกอย่าง”
สวีจั้งขานรับอย่างไม่ยี่หระ “เจ้ารู้ว่านี่เป็นลางสังหรณ์ก็ดี”
หนิงอี้เงียบ หุบปากอย่างว่าง่าย
“หากเจ้าเข้าสำนักของโจวโหยว สำนักเต๋าจะมอบทรัพยากรกองใหญ่ให้เจ้าจริงๆ…เจ้าจะได้อยู่ตำหนักนภาม่วง แม้สักวันจะบรรลุขอบเขตที่สิบจริงๆ ถึงตอนนั้นออกเดินทางอีกครั้งก็จะไปได้ทั้งโลกหล้า หากเจอข้า ต้องการมากสุดแค่กระบี่เดียว”
สวีจั้งชำเลืองตามองเด็กหนุ่ม “ดอกไม้ในห้องอบ หากไม่ผ่านความโหดร้ายจะเติบใหญ่ได้อย่างไร”
“เช่นนั้น…ผู้อาวุโสโจวโหยวล่ะ” เผยฝานถามอย่างจริงจังอยู่ข้างๆ “กฎของสำนักเต๋าตั้งอยู่ที่นั่น ได้ยินว่าผู้อาวุโสโจวโหยวมองข้ามการฝึกฝนมาตลอด มักจะชอบปิดด่านบำเพ็ญ เคยออกมือในงานราชวงศ์ใหญ่ครั้งเดียว”
สวีจั้งเงียบไปชั่วครู่ “โลกนี้มีบางคนมักจะต่างจากคนธรรมดา โจวโหยวคืออัจฉริยะที่ไม่ใช่ของโลกนี้ แต่หนิงอี้ไม่เหมาะกับวิถีเช่นนี้ของเขา สายตาของโจวโหยวมองสูงมาตลอด ตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกบำเพ็ญก็มองเป้าหมายของตนไว้ที่ก้าวนั้นที่คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง ดังนั้นการฝึกฝนก็ดี การปิดด่านบำเพ็ญก็ดี กระทั่งความตาย…เป็นเพียงวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายเท่านั้น”
“ยืนอยู่จุดต่ำ จะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตต้นไม้ใบหญ้าข้างกายส่งเสียงอย่างไร” สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น “หากเริ่มมาก็ยืนอยู่สูง ก้าวออกมาก็จะไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย ตัวลอยล่องกลางเมฆหมอก ไม่รู้ว่าควรไปที่ใด…ชีวิตนี้จะถูกขังอยู่ในขอบเขตที่สูงก็ไม่จะต่ำก็ไม่ ไม่มีวันได้ก้าวออกมา”
หนิงอี้ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง รู้สึกนี่มีเหตุผลมาก เขาถามขึ้นทันที “ผู้อาวุโสโจวโหยวน่าจะทะลวงสิบขอบเขตแรกไปนานแล้วสิ”
สวีจั้งขานรับ “เขารวดเร็วมาก หลังงานราชวงศ์ใหญ่ก็ทะลวงขอบเขตที่สิบ”
“ผู้อาวุโสโจวโหยวตอนนี้ล่ะ” หนิงอี้ถามอย่างระมัดระวัง “หลังขอบเขตที่สิบคืออะไร”
สามคนเริ่มลงเขา มุ่งหน้าไปทางโรงเตี๊ยม
“ทะลวงสิบขอบเขต จุดดาราชะตา” สวีจั้งหยุดชะงักก่อนจะพูดอย่างเฉยชา “จุดแสงดาราเหนือศีรษะที่ตนชอบมากที่สุด จากนั้นจุดดวงที่สอง จุดดวงที่สาม…มากสุดสามดวง ตอนนี้โจวโหยวจุดครบแล้ว”
“เช่นนั้น…ผู้อาวุโสท่านล่ะ”
“ขอบเขตที่เจ็ด อีกไม่นานก็จะตกจากสามขอบเขตสุดท้าย” ตอนที่สวีจั้งพูดถึงตรงนี้ กระทั่งยังยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ พูดอย่างเย็นชา “เมื่อพลังบำเพ็ญตกลงมาทั้งหมดก็น่าจะตาย”
ตอนที่หนิงอี้ฟังถึงตรงนี้ ยังฟังไม่ออกว่าในคำพูดบุรุษมีอารมณ์สุขทุกข์ เศร้าหรือเจ็บปวดใดๆ เลย
คนที่พลังบำเพ็ญลดคือเขา คนที่ต้องตายก็คือเขา
เมื่อได้ฟังสวีจั้งพูดพลังบำเพ็ญลดถึงตาย…ก็เหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่บุรุษคนนี้เฝ้าใฝ่หามาตลอด
หนิงอี้ขบคิดเงียบๆ หญิงที่รักของผู้อาวุโสสวีจั้งตายไปแล้ว หรือเขาอาจจะมีใจอยากตายมานานแล้ว เรื่องพลังบำเพ็ญลดเป็นขอบเขตที่กำลังมนุษย์ไม่อาจขวางได้
อายุขัยไม่มาก พลังบำเพ็ญลดลงทุกวัน ฟังจากคำพูดโจวโหยวที่แยกกันวันนั้น สวีจั้งยังมีอีกกระบี่ที่ไม่ได้ส่งต่อ ตอนนี้อยู่ข้างกายตน ยินดีชี้แนะตน
เมื่อนึกถึงตรงนี้พลันได้ยินสวีจั้งพูดอย่างจริงจัง “หนิงอี้ บอกหลายครั้งแล้วว่าจากนี้อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส”
บุรุษผู้แบกผ้าพินิจเหมันต์เดินอยู่ข้างหน้าตน กางร่มกระดาษเหลือง เดินโซเซในฝนตกหนัก
“ข้ารับศิษย์แทนเจ้าหรุย เจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่”
สวีจั้ง มองตนเป็นผู้สืบทอดมรดกหรือ
หนิงอี้แสบปลายจมูกนิดๆ
คำว่าศิษย์พี่กระแทกในใจเด็กหนุ่มที่โดดเดี่ยวมาตลอด
เหมือนอาจารย์เหมือนพี่ เหมือนแยกจากเหมือนพบกัน
…..
หนิงอี้เริ่มชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว
หลังฆ่าโจรม้า สวีจั้งเอา ‘ของโจร’ มาจากกระเป๋าเอวของศพเล็กน้อย ผู้นำลำดับสามของกลุ่มหิรัญมีทรัพย์สินติดตัวเยอะมาก…หนิงอี้ไม่เคยเห็นทองใบเยอะขนาดนี้มาก่อน
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าวันนั้นหน้าอาราม เหตุใดผู้บำเพ็ญตำหนักฟ้าถึงพูดกับตนเช่นนั้น
หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน…แล้วอย่างไร
ผู้บำเพ็ญไม่ได้สนใจคำว่าเงินทองเท่าไร
เพราะได้มาง่ายเกินไป
สังหารโจรม้าขอบเขตแรกคนเดียว ชิงของมาครั้งเดียวก็ได้เงินทองอู้ฟู้ขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องหิว ไม่ต้องหนาว ได้ใช้ชีวิตอย่างอิ่มหนำสำราญไปมากกว่าครึ่งชีวิต
สวีจั้งเช่าบ้านเล็กในเมืองสันติ ซื้อสมุนไพรมาเล็กน้อย เมื่อคืนหนิงอี้สังหารโจรม้าเสร็จ กลับมาในลานบ้านก็แช่ในอ่างสมุนไพร เส้นเอ็นและกระดูกทั้งตัวอ่อนนุ่มและร้อนรุ่มในสมุนไพร อาการบาดเจ็บหายเร็วมาก บาดแผลดาบที่ถูกฟันในวันนั้นสมานกันแล้ว ไม่กี่วันก็หนังหลุดลอกและเกิดใหม่
หนิงอี้ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมสุขสบายเป็นครั้งแรก
ลานบ้านในเมืองสันติใหญ่มาก หนิงอี้กับเผยฝานไม่ต้องเบียดกันบนเตียงเดียวแล้ว ภายในลานบ้านปลูกดอกไม้เต็มไปหมด ได้ยินว่าแสงตะวันยามเช้าส่องบนเก้าอี้เถ้าวัลย์…จะอบอุ่นมาก น่าเสียดายที่เดือนนี้ฝนตกตลอด
เด็กสาวย้ายดอกไม้และเก้าอี้เถาวัลย์เข้าไปในบ้าน
ต่อให้เป็นเช่นนั้น พื้นที่ในบ้านก็ยังกว้างมาก มากพอจะอยู่ได้สามคน
บางทีอาจะเป็นเพราะฝนตกหนัก ถนนเงียบสงบมาก แทบจะไม่มีใครเสียงดัง บางครั้งจะมีคนเคาะประตูมาให้ขนมบ้าง หนิงอี้ไม่เคยเจอเพื่อนบ้านที่เป็นกันเองเช่นนี้มาก่อนเลย
สรุป…เมืองสันติแห่งนี้ สงบสุขสันติจริงๆ
แต่หนิงอี้ไม่ได้คิดจะเสพสุขพวกนี้
เขาอยากทะลวงพลัง
สวีจั้งสอนคัมภีร์พลิกกลับของบัณฑิตเจ้าหรุยให้เขา ยามกลางวันหนิงอี้จะคัดคัมภีร์ใต้ชายคาบ้าน สวีจั้งจะนั่งบนเก้าอี้เถาวัลย์ในบ้านหลับตาพักผ่อน ข้างนอกฝนตกหนักตลอดวัน บุรุษในบ้านท่องหนังสือทีละตัว หนิงอี้มือคัดไป ยังต้องปลงอนิจจังในพรสวรรค์ของสวีจั้ง นอกจากคัมภีร์ของเจ้าหรุยแล้ว บุรุษคนนี้ยังท่องย้อนกลับคัมภีร์เต๋าเขาสู่ซานส่วนใหญ่ได้
ไม่ใช่แค่สวีจั้ง ความจำของเผยฝานยังดีจนน่าแปลก ฟังรอบเดียวก็จำได้…หนิงอี้ไม่มีพรสวรรค์นี้ เขาได้แต่คัดทีละตัว จากนั้นฝืนท่องจำทีละตัว
สวีจั้งพาหนิงอี้ไปสังหารคนยามค่ำคืน
ตอนนั้น หนิงอี้จะพาเผยฝานออกไปด้วยกันสามคน ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสอง สวมชุดคลุมดำตัวใหญ่เช่นนี้ กางร่มกันฝนแปลกๆ บนเขารกร้างชานเมือง
หลังได้กระบี่ร่ม หนิงอี้แทบจะไม่เคยบาดเจ็บเลย แต่เนื่องจากฝึกกระบี่ฟาดไม่หยุดพัก ทำให้ข้อมือและหัวเข่ารับภาระหนักมาก ดีที่สวีจั้งไม่รู้ไปซื้อสมุนไพรพวกนั้นมาจากที่ใด สรรพคุณยาดีมาก ผ่านไปหนึ่งคืน วันที่สองเด็กหนุ่มก็ฟื้นกำลังวังชาทั้งหมด กระโดดโลดเต้นออกไปฆ่าคนต่อ
เมืองสันติฝนตกมาทั้งเดือน หนิงอี้เสพสุขในคืนฝนตกฤดูใบไม้ร่วงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งยังฝึกวิชากระบี่ ‘ตกจากฟ้า’
โจรม้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ดี ตีได้ ทนมือทนเท้าได้
หนิงอี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของสวีจั้ง การฝึกกระบี่กับเสาไม้…เทียบกับการต่อสู้จริงไม่ได้เลย
มือเขาไม่สั่นอีก จิตใจไม่ลังเลอีก กระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ สภาพร่างกายดีขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มหิรัญเก็บตัวอย่างเห็นได้ชัด หลังจากถูกฆ่าไปสี่ห้าวันติดกัน ทั้งกลุ่มเริ่มเก็บตัว หนิงอี้เลยเริ่มไปที่ที่ไกลขึ้น สังหารโจรม้าอื่น เมืองเล็กหลายเมืองที่เดิมทีมีแต่โจรรุกรานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหนึ่งเดือน
โจรม้าทั้งหมดรู้ว่ากลางดึกชานเมืองจะมีเด็กหนุ่มถือร่มคนหนึ่ง ชอบไปเดินทอดน่องในที่รกร้างชานเมือง หากเจอโจรจะฆ่าทั้งหมดอย่างไร้ความเห็นใจ แม้แต่ม้ายังไม่ปล่อย
ฝนตกหนักมาหนึ่งเดือนพลันหยุดลงเช่นนี้ในวันหนึ่ง
แสงอ่อนยามรุ่งอรุณสาดลงในลานบ้าน หลุมบ่อน้ำชื้นแล้วก็แห้ง เหยียบบนนั้นจะไม่มีน้ำกระเซ็นอีก
หลังจากเด็กหนุ่มตื่นขึ้นก็หลับตาท่องคัมภีร์ของบัณฑิตเจ้าหรุยเงียบๆ จากนั้นลุกขึ้นนั่งเปิดผ้าม่าน แสงตะวันอบอุ่นและสุขสบายส่องบนใบหน้า
“ศิษย์พี่…ฝนหยุดตกแล้ว”
บุรุษที่นั่งจมในเก้าอี้เถาวัลย์ไม่ได้ลืมตา เขาหน้าหันไปทางที่ม่านเปิดออก สัมผัสถึงความอุ่นจากแสงที่พุ่งกระทบนอกเปลือกตา ก่อนจะยกมุมปากขึ้น
สวีจั้งพูดอืมเบาๆ
……………………