เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 23 สำนักลับ
ตอนที่ 23 สำนักลับ
สิ่งปลูกสร้างเมืองสันติมีความพิเศษมาก พูดให้ถูกคือทั้งต้าสุย ข้ามผ่านกำแพงเมืองแดนตะวันตก ต่อให้เป็นเมืองเล็กหลายเมืองที่ห่างไกลก็ยังมีรูปแบบคล้ายๆ กัน
ไม้แดงผนังขาว รูปทรงสวยงาม เรียบร้อยแต่ไม่แข็งกระด้าง เปิดโล่งแต่ไม่เด่น
บนถนนสะอาด พ่อค้าแผงลอยเข็นรถไม้ สตรีที่ถือร่มเดินไปมา มวยผมขึ้นข้างบน ชุดกระโปรงคลุมครึ่งแขน ทาแก้มแดง วาดคิ้วดำ เดินเลือกของกระจุกกระจิก
หนิงอี้กับเผยฝานตามหลังสวีจั้ง ทั้งสองคนมาพักในเมืองสันติได้สามสิบวันแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหน้าตาของเมืองเล็กแห่งนี้ กำแพงเมืองทั้งเก่าแก่และเรียบง่าย สะอาดเหมือนกระดานขาว กาลเวลาผ่านไป หลายร้อยปีผ่านไป กลับเหมือนฝากเมืองนี้ในเปลเด็ก ไม่มีร่องรอยใดๆ เลย
“สภาพเมืองสันติตอนนี้เป็นเพราะเขาสู่ซานดูแลรักษาอย่างดี” สวีจั้งเดินนำหน้า เขาพูดนิ่งๆ “เมื่อยี่สิบปีก่อน เมืองสันติสงบสุขกว่าตอนนี้ ที่มีโจรชุกชุมก็เพราะยี่สิบปีมานี้ ศิษย์เขาสู่ซานรุ่นอาวุโสไม่ได้ลงเขา รุ่นใหม่ก็ยังไม่เติบโต”
“ศิษย์รุ่นใหม่พวกนั้นล่ะ”
“เขาสู่ซานปกคลุมสามพันลี้ บุตรศักดิ์สิทธิ์รุ่นใหม่ยังไม่คัดเลือก ฆ่าโจรพวกนี้ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาขึ้นตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์”
หนิงอี้เข้าใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วถาม “เช่นนั้นรุ่นอาวุโสล่ะ”
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น “รุ่นอาวุโส ผู้บำเพ็ญที่ควรลงเขามาดูแลความสงบเรียบร้อย…ตายหมดแล้ว ต่อให้พวกเขารอดก็ไม่มีทางแก้ปัญหานี้จากรากฐานได้ สามพันลี้กว้างเกินไป แค่กำลังของผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งหลายสิบคนไม่มีทางทำได้เต็มร้อย แต่ว่า…อีกไม่นานเขาสู่ซานจะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว”
“แก้อย่างไร” เผยฝานเดินๆ โดดๆ พลันถามด้วยความแปลกใจ “ท่านจะสังหารเองคนเดียวรึ”
“สังหาร…แน่นอนว่าไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา” สวีจั้งถอนหายใจ “หลายครั้งที่การสังหารทิ้งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่การดูแลความสงบสุขใต้ภูเขาให้ประชาชนมีชีวิตต่อไปอย่างมั่นคงสงบสุข คำว่า ‘สังหาร’ ไม่อาจแก้ปัญหาได้”
“ใต้ฟ้า ล้วนเป็นแผ่นดินของจักรพรรดิ” บุรุษผู้แบกพินิจเหมันต์พลันหยุดเดิน เขาพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ต้าสุย ปัญหาหลายอย่าง…จะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว”
ตรงหน้าสวีจั้งเป็นอารามแห่งหนึ่ง
หนิงอี้มองอารามนั้นที่อยู่ไม่ไกล ลักษณะเป็นชายคาแบบจีนหลังใหญ่ เครื่องประดับคล้ายมังกรที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาเรียบง่ายและหยาบ กระเบื้องหลังคาสีดำเข้มเป็นลูกคลื่นเหมือนเกล็ดมังกร
ยากจะจินตนาการได้ว่าในเมืองสันติจะมีอารามเช่นนี้อยู่ ตั้งอยู่กลางหอซ้อนทับกันหลายชั้น กำแพงแดงแยกเป็นสองส่วน ในลานวัดมีใบไม้สีแดงโปรยปราย ควันธูปในอารามสะอาดบริสุทธิ์
“อารามเพรียกหา” สวีจั้งอ่าน ก่อนพูดอย่างเฉยชา “จักรพรรดิแห่งต้าสุยไม่กีดกัดพุทธศาสนา และไม่กีดกันสำนักเต๋า หลายปีมานี้ ฝ่ายพุทธและสำนักเต๋าพัวพันในฝ่ามือเขา ต่างฝ่ายต่างตั้งอยู่ในตะวันออกและตกสองทิศ สร้างสมดุลกัน ต่างฝ่ายต่างมีอารามมีวัดเต๋า โดยเฉพาะที่ห่างไกลตรงชายแดน ขุมอำนาจซับซ้อน เป็นที่เขี้ยวสุนัขไม่เสมอกัน
สิ่งปลูกสร้างบูรณะของอารามและวัดเต๋าพวกนี้ บอกว่าสร้างความสะดวกให้นักบวชและนักพรตที่จะเข้าไปแสวงบุญในเมืองหลวงต้าสุย เป็นที่พักเท้า แต่ความจริงเป็นการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างหนึ่ง”
เผยฝานพูดสองคำสุดท้ายซ้ำ “เฝ้าสังเกตการณ์รึ”
หนิงอี้เข้าใจความหมายของสวีจั้ง
สามพันลี้รอบเขาสู่ซาน พื้นที่เขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งกว้างขนาดนี้ อีกทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์ในเขตแดนต้าสุยยังมีไม่น้อย ต่างตั้งตนเป็นใหญ่ หากได้เสพอำนาจสูงสุดในพื้นที่นี้ แบบนี้ก็มีความไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์หนึ่ง…
และเหตุการณ์นี้ จักรพรรดิไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น
จักรพรรดิต้าสุยจึงต้องผูกอำนาจไว้กับมือ
ต่อให้อยู่ในเขตต้าสุยก็ยังมีพื้นที่ที่โอรสสวรรค์ยังยื่นมือไปแตะต้องไม่ได้
ฝ่ายพุทธกับสำนักเต๋าคือเครื่องมืออย่างหนึ่งที่เขาใช้สังเกตการณ์เขาศักดิ์สิทธิ์
“น้ำลำเลียงเรือได้ ก็คว่ำเรือได้เช่นกัน” สวีจั้งพูดเสียงเบา “คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจโลกของผู้บำเพ็ญ แต่ผู้บำเพ็ญอาศัยคนธรรมดาอยู่รอด กลายเป็นเจ้าผู้ครอง…มักจะมีวิธีของเจ้าผู้ครอง ผู้นำของสำนักเต๋าและฝ่ายพุทธเสพความเลื่อมใสอันบ้าคลั่ง ทว่าฐานะของผู้นำสองคนนี้เป็นได้เพียงคนธรรมดา
พวกเขายุ่งมาก นอกจากเสริมความแกร่งของศรัทธาผู้ใต้บัญชาแล้ว ในช่วงหิมะตกหนักปลายปี ยังต้องเดินทางไกลพันลี้ไปอวยพรจักรพรรดิถึงเมืองหลวงต้าสุย”
“นี่ก็คือการสังเกตการณ์อย่างหนึ่ง” หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง
“ใช่” สวีจั้งยิ้ม “จักรพรรดิอยู่มาหกร้อยปีแล้ว เขาไม่สนใจว่าผู้นำของสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธเป็นใคร มีกฎเหล็กเพียงข้อเดียว ผู้นำทั้งสองห้ามฝึกบำเพ็ญ เมื่อก่อนสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธเคยเปลี่ยนผู้นำ แต่เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากคืนหิมะตกหนักวันส่งท้ายปีเก่าที่เมืองหลวง ศพรุ่นเยาว์ถูกฝัง ส่วนรุ่นต่อไป…ก็เลือกจากมวลชนเป็นพิธี เป็นเรื่องง่ายๆ เช่นนี้มาตลอด ขอแค่เจ้าไม่เอ่ยถึง พวกคนโง่ก็จะลืมไปอย่างรวดเร็ว”
หนิงอี้จดจำไว้เงียบๆ
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าบุรุษคนนี้ซ่อนประกายคมไว้ทั้งตัว แต่ดันเหมือนหนามอันหนึ่ง ในคำพูดและการกระทำเหยียดหยามอาณาจักรกว้างใหญ่นี้
สวีจั้งไม่ได้เข้าไปในอารามเพรียกหานี้ เขาพาหนิงอี้กับเผยฝานอ้อมถนนเส้นหนึ่ง เดินไปถึงในตรอกเล็กของเมืองสันติ
แสงสว่างทั้งหมดในตรอกหายไป
“เส้นแสงแห่งอำนาจคงอยู่ทุกที่ ขอแค่ยืนในเงาถึงจะได้พักกาย” สวีจั้งพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาสู่ซาน…แน่นอนว่าไม่ได้กินเจ”
หนิงอี้พลันนึกถึงคำพูดนั้นที่สวีจั้งพูดกับตน
ข่าวกรองเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้
สวีจั้งพาตนกับเผยฝานอยู่รอดปลอดภัยในเมืองสันติในเดือนแรกได้ นั่นแสดงว่าอย่างน้อยเขากลบข่าวของโลกภายนอกไปแล้ว
และกระบี่ร่มที่สวีจั้งให้มา และยังมีข่าวโจรม้าในเวลาและสถานที่แน่นอนนอกเมือง แสดงว่าเขามีลู่ทางบางอย่างที่ได้มาซึ่งข่าวกรองที่แม่นยำ
ในตรอกมืดมิด บุรุษถือพินิจเหมันต์เดินนำหน้า หนิงอี้กับเผยฝานตามหลังเขาไปติดๆ เดินไปถึงสุดทาง สวีจั้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนยื่นมือมาข้างหนึ่ง
ผลักผนังนั้นกลับด้าน
เป็นกำแพงกล
เมื่อผลักกำแพงกล มันไม่ใช่สุดทางของตรอกเลย แต่เป็นห้องลับแห่งหนึ่ง
“สำนักลับแห่งสู่ซาน คล้ายๆ กับหน่วยข่าวกรองของต้าสุย” สวีจั้งมองหนิงอี้ “นี่พัวพันไปทั้งต้าสุย การปฏิบัติการเทียบกับหน่วยข่าวกรองของเมืองหลวงไม่ได้แน่ แต่ในระยะโดยรอบสามพันลี้…นี่เป็นเจ้าปกครองเพียงหนึ่งเดียว”
หนิงอี้มึนงงเล็กน้อย
ม้วนกระดาษสีเหลืองกองซ้อนกันในห้องลับ แสงไฟวูบไหว เศษน้ำมันที่เหลืออธิบายได้ว่ามีคนผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้
หนิงอี้หยิบม้วนกระดาษที่กองบนโต๊ะมาม้วนหนึ่ง มันมีชื่อว่า ‘พบเห็นรัชทายาทต้าสุยพักหอนางโลม’ ไม่เห็นยังดี พอเห็นแล้วถึงกับตกใจ
รัชทายาทต้าสุยพักอยู่สถานเริงรมย์ในเมืองหลวงครึ่งเดือนเต็มๆ ข่าวกรองนี้เขียนเกี่ยวกับการสรรเสริญของรัชทายาท คิดว่าการกระทำของเขาเหลวแหลกแต่ก็มีประสิทธิภาพ ทำให้องค์ชายสองท่านข้างหลังดูถูกตน ทว่าสักวันจะชิงอำนาจขึ้นครองบัลลังก์
หนิงอี้วางลงด้วยความเขินอาย ก่อนเห็นเผยฝานหยิบ ‘ประวัติศาสตร์องค์ชายสาม’ ขึ้นมา ไม่นับว่าเป็นข่าวกรอง บางอย่างเหมือนชีวประวัติบุคคล เรื่องราว ยกตัวอย่างเช่นหญิงสิบสี่คนที่องค์ชายสามตกหลุมรักแรกพบ บรรยายว่าองค์ชายสามเป็นคนมักมากในกาม ไร้หัวใจและแค่อยากเที่ยวซ่องนางโลม
สวีจั้งชำเลืองตามอง “ข่าวกรองพวกนี้อาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง…องค์รัชทายาทเหมือนจะเป็นขยะไร้ความสามารถจริงๆ แต่องค์ชายสามก็เป็นคนที่เด็ดขาดจริงๆ”
หนิงอี้ถอนหายใจ “พวกนี้เขียนได้ไร้สาระจริงๆ…ดีที่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
“ไร้สาระหรือ” สวีจั้งแค่นยิ้ม “เจ้าจะเข้าใจอะไร ส่วนเกี่ยวอะไรหรือไม่…อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง”
บุรุษยืนหันหน้าเข้าผนังในห้องลับ ไม่หันกลับมา แค่เอ่ยนิ่งๆ “ที่นี่ได้แต่เข้ามาแต่ออกไปไม่ได้ ข่าวกรองที่ต้องการครั้งนี้สำคัญมาก ข้านัดศิษย์เขาสู่ซานไว้คนหนึ่ง น่าจะใกล้มาแล้ว พวกเจ้าระวังเรื่องภาพลักษณ์ด้วย”
หนิงอี้กับเผยฝานจัดระเบียบอาภรณ์อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ จากนั้นหันหน้าไปทิศทางที่มา
สวีจั้งยืนอยู่หน้ากำแพงข้างหลังพวกเขา ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ขมวดคิ้ว
‘ฟิ้ว…’
สองข้างกำแพงตรงหน้าเปิดออก หนิงอี้กับเผยฝานหมุนตัวกลับมาด้วยความมึนงง แสงตะวันสาดส่องเข้ามา คนที่เปิดกำแพงเป็นหนุ่มอ้วน มองสามคนด้วยความมึนงงเช่นกัน
คนอ้วนรับป้ายคำสั่งลับแห่งสู่ซาน ให้มาส่งข่าวกรองที่เมืองสันติ
แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าคนที่ยืนตรงหน้าตนจะเป็นบุรุษที่เคยเห็นในภาพเหมือน
คนเป็นๆ
“อะ อาจารย์อาสวี…ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือ”
คนอ้วนหน้าแข็งทื่อ เขาเดินทางในเขตต้าสุยตลอดทั้งปี เคยเห็นภาพเหมือนของอาจารย์อาตนมาแทบทุกเมือง และยังเป็นเกียรติที่ได้ยินข่าวว่าอาจารย์อาถูกสังหารบ่อยครั้ง ช่วงที่ผ่านมานี้ข่าวเกี่ยวกับอาจารย์อาค่อยๆ น้อยลง จนกระทั่งช่วงนี้เงียบหายไป ทำให้เขาคิดว่าอาจารย์อาที่ฆ่าไม่ตายคนนี้ สิ้นชีพลงในบั้นปลายชีวิตเช่นนี้
สวีจั้งมองค้อน ก่อนจะกลั้นใจไม่ถีบเจ้าอ้วนไว้ เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไร้สาระ หมายเลขสามสองเจ็ด ซูฝู ใช่หรือไม่ เอาข่าวให้ข้า แล้วก็ไสหัวไปได้”
ซูฝูอึ้งงัน ก่อนจะหัวเราะเหอะๆ แล้วนำม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าเอว ประเคนด้วยสองมือ จากนั้นเอ่ยด้วยความจริงใจทีละคำ “อาจารย์อาน้อย ผู้อาวุโสบนเขาคิดถึงท่านนะ อาจารย์อาสามรอท่านกลับไปทุกคืนวันเลย แทบจะเป็นมารคลั่งแล้ว”
สวีจั้งรับข่าวกรองมา นัยน์ตาฉายประกายซึ้งใจเสี้ยวหนึ่ง ก่อนจะตบบ่าคนอ้วน “บอกอาจารย์อาสามของเจ้า เร็วสุดอีกหนึ่งเดือน ข้าจะขึ้นเขา”
ซูฝูพูดอย่างนุ่มนวลมาก “เกรงว่าคงรอได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ได้ยินว่าท่านถูกสังหารในเทือกเขาประจิม อาจารย์อาสามดีใจเดิมพันไปพันตำลึงทอง ปิดรับเดิมพันแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ท่านไม่กลับมา อาจารย์อาสามจะต้องลงเขาไปปราบโจรถึงจะได้เงินคืน”
สวีจั้งแค่นยิ้ม “เหตุใดเขาไม่เดิมพันไปหมื่นตำลึงเลยล่ะ ข้าอยากให้เขาแพ้หมดจนต้องไปล้างห้องน้ำให้ตระกูลหลี่ในเมืองหลวงเลย”
หนิงอี้กับเผยฝานเกาศีรษะด้วยความเก้อเขิน
ซูฝูตาเป็นประกาย “อาจารย์อาน้อย…นี่คือศิษย์ใหม่ของท่านรึ หน้าตาดีจริงๆ ดูเป็นมังกรหงส์ในหมู่ชน จะต้องเป็นอัจฉริยะหนึ่งในหมื่นแน่ ภายภาคหน้าจะต้องไหลไปตามสายลมสายน้ำ เปล่งแสงสว่างจ้า ต้องมีอนาคตต่างกับท่านอย่างสิ้นเชิงแน่”
หนิงอี้เขินอายเล็กน้อย ใจคิดเจ้าอ้วนนี่ปากหวานจริงๆ ชมเกินไปหน่อยแล้ว จึงเขินอายขึ้นมา
ก่อนคนอ้วนจะย่อตัวลงมองเด็กสาว ยิ้มหยีตา “ศิษย์น้องหญิงน้อย ข้าชื่อซูฝู ซูจากคำว่าสบาย ฝูจากคำว่าผาสุก”
รอยยิ้มเขินอายของหนิงอี้แข็งบนใบหน้า เด็กสาวที่จับมืออยู่ตัวสั่น เห็นได้ชัดว่ากำลังฝืนยิ้ม
“เขาชื่อหนิงอี้ เป็นศิษย์ใหม่ของเจ้าหรุย”
คนอ้วนได้ยินนามของ ‘เจ้าหรุย’ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง สบตากับสวีจั้ง จากนั้นก็เข้าใจ หนังหน้าสั่นไหว ลมหายใจกระชั้นขึ้นมา
สวีจั้งมองคนอ้วนพลางยิ้มเย้าหยอก “ไม่ใช่นาง เป็นเขา นี่ เห็นชัดหรือไม่”
ซูฝูมองเด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้าตนและอ่อนกว่าตนหลายปี ตอนที่เขาเห็นโครงร่มนั้นในมือเด็กหนุ่มก็มองสวีจั้งด้วยความตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
สวีจั้งส่ายหน้าให้เขา สื่อว่าซูฝูอย่าเสียงดัง ก่อนจะพูดนิ่งๆ
“อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์อาน้อยอีก…อาจารย์อาน้อยของเขาสู่ซานตอนนี้คือหนิงอี้”
………………………