เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 28 แสงหนึ่งในคืนมืด (1)
ตอนที่ 28 แสงหนึ่งในคืนมืด (1)
เผยฝานเอาผ้าผูกเอวไว้อย่างดี หัวธนูในกล่องธนูมีทั้งหมดสิบเก้าดอก ใส่มากกว่านี้จะถ่วงและหนัก นางกัดเชือก สองมือมัดผมยาวไว้ข้างหลัง สุดท้ายสวมผ้าคลุมดำตัวใหญ่ แบกคันศร เหมือนนายพรานสาว ผลักประตูบ้านออกไปเงียบๆ โยนกุญแจบ้านไว้บนสันกำแพง ก่อนย่อตัวลงยกกระถางดอกไม้ขึ้น เขย่งเท้าวางทับกุญแจไว้
หนิงอี้รู้ว่าตนวางกุญแจไว้ที่นี่
หากเขากลับมา เขาจะเปิดประตูได้
แต่เขายังไม่กลับ
ออกไปฆ่าคนยามกลางวันจนตกดึกก็ยังไม่กลับมา
เผยฝานพลันร้อนใจขึ้นมา นางตรวจดูว่าปิดประตูแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยถึงหมุนตัวเดินผ่านถนนใหญ่ตรอกเล็กเมืองสันติไปอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว บางคนจับตามองเด็กสาวที่ดูเหมือนมาจากตระกูลนายพรานคนนี้…การแต่งตัวหยาบๆ รีบร้อนออกจากเมือง เหมือนไปหาของสำคัญบางอย่างที่ทำหายไป
แสงตะวันยามโพล้เพล้ลากเป็นเงาทอดยาว นางข้ามผ่านกลางเงามืดและแสงสว่าง ใบหน้าเยาว์วัยในผ้าคลุมดำขมวดคิ้ว นอกจากความโกรธแล้ว…ก็มีความร้อนใจ
นางพุ่งทวนสายลม หลังออกจากเมือง เผยฝานเริ่มวิ่งห้อเลียบไปตามถนนเล็ก กำคันศรไว้แน่น แสงดาราเหนือศีรษะนางแกว่งไกวตามสายลม ทำให้นางค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
กายและจิตของผู้บำเพ็ญแตกต่างจากคนอื่น ต่อให้เป็นแค่ระดับต้น…หลังจากทะลวงปราการแลกเปลี่ยนของแสงดาราได้ จะทำให้วิ่งได้เร็วกว่าคนปกติ ถึงแม้จะตามม้าไม่ทันก็ตาม
เผยฝานหายใจกระชั้น นางไปยังถนนหลวงเก่าที่ดักปล้นสินค้า ป่าเขารกร้าง มีร่องรอยเกิดไฟไหม้ แต่ไม่เห็นรถม้าหรือการหยุดของสิ่งของใดๆ สินค้าพวกนั้นถูกย้ายไปแล้ว บนพื้นยังมีคราบเลือด เคยเกิดการต่อสู้ดุเดือดที่นี่…แล้วคนล่ะ
หนิงอี้ล่ะ
เผยฝานรู้ว่าด้วยนิสัยของสวีจั้ง…ขอแค่หนิงอี้ไม่บาดเจ็บถึงตายก็จะไม่ออกมือช่วยเด็ดขาด แต่หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น ถ้าหนิงอี้บาดเจ็บสาหัส เป็นอัมพาตไปครึ่งตัว ไม่ฟื้นขึ้นมาจะทำอย่างไร
“หนิงอี้!”
เผยฝานเอาสองมือป้องปากตะโกนเสียงดัง
นางเฝ้ารอให้มีเสียงกลับมาสักนิดจากสักที่ในจุดที่สายตานางมองไม่เห็น ให้คนนั้นนอนอยู่บนพื้น ส่งเสียงตอบกลับอย่างอ่อนแรง เพื่อยืนยันว่าตนมาตามหาครั้งนี้…ถูกต้อง ทันเวลาและมีความหมาย
ทว่าเด็กสาวหาด้วยความสับสนอยู่รอบหนึ่ง หาไปทั่วกลับเงียบเป็นเป่าสาก สายลมพัดใบไม้ร่วง หมุนวนรอบกายตน ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่มีเสียงใดเลย
ฆ่าคนวางเพลิง…ฆ่าคนแล้ว เพลิงก็วางแล้ว เหตุใดยังไม่กลับบ้าน
เผยฝานกัดริมฝีปากแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก
นางพยายามจัดระเบียบความคิดในหัวตนเองให้ชัดเจน นางอยากหาหนิงอี้พบ นางรู้ความชอบทุกอย่างของหนิงอี้ และรู้เหตุผลที่หนิงอี้ไม่กลับบ้าน
นางรู้ว่าสำหรับหนิงอี้แล้ว การทะลวงพลังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ว่าการดักปล้นสินค้าครั้งนี้จะยากเพียงใด เขาก็ต้องทำให้ได้
เด็กสาวถือคันศรเริ่มวิ่งอีกครั้ง นางเลียบไปตามถนนเล็กเขารกร้าง วิ่งไปทีละเส้น ฟ้ามืดลงทีละนิด สายตาพร่าเลือน แสงดาราที่เผยฝานรวมออกมาได้ไม่มากเริ่มหายไปทีละนิดขณะวิ่งไปเรื่อยๆ
บางสิ่งหายไปในชีวิต เผยฝานเป็นเด็กสาวที่ความจำดีมากคนหนึ่ง แต่นางมักทำเชือกมัดผมหายเป็นประจำ ทำชามในอารามเทือกเขาประจิมแตกไปไม่รู้เท่าไร ของเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น…หากทำแตก ทำหายไปก็รู้สึกเสียดายเล็กๆ เท่านั้น เชือกมัดผมหายก็ซื้อใหม่ ชามแตกก็เปลี่ยนใหม่ได้
แต่มีบางอย่างที่หายไปแล้วเอากลับมาไม่ได้อีก
สามพันหกร้อยวัน จังหวะหายใจของชีวิตค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียว ในอารามโพธิ์เมื่อสิบปีก่อน ธูปไหม้หมดดอก เผยฝานก็ยังไม่เจอคนที่จะมารับตน นางก็ยิ่งเข้าใจได้ว่าคนที่ดีกับตนจริงๆ มีเพียงหนิงอี้
ดังนั้นนางจึงเริ่มชินกับชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานในชนชั้นล่างยุทธภพกับเด็กหนุ่มในเมืองไร้มลทิน นางรู้ว่าบางครั้งมีบางคนรังเกียจตน
เวลาส่วนใหญ่นางไม่ชอบหนิงอี้ หนิงอี้บังคับให้ตนเรียกเขาพี่ แต่หนิงอี้ก็ทำบะหมี่ให้ตนกิน
เจอกับอันตราย มีเขาอยู่ข้างกาย ต่อให้เห็นหนิงอี้มือสั่น นางก็รู้สึกปลอดภัย
เศษความทรงจำหลั่งไหลเข้ามา เผยฝานวิ่งไปเงียบๆ นางแค่รู้สึกว่า…หากวันใดตนเสียหนิงอี้ไป นางก็จะตามหาไปชั่วชีวิต
…..
เสียงลมในยามค่ำคืนพัดผ่าน เสียงตะโกนของเด็กสาวดังปะปนในสายลม เสียงตะโกน ‘หนิงอี้’ ‘หนิงอี้’ ดังครั้งแล้วครั้งเล่า ป่าเขารกร้างเช่นนี้…ย่อมไม่มีคนอยู่ เสียงเด็กสาวกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินเหมือนคำว่า ‘หนิงอี’ ในสายลม สุดท้ายเปลี่ยนเป็นแซ่อย่างเดียว
“หนิง”
บางทีอาจเป็นเพราะความร้อนใจจากส่วนลึกในใจเผยฝาน ในที่สุดก็รู้สึกถึงฟ้า แสงดาราบนฟ้าได้ยินความรู้สึกของเด็กสาว ในที่สุดก็มีคนได้ยินเสียงตะโกนของเผยฝาน
แผ่นดินใหญ่เทือกเขารกร้าง เสียงเท้าม้าในความมืดดังเข้ามาช้าๆ โจรที่บาดเจ็บล้มตายอนาถกระจายกันล้อมม้าดำตัวหนึ่ง เดินบนถนนหลวงโดยเว้นช่วงระยะห่างหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียว ดูน่าเวทนา เหลือราวๆ ยี่สิบสามสิบคน
บุรุษที่ขี่ม้าเพียงหนึ่งเดียวอาบเลือดไปทั้งตัว สีหน้าดูเหนื่อยล้าสุดขีด เมื่อได้ยินเสียงตะโกนก็ขมวดคิ้วด้วยความระแวง “เสียงอะไร”
“ท่านรองหัวหน้า…เป็นเสียงเด็กสาว” บุรุษที่จูงม้าเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยล้าเช่นกัน “ฟังดูเหมือนกำลังเรียกสหายของตน…”
บุรุษที่เป็นผู้นำรู้สึกว่าเสียงเด็กสาวเช่นนี้ดูคุ้นหูนิดๆ จึงพูดเงียบๆ “ขึ้นไปดูบนเขา”
ข้ามเขารกร้างเล็กลูกหนึ่งไป บุรุษขี่ม้าไม่ได้จุดคบเพลิง แสงดาราเหนือศีรษะเขาวูบไหวช้าๆ ส่วนลึกของดวงตาสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ สะท้อนออกมาเป็นเงาเด็กสาวสวมผ้าคลุมเนื้อหยาบ
“ดูคุ้นๆ…เป็นเจ้าสามคนนั้นแห่งตระกูลหลี่เมืองหุบเขาฟางรึ” บุรุษจูงม้าหรี่ตาลง เอ่ยว่า “สังหารพี่น้องกลุ่มหิรัญเราไปหลายสิบคน…เด็กสาวนั่นตะโกนเรียกหลี่อีรึ”
“ใครจะสนว่ามันเป็นหลี่อีหรือหลี่เอ้อ” บุรุษขี่ม้าเงียบอยู่ชั่วครู่ จากนั้นพูดขึ้น “เด็กหนุ่มนั่นสุดยอดมาก ก่อนหน้านี้เขาพูดไว้ไม่ผิด…ล่วงเกินเขา กลุ่มหิรัญเราจบเห่”
บุรุษจูงม้ามีสีหน้าเจ็บปวดเสี้ยวหนึ่ง
“สินค้าครั้งนี้สำคัญกับองค์ชายรองมาก พวกเราเกือบจะชิงมาได้แล้วเชียว” มีคนข้างรองหัวหน้าจุดคบเพลิงขึ้น แสงไฟริบหรี่สะท้อนใบหน้าบุรุษที่เต็มไปด้วยคราบเลือด เขาพูดเสียงแหบแห้ง “แต่เราไม่ได้สินค้านั่น หัวหน้ากลุ่มซ่างกวนยังถูกเขาสังหาร และยังไปล่วงเกินคนใหญ่โตแห่งแดนตะวันตกอีก แผนพังหมดแล้ว…หากไม่หนี พวกเราก็ต้องตาย”
บุรุษที่ขี่หลังม้ายื่นมือมาข้างหนึ่ง พลันมีคนส่งคันธนูมาให้
ในสายตาเขา เด็กสาวที่วิ่งในป่าเขารกร้าง อาจจะเพราะวิ่งมานานมาก แสงดาราหมดไปแล้ว สองมือยันหัวเข่า ใบหน้าซีดขาว หอบหายใจแรง นางจึงไม่สังเกตเห็นเลยว่าบนเขาเล็กห่างไกล กลางแสงไฟริบหลี่มีคนถือคันศร กำลังเล็งตนอยู่ไกลๆ
มีคนพูดเสียงเบาในเงามืด
“พี่ชายเจ้าเก่งมาก เขาสังหารหัวหน้ากลุ่มในกระบี่เดียว…ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว”
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่ากลุ่มหิรัญจะจบสิ้นลงเช่นนี้” ในอารมณ์ความรู้สึกของรองหัวหน้าไม่เห็นถึงความเจ็บปวดใดๆ เลย แต่ท่าทางการจับธนูของเขากำลังสั่นไหวเบาๆ ในน้ำเสียงมีความเคียดแค้นและชิงชัง กัดฟันพูดด้วยความโกรธ “ฆ่าแลกด้วยฆ่า ชีวิตแลกด้วยชีวิต”
คันศรสั่นไหว ทันทีที่ลูกศรเล็งไปที่เด็กสาวที่ยันเข่าอยู่และปล่อยออกไปนั้น เด็กสาวนั่นพลันก้มหน้าลง ก่อนจะกระโจนออกไปข้างหน้า
ลูกธนูปล่อยออกไป!
เสียง ‘ฟิ้ว’ ทะลวงระยะห่างร้อยจั้งในคืนมืด ลูกธนูที่พุ่งลงมาจากที่สูงทำให้แสงไฟสองข้างคนที่ยิงธนูในเงามืดสั่นไหว แต่กลับเพียงแค่เฉียดผ่านผ้าคลุมเนื้อหยาบของเด็กสาว เผยฝานกระโจนลงพื้น กลิ้งไปหนึ่งรอบ หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
นางดึงหัวธนูออกมา ขณะหายใจอย่างรุนแรง ก็ใส่ลงในคันศร
ทันทีที่แสงไฟไกลๆ กลุ่มนั้นสว่างขึ้น นางก็สังเกตเห็นแล้ว เผยฝานมาตามหาหนิงอี้ นางจึงเพ่งสมาธิมองไปรอบๆ ตลอด หลังตนตะโกน ก็เกิดแสงไฟริบหลี่ขึ้นข้างหลัง ทำให้นางรู้สึกไม่เป็นสุขยิ่งกว่าเดิม
จนถึงตอนที่ความรู้สึกกดดันแผ่เข้ามาลับๆ
หนิงอี้เคยพานางออกไปล่าสัตว์ในป่า เอาธนูไม้เก่าลองยิงล่ากวางป่ากับหมูป่า สัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าพวกนั้น จะเจอกับอันตรายถูกนายพรานล่าตลอดทั้งปี จึงมีความระมัดระวังสูงมาก ตอนที่หัวธนูเล็งพวกมัน ก็จะรู้สึกถึงอันตรายโดยธรรมชาติทันที ทำให้พวกมันคาดการณ์อันตรายได้ล่วงหน้าและหลบได้
ดังนั้นเผยฝานจึงโผไปโดยไม่คิด ลูกธนูนั้นเฉียดผ่านผ้าคลุมหยาบ มาพร้อมกับความร้อนสูง การไหลเวียนร้อนๆ ปักกับพื้นดินไกลๆ เกิดเป็นดินแตกเล็กน้อย ปลายลูกธนูสั่นไหวไม่หยุด สุดท้ายสงบลงช้าๆ
เผยฝานหายใจหนักหน่วง
นางไม่มีเวลาคิดมากนัก เสียง ‘ปัง’ ดังมาจากข้างหลังนาง ต้นไม้ใหญ่นั้นถูกธนูยิงอย่างแรง แรงของธนูนั้นมากพอ ใบไม้ร่วงลงมาบนศีรษะเผยฝานจำนวนมาก เด็กสาวขมวดคิ้วเงียบๆ ได้ยินเสียงเผาไหม้ดังซ่าๆ ใบไม้ร่วงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เปลวเพลิงลุกลามไปทั่วต้นไม้
นั่นคือหัวธนูจุดสะเก็ดไฟ ปักบนต้นไม้ใหญ่ น่าเสียดายที่ไม่ทะลวงต้นไม้ใหญ่ ไม่อย่างนั้นตำแหน่งของหัวธนูนั้นจะทะลวงกะโหลกศีรษะเด็กสาวไปครึ่งหนึ่งพอดี
เผยฝานพยายามกลั้นหายใจให้ตัวเองใจเย็นลง มาถึงสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใจเย็นไว้
สวีจั้งพาหนิงอี้ไปสังหารคนหนึ่งเดือน เผยฝานก็มองอยู่บนเขาหนึ่งเดือน
คนสอนฆ่าคนไม่ใช่นาง คนเรียนฆ่าคนก็ไม่ใช่นาง นางฆ่าคนไม่เป็น
แต่ตอนนี้สวีจั้งไม่อยู่ หนิงอี้ก็ไม่อยู่
นางจะทำอย่างไร
เด็กสาวพกคันศรนักล่า นางมองหัวธนูที่ขึ้นลำไว้เงียบๆ ท่ามกลางเปลวเพลิงหมุนวน นางพลิกตัวออกไป ชั่วพริบตาเดียวก็ง้างคันศรและปล่อยออกไป พริบตาที่แสงดาราของขอบเขตแรกเสริมเข้ากับคันศร แรงมหาศาลได้ง้างลูกธนูแตกทั้งอัน
เสียงดัง ‘ปัง’ ลูกธนูทะลวงผ่านเปลวเพลิงพุ่งออกไป
ท่ามกลางคืนมืด รองหัวหน้ายิงคันศรยาวเช่นกัน คันศรใหญ่ที่สร้างขึ้นสำหรับผู้บำเพ็ญสามารถรับแรงดึงของผู้แข็งแกร่งสามขอบเขตกลางได้ ตอนนี้ง้างคันศรได้สบายๆ เป็นธรรมชาติและง่ายเหมือนดื่มน้ำ
เส้นสีเงินสายหนึ่งขยับวูบในคืนมืด เสียงระเบิดกังวานและทรงพลังดังขึ้นแทบจะพร้อมกันในทันทีที่สองธนูชนกัน
หลังจบหนึ่งคนหนึ่งธนู คืนมืดกลับสู่ความเงียบ
รองหัวหน้าบนเนินเขาง้างธนูดอกที่สี่เงียบๆ เล็งไปที่เด็กสาวที่ไม่มีลูกธนูและคันศรหักนั้น
………………………