เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 27 งามแบบเป็นภัยต่ออาณาจักรและประชาราษฎร์
ตอนที่ 27 งามแบบเป็นภัยต่ออาณาจักรและประชาราษฎร์
ใบไม้ค่อยๆ ร่วงโรย
พุ่งทะยานไปอย่างบ้าคลั่ง
เด็กหนุ่มวิ่งห้อเหมือนวัวหัวดื้อ เหยียบเศษหญ้าและใบไม้ร่วง พลังทั้งตัวอัดแน่นเต็มแขนเสื้อ กระบี่ร่มฟันต้นไม้ใหญ่เท่าโอบแขนสองสามตนที่ขวางทาง
มีเพียงวิ่งถึงจะเผาแสงดาราได้
ในความคิดหนิงอี้ยังรู้สึกตัวอยู่เสี้ยวหนึ่ง
เขาอยากกลับไปในลานบ้านเล็กในเมืองสันติมาก เผยฝานยังรอตนอยู่
แต่เขากลับไปไม่ได้ สภาพแบบนี้จะกดแสงดาราได้หรือไม่ จะเข้าเมืองไปโดยไม่เป็นที่สนใจได้หรือไม่ยังเป็นปัญหา หากเข้าลานบ้านเล็กจริงๆ แล้วจิตสำนึกของตนเสียการควบคุม…จะเกิดอะไรขึ้น
ภาพจำของหนิงอี้พร่าเลือนมาก กระทั่งเขาจำไม่ได้ว่าเมื่อครู่ตนถือกระบี่อย่างไรถึงสังหารหัวหน้าโจรม้าขอบเขตที่สี่นั่นได้
เขาอยากระบาย
สิ่งที่หนิงอี้คิดได้คือการไปที่รกร้างห่างไกลผู้คน วิ่งจนเส้นเอ็นเหนื่อยล้า
เด็กหนุ่มออกแรงฟันกระบี่ร่ม พลังเหมือนทะเลทะลวงผ่านสองแขนเสื้อ ต้นไม้ใหญ่พากันล้มลง ถล่มทลาย ฝุ่นดินคละคลุ้ง ต้านความคมของกระบี่ร่มนี้ไม่ได้เลย
ในความเลือนราง ขลุ่ยกระดูกเหมือนจะสั่นไหวเบาๆ
เด็กหนุ่มวิ่งไปด้วยดวงตาแดงก่ำ
ความคิดเขาปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆ
วิ่งออกจากเทือกเขาร้าง วิ่งไปถึงป่า
วิ่งออกจากป่า ไปถึงภูเขาเล็ก
วิ่งออกจากภูเขาเล็ก วิ่งต่อไป ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนเหนื่อยล้าเล็กน้อย…
หนิงอี้วิ่งไปนานมาก ขลุ่ยกระดูกในอกเสื้อสั่นไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกถึงความหนาวและร้อนในปอดที่ไม่ได้หายไปตามการวิ่งของตน
แต่เขารู้สึกได้ว่า ที่นี่…เหมือนจะเป็นทางตัน
เงยหน้าขึ้น ที่ห่างไกลผู้คนแห่งนี้ มีอารามเงียบสงบอยู่แห่งหนึ่ง
อารามรู้กรรม
…..
น้ำร้อนในถังน้ำยังมีควันลอยขึ้นมา
กระจกทองแดงถูกตีแตก
ภายในห้องส่วนใหญ่เป็นของประดับไผ่ ถังอาบน้ำไผ่เขียว กระบวนไผ่ม่วง และยังมีม่านไผ่สีน้ำหมึก รวมถึงลูกแก้วผ้าห่มนวมสีขาวบริสุทธิ์บนเตียงไผ่
ผ้าห่มนวมถูกคนหยิบมาห่อไว้กับตัว ผ้าเช็ดตัวถูกโยนไว้ข้างๆ
เดิมทีภายในห้องเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก แต่ตอนนี้รกมาก
ฟ้ามืดครึ้ม
ตะเกียงไฟถูกฟาดแตก ดับอยู่ในละอองน้ำ
บนเตียง แขนเล็กสองข้างยื่นมานอกผ้าห่ม ขาวเนียนดั่งหยก และยังเปียกชื้นอยู่ เด็กสาวอยู่ตรงรอยเว้าบนเตียงเดี่ยว หุ้มไว้ทั้งตัว เปียกปอนไปหมด ขดตัวบนเตียง มือข้างหนึ่งจับผ้าห่ม อีกมือจับหมอนใยฝ้าย
ความจริงนี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมาก
มีเพียงคนที่ประสบเท่านั้นจะเข้าใจ
อากาศในห้องอยู่ในความเบาบางยิ่ง น้ำวนไร้รูปกดอยู่เหนือศีรษะเด็กสาว มีบางสิ่งที่มหาศาลและไร้รูปแผ่ออกมา สิ่งที่เป็นราคาต้องจ่าย…คือนางอยากจะกินอะไรบางอย่างแบบเร่งด่วน
แต่เด็กสาวกลับมีสีหน้าสงบนิ่งและสุขสบาย ฟันกัดผ้าห่มอย่างดื้อรั้น คิ้วขมวด มีหยาดน้ำตาเล็กๆ เหมือนชินชากับความเจ็บปวดนี้มานานแล้ว
สีหน้าเช่นนี้ หากคนอื่นเห็นเข้า…คงจะกินนางอย่างไม่ลังเล
เด็กสาวคนนี้คือผลที่หอมหวานที่สุดในโลก
ไม่มีใครต้านทานไหว
โรคกำเริบในวันนี้มาเร็วมาก เกิดล่วงหน้าหลายวัน อาตาบอดแห่งเขาสู่ซานจะมาเร็วสุดก็อีกสองวัน…
สติในความคิดเด็กสาวกระเจิดกระเจิงเล็กน้อย นางพลันรู้สึกสิ้นหวังนิดๆ
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น ดังมาถึงหูเด็กสาว เหมือนเสียงสวรรค์
คนนั้นหยุดชะงักนอกประตู จากนั้นเคาะด้วยความลนลาน
ในเงามืด ความคิดเด็กสาวลอยล่องไปถึงเส้นขอบฟ้านานแล้ว ได้ยินเสียงหยั่งเชิงเคาะประตู นางก็รู้ว่า ‘ยา’ ของตนมาถึงแล้วจึงเลิกผ้าห่มขึ้น วิ่งเหยาะๆ มาถึงหน้าประตู ระหว่างนั้นยังล้มหลายครั้งและยิ่งลนลาน ไม่รู้เพราะเหตุใดยิ่งเข้าใกล้ประตูนั้น หัวใจของนางก็ยิ่งสั่นไหวรุนแรงมากขึ้น
เหมือนเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่างมานานมาก
นางไม่เข้าใจความรู้สึกนี้…หมายถึงอะไรกันแน่
ทันทีที่เปิดประตู เสียงกับแสงสว่างของเด็กหนุ่มส่องทำลายโลกทั้งใบ
“มี…ใครอยู่หรือไม่”
……
สวีชิงเยี่ยนจมอยู่หน้าประตูบานนั้น ค้างอยู่ในท่าเปิดประตูไผ่
แสงสว่างข้างนอกอ่อนโยนและอบอุ่น แต่นางกลับไม่เคยเห็นแสงตะวันเลยตลอดทั้งวัน…ปกติก็ไม่เห็นแสงตะวันอยู่แล้ว เวลานี้รู้สึกแสบตานิดๆ
เดิมทีนางใบหน้าซีดขาว พอเห็นแสงตะวันก็ยิ่งขาวซีดไปอีกสามส่วน ตอนนี้มองเด็กหนุ่มนั่นด้วยความมึนงง
ความเจ็บปวดทะลวงหัวใจเหมือนจะหายไปชั่วขณะ แต่นางไม่รู้สึกตัว
เด็กสาวถูกเลี้ยงดูในห้องหับของสตรี ต่อมาก็อยู่ในอารามรู้กรรมสามปี พบเจอบุรุษน้อยมาก เด็กหนุ่มที่เคยพบ นอกจากพี่ชายแท้ๆ เมื่อหลายปีก่อนของตนก็มีเพียงคนเดียว
เด็กหนุ่มคนนี้ ผ้าคลุมดำถูกฉีกขาดวิ่น ผ้าขาดไปถึงเอว ตรงนั้นเป็นชุดเบาสีขาวสะอาด ผ้าคาดเอวผูกไว้แน่น เต็มไปด้วยเศษหญ้าและใบไม้ร่วง ในใบหน้าขาวซีดมีความแดงเรื่อ ส่วนลึกในดวงตามีสีแดงแปลกประหลาด ทว่าสีแดงนั้นเหมือนจะถอยไปช้าๆ…
เด็กสาวอึ้งอยู่สองลมหายใจ จากนั้นก็เบนสายตาไปมองตรงหน้าอกเด็กหนุ่ม จ้องตรงนั้นจริงจังมาก
หนิงอี้มองเด็กสาว พูดไม่ออกสักคำ นัยน์ตาฉายแววแปลกประหลาด ไม่ใช่แค่เพราะไข่มุกสองลูก…
แต่ยังตกตะลึง
เขาไม่เคยพบเด็กสาวที่งดงามเช่นนี้มาก่อน
ชีวิตในเมืองไร้มลทิน เขาเคยพบสตรีที่มีเบื้องหลังใหญ่โตจากตระกูลใหญ่พวกนั้น แต่ละคนเพริศพริ้งบาดตา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหรูหรามั่งคั่ง ต่อให้โยนไปก็ยังงดงามอย่างยิ่ง
แต่หนิงอี้ไม่ได้สนใจพวกนางเลย
เพราะมีเด็กสาวอยู่ข้างกายตน เผยฝานเกิดมาเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง ตอนเยาว์วัยก็เชื่อฟังและฉลาดมาก หนิงอี้รู้แก่ใจดี…หากเด็กนี่เติบใหญ่ เกรงว่าคงเป็นหญิงงามคนหนึ่ง สิบปีผ่านไป ตัวอ่อนคนงามได้เผยเงื่อนงำแรกออกมาแล้ว
น่าเสียดายก็แต่ใบหน้าของเผยฝานไม่อาจเทียบกับเด็กสาวคนนี้ได้
นี่เป็นความงามที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องหน้าอย่างหนึ่ง
เครื่องหน้า อายุ รูปร่าง ผิวพรรณ…มาตรฐานการตัดสินต่างๆ ในโลกนี้ยากจะบรรยายและกำหนดขอบเขตได้ หนิงอี้มองเด็กสาวคนนี้ อายุไม่มากแท้ๆ คิ้วและดวงตามีความเจ็บปวดเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับไม่มีความเยาว์วัย ไม่ได้น่าสงสารและอ่อนเยาว์ และยิ่งไม่ใช่สุกงอมและเป็นผู้ใหญ่
เป็นอะไรที่หนีห่างจากความเป็นมนุษย์
คือความเป็นเทพ
เด็กสาวคนนี้ เอกลักษณ์ที่มีในตัวไม่เหมือนมนุษย์ แต่เหมือนเทพในโลกอิสระมากกว่า
หนิงอี้รู้ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นใคร
สวีจั้งพูดไว้ไม่มีผิดเลย
เด็กสาวคนนั้น…หากใครได้พบ จะไม่มีวันลืมไปได้ชั่วนิรันดร์
ท่าทางของสองคนหยุดชะงักเล็กน้อย เด็กสาวมีสีหน้าสับสนและลังเล แต่ดูแล้วไม่มีทีท่าจะปิดประตู ขลุ่ยกระดูกของหนิงอี้สั่นไหวไม่หยุด เหมือนอยากจะดันหนิงอี้เข้าห้อง โดยเฉพาะเตียงที่ตอนนี้มองอยู่นอกห้องก็ยังดูเปียกชื้นชัดเจน
หนิงอี้กลั้นลมหายใจ ปฏิเสธแรงผลักดันของขลุ่ยกระดูก เขาไม่เคยเห็นขลุ่ยกระดูกปะทุจิตสำนึกของตนเองรุนแรงเช่นนี้มาก่อน
หลังจากเงียบได้ชั่วขณะ แววตาของสองคนสงบลง ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้เหมือนจะหายไป
วินาทีต่อมา พลังในความคิดตกลงมาดังสนั่น เหมือนค้อนหนักทุบตรงหน้าอกหนิงอี้
ขณะเดียวกัน เด็กสาวหน้าซีดขาวเช่นกัน สองมือจับประตู แทบจะยืนไม่อยู่
คนนอกยากจะอธิบายได้ ความเจ็บปวดที่พวกเขาประสบ…เป็นความเจ็บปวดที่ไร้มนุษยธรรมเพียงใด
อดทน อดกลั้น แทบจะระเบิด
หนิงอี้หน้าขาวซีด ชี้ไปที่เตียงไผ่นั้นในห้อง ขลุ่ยกระดูกนำทางไปเรื่อยๆ…ตรงนั้นเหมือนจะมีสิ่งเย้ายวนยิ่งยวดบางอย่าง
เขาพูดเสียงแหบแห้ง “ข้าอยากเข้าไป…นั่งสักหน่อย แค่นั่งสักเดี๋ยวได้หรือไม่”
เด็กสาวลังเล นางนึกถึงคำเตือนต่างๆ ที่คนอื่นเตือนมา แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้า
นางชี้ไปที่หน้าอกของหนิงอี้ ใบหน้าซีดขาวเช่นกัน มีเสียงหึดังมาจากจมูก
“อืม…ข้าต้องการสิ่งนั้นของเจ้า”
…..
ภายในห้องมีคนกดเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด
มีคนกลั้นเสียงครวญครางมีความสุขไม่ไหว…
ถึงช่วงสุดท้ายเป็นความเงียบ มืดแล้ว แสงสว่างหายไป น้ำวนบนห้องสลายไปเช่นกัน เด็กหนุ่มนั่งเหม่ออยู่ข้างเตียง แววตาว่างเปล่าและเฉยชา แน่นอน…เขาคือสิ่งนั้นที่เจ็บปวด ความหนาวสุดขั้วและร้อนสุดขั้วของไข่มุกสองเม็ดถูกเขาหลอมละลายไปหมดแล้ว น้ำวนบนห้องรวมเป็น ‘วัตถุ’ ที่เปล่งแสงอ่อนกลุ่มหนึ่ง เหมือนแสงดาราแต่มีคุณสมบัติต่างกัน ตนละลายพลังสองกลุ่มนี้ ได้ประโยชน์จากแสงลึกลับพวกนี้
เด็กสาวจุดเทียนในห้อง นางส่งขลุ่ยกระดูกคืนหนิงอี้
ขลุ่ยกระดูกเป็นของที่หนิงอี้รักษาเท่าชีวิต เป็นไพ่ตายที่สำคัญที่สุด
แต่ตอนที่หนิงอี้มอบให้เด็กสาว…กลับไม่มีความลังเล กระทั่งไม่สงสัยแม้แต่นิด
เด็กสาวเช่นนี้ เอ่ยคำขอใดก็ทำให้คนปฏิเสธไม่ได้
จนถึงก่อนที่น้ำวนเหนือศีรษะหนิงอี้หายไป เด็กสาวยังไม่วางมือ ขลุ่ยกระดูกยังคงกินแสงสว่างที่กระจายมาจากฝ่ามือนางไม่หยุด ในขั้นตอนทั้งหมด เด็กสาวส่งเสียงเบาสุขสบายมาจากปลายจมูกตลอด
เด็กสาวปีนขึ้นเตียง หนิงอี้นั่งบนเตียงอย่างซื่อตรง มองเด็กสาวออกแรงผลักหน้าต่างไผ่ อยากจะเพิ่มแรงเข้าไป แต่สุดท้ายก็เลิกคิด ก้มหน้าเพราะละอายใจ
เด็กสาวคลุมแค่ชุดกระโปรงนอนสีขาวเรียบง่าย เส้นผมยาวสยาย มีความเปียกชื้นนิดๆ ส่วนเว้าโค้งเรียวบาง อ่อนหวานดึงดูดคน…หลังปีนขึ้นเตียง ใต้ชุดกระโปรงยังเผยต้นขาที่ขาวยิ่งกว่าผ้า…นางเหมือนจะไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอะไร
ผลักหน้าต่างไผ่ แสงดาวสุกสกาวข้างนอก
นางขมวดคิ้ว ก่อนหันมา ในน้ำเสียงเยาว์วัยมีความแหบแห้งเล็กๆ
“เจ้าคือคนเขาสู่ซาน…”
นางยังไม่ทันพูดจบ หนิงอี้ก็พยักหน้า “ข้าคือผู้บำเพ็ญของเขาสู่ซาน…ข้าชื่อหนิงอี้”
หนิงอี้…นางท่องนามนี้เงียบๆ
หนิงอี้นั่งเป็นไม่สุข มองผ่านหน้าต่างไปเห็นแสงดาราเต็มฟ้า ใจนึกว่ากลางวันตนออกไปฆ่าคน กลางคืนยังไม่กลับ…ไม่มีข่าวคราวแม้แต่นิด ในลานบ้านเมืองสันติคงจะร้อนใจกันใหญ่แล้วกระมัง
“ข้าชื่อสวี…”
“แม่นางสวี เจ้างดงามจริงๆ ข้าจะจดจำเจ้าไว้”
หนิงอี้สีหน้าเก้อเขิน รีบร้อนลุกขึ้น ผลักประตู จากนั้นวิ่งเหยาะๆ ออกไป
สวีชิงเยี่ยนมองภาพนี้ด้วยความมึนงง รู้สึกขบขันเล็กๆ นางเอียงตัวหยิบกระจกขึ้นมา ก้มหน้าหลุบตาลง เพ่งพินิจใบหน้ารูปไข่นั้นของตน เล็บมือจิกเข้าไปในฝ่ามือ ก่อนจะเยาะเย้ยตนเองด้วยความปวดใจเล็กๆ
……………………