เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 29 แสงหนึ่งในคืนมืด (2)
ตอนที่ 29 แสงหนึ่งในคืนมืด (2)
เผยฝานคลำเจอหัวธนูเรียวยาวดอกที่สอง
หากวัดกันที่ความเร็วในการขึ้นธนู…การปะทุพลังของนางในยามคับขัน กระทั่งเร็วกว่ารองหัวหน้าที่ยืนบนเขาอย่างไม่เร่งรีบหนึ่งส่วน
หากธนูนี่ไม่พัง
ภายใต้การทะลวงของลูกธนูเพลิงนั้น ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ร่วงปลิดปลิวในคืนมืด เด็กสาวที่ขึ้นลูกธนูบนแขนท่ามกลางทะเลเพลิง สุดท้ายล้มเลิกความคิดที่จะยิงธนูนั้นออกไป
ลูกธนูเรียวยาว ตัวธนูดำเมี่ยม เปลวเพลิงสีดำไหลหลาก แต่คันศรยาวที่ดึงส่วนก้นลูกธนูไว้…หักแล้ว
นี่เป็นเพียงธนูนักล่าธรรมดา
เผยฝานประเมินการระเบิดศักยภาพแฝงของแสงดาราตนต่ำเกินไป ภายใต้การใช้กำลังทั้งหมด ธนูนักล่าที่ทำจากคนธรรมดารับแรงกดดันมหาศาลไม่ไหวเลย
นางเริ่มวิ่งทันที
แสงเงินสายหนึ่งพุ่งไปกลางทะเลเพลิง
รองหัวหน้าที่ยืนอยู่บนเนินเขา ธนูดอกนี้ไม่ได้เล็งที่แก้มเด็กสาว แต่เบนทิศทางเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง
ซวบ ปล่อยธนูไปทางเด็กสาวที่กำลังวิ่ง ลูกธนูนั้นเร็วมาก ง้างบนคันศรจนตึง แรงทั้งหมดหลังดึงจนเต็มแล้วพลันหายไปในคืนมืดตามการปล่อยสองนิ้วมือที่จับลูกธนู
เส้นผมมัดหนึ่งถูกตัวธนูที่หมุนวนลากผ่าน เส้นผมยาวที่เด็กสาวมัดไว้ถูกกระจายออก แสงไฟหมุนม้วน เด็กสาวที่วิ่งอยู่มีรูปร่างอรชร เหมือนหิ่งห้อยยามค่ำคืน
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมเนื้อหยาบสีดำ ถูกบุรุษตาดียิ่งจับได้
นั่นเป็นใบหน้าเด็กสาวที่เยาว์วัยและใสบริสุทธิ์ เห็นความดื้อรั้นที่มีฐานะต่ำต้อยเสี้ยวหนึ่ง เอกลักษณ์ในตัวกลับไม่ใช่คนธรรมดาเลย
รองหัวหน้าง้างธนูดอกที่ห้า คันศรขยับตามสายตา เขามองไปยังหลังต้นไม้ใหญ่อีกต้นติดกันไม่ไกลที่เด็กสาวไปซ่อนตัว
บุรุษที่ขี่ม้าไม่รู้คิดอะไรบางอย่างเงียบๆ เขามองต้นไม้ใหญ่นิ่งๆ รู้ว่าเด็กสาวที่ซ่อนหลังต้นไม้ไม่มีแรงต่อต้านใดๆ แล้ว ไม่ว่าจะฆ่าหรือทำอย่างอื่น…ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของตน
ตอนที่เห็นใบหน้าด้านข้างเด็กสาว เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง เมื่อสายตาเขามองไปทั้งตัวเด็กสาว เด็กสาวนั่นรีบร้อน ผ้าคลุมดำปลิวไสวไปทั้งตัว เผยเอวบางขาวเนียน ขณะเดียวกัน ตรงเอวยังมีป้ายคำสั่งอันหนึ่งผูกด้วยเชือกสีแดงสะบัดไปมา
นั่นคือป้ายคำสั่งโบราณ รองหัวหน้าเหมือนเคยเห็นมาก่อน เขาพลันเพ่งสายตาไปที่ป้ายคำสั่งแกะสลักดอกบัวนั้น
ตอนที่เขาตั้งสติกลับมาได้ก็เหมือนยืนบนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรก เงยหน้าขึ้นเห็นผืนดาราเหนือศีรษะ อีกทั้งยังเกิดการเชื่อมต่อกับดาราบางดวงอย่าง
นั่นคือความตื่นตะลึงอย่างหนึ่งและเป็นความสับสนอย่างหนึ่ง เป็นระดับชั้นที่มดปลวกตัวจ้อยรู้สึกถึงความกลัวและเข้าใกล้ไม่ได้
หากก่อนหน้านี้เขาไม่ก่อหายนะฆ่าตัวตาย แต่ตรวจสอบสาเหตุโดยละเอียดก่อน เขาจะเข้าใจลางสังหรณ์นั้น สั่งให้ลูกน้องหยุดมือ จากนั้นถอยไป…ออกไปจากที่กันดารแห่งนี้ หนีภัยไปสุดหล้าฟ้าเขียว
แต่กลุ่มหิรัญจบสิ้นแล้ว
หัวหน้าซ่างกวนก็ตายแล้ว
ในเมื่อทุกคนจบสิ้นกันหมดแล้ว…เหตุใดยังต้องสนใจสิ่งที่จะทำลายตนเองพวกนั้นล่ะ
บุรุษกลับมาใจเย็น เขายังอยู่ในท่าง้างคันศร เล็งต้นไม้ใหญ่นั้น พูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาและเย็นเยือก “จับนางมา อย่าทำร้ายนาง”
ไม่ใช่แค่รองหัวหน้า คนที่ขึ้นเขาแทบทุกคนเห็นรูปลักษณ์เด็กสาว
เดินในเขตรกร้าง บางครั้งเงินทองก็เป็นอันตรายอย่างหนึ่ง บางครั้งเกิดมางดงาม…ก็เป็นอันตรายอย่างหนึ่ง
เจ้าไม่มีวันเข้าใจ พวกเดนตายที่ผูกชีวิตไว้ตรงเอวพวกนั้น ในหัวมีอะไรบ้าง
ไม่ว่าจะเทือกเขาประจิมหรือต้าสุย เวลาปล้นเมื่อเปิดผ้าคลุม โจรที่เห็นใบหน้านั้นแล้วเปลี่ยนความคิดมีนับไม่ถ้วน
มีคนหายใจกระชั้น มีคนกลั้นความเจ็บปวด มือกดที่ด้ามกระบี่
มีคนเหมือนจะลืมความเจ็บปวดไปทั้งตัว ชักดาบขึ้นอย่างเงียบงัน จากนั้นเริ่มวิ่ง
ไม่กี่ลมหายใจ คนยี่สิบสามสิบคนเริ่มวิ่งในเทือกเขารกร้าง พื้นดินสั่นสะเทือน
มีเพียงรองหัวหน้าที่สองนิ้วมือกดที่ปลายธนู ยกแขนขึ้นเฉียดผ่านกลางเปลวไฟของคบเพลิง หลับตาลงข้างหนึ่ง กลางแสงไฟที่พวยพุ่งของปลายธนู สังเกตเห็นทิศทางของเด็กสาว ธนูนี้…ใช้ปิดทางหนีของนางได้ตลอดเวลา
ฟ้าดินมืดครึ้ม
เด็กสาวที่พิงต้นไม้ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนบนพื้น นางกัดริมฝีปากแน่น ห้านิ้วมือรูดแขนเสื้อขึ้นเงียบๆ ปลายแขนเสื้อนางเผยข้อมือขวาขาวราวหิมะ มีตำหนิแดงเหมือนโลหิตอยู่
ข้างกายนางไม่มีกระบี่ ไม่มีดาบ ต่อให้มี นางก็ใช้ไม่เป็น
นางมีเพียงลูกธนูที่ไม่ถือว่ายาวดอกหนึ่ง ปลายธนูยังถือว่าแหลมคม กำตรงกลางไว้แน่น จากนั้นจิกปลายนิ้วเข้ากลางฝ่ามือ แทบจะเลือดออก ลูกธนูในกล่องธนูยังมีอีกสิบเจ็ดดอก…หากคันศรยังอยู่ดี นางคงไม่มีทางสังหารทุกคนได้
เผยฝานพิงต้นไม้ นางพลันรู้สึกสิ้นหวังนิดๆ ไม่ใช่แค่เพราะได้ยินเสียงพื้นดินสั่นสะเทือน รู้ว่าโจรพวกนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…ความรู้สึกกดดันจากแผ่นหลังยังคงเป็นเงามืดไม่หายไป บุรุษที่ง้างธนูเล็งตนบนเขานั้นยังคงไม่ล้มเลิกยิงใส่ตน
เผยฝานหลับตาลง
ในความคิดมีเสียงทุ้มต่ำดัง ‘ปัง’ อีกครั้ง แรงธนูครั้งนี้มหาศาลมาก กระแทกจนเผยฝานตัวสั่น นางได้ยินเสียงเปลวเพลิงลุกแผดเผาใบไม้ร่วงโรย รู้สึกถึงอุณหภูมิข้างหลัง จากนั้นตะเบ็งเสียงตะโกน ครั้งนี้ตะโกนดังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“หนิง! อี้!”
ทุกคนได้ยินนามหนิงอี้ชัดเจน
จากนั้นโจรที่ถือดาบวิ่งเข้ามาคนแรก ยังไม่ทันข้ามผ่านขอบเขตเปลวเพลิง สายตาก็ชำเลืองตามองไปเห็นร่างเงาที่ทำให้เขาแทบจะวิญญาณออกจากร่าง
นั่นเป็นเด็กหนุ่มที่พุ่งเข้ามาจากไกลๆ ด้วยความเร็วสูงสุด มองเห็นท่าทางสองเท้าเหยียบพื้นไม่ชัดเลย ควันลอยโขมง แก้มเด็กหนุ่มแทบจะแนบไปกับพื้น ใบหน้าขาวดูซีดเซียวและร้อนใจในเปลวเพลิง ไม่รู้วิ่งมานานเท่าไร ความเร็วยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด แสงดาราเหนือศีรษะสว่างจ้าน่ากลัว ดูดกินแสงสว่างทั่วสารทิศอย่างบ้าคลั่ง
เหมือนกับแสงพุ่งขึ้นฟ้าในคืนมืด
เผยฝานหน้าซีดขาว มองเด็กหนุ่มถือร่มพุ่งเข้ามาด้วยใบหน้าโกรธแค้นสุดขีด
คนหนึ่งคนพุ่งเข้ามากลางกระแสดาบและกระบี่ของคนยี่สิบสามสิบคน
มีคนจำเขาได้
นั่นคือเด็กหนุ่มที่ถือร่มตอนเที่ยงคืนในวันฝนตกหนักและสังหารผู้คนนานหนึ่งเดือน!
นั่นคือเด็กหนุ่มที่ใช้กระบี่เดียวสังหารหัวหน้าของตน สังหารคนสามสิบสี่สิบคนอย่างง่ายดาย!
คนนั้นชื่อหนิงอี้รึ
คนนั้นชื่อหนิงอี้!
เมื่อเห็นชัดเจน พวกเขาก็ล่าถอยทันที
คนที่หยุดไม่ทันไม่มีทางให้ถอยแล้ว ได้แต่ชักดาบออกมา ปะทะกันอย่างดุเดือด
เปลวเพลิงพุ่งออกไป
หนิงอี้พุ่งออกจากต้นไม้ใหญ่ มาขวางหน้าเด็กสาว
เขาไม่หยุดแม้แต่นิด แต่เฉียดผ่านออกไป คนที่คิดจะข้ามผ่านตนทุกคน ทันทีที่กางกระบี่ร่มก็แหลกเป็นเสี่ยงๆ กระจายลงมาเป็นฝนโลหิต
ช่วงที่หมุนตัวกลับ สายลมถาโถม หนิงอี้เริ่มล่าสังหาร ไม่ปล่อยไปสักคน ฆ่าคนดั่งการดื่มน้ำ หนึ่งกระบี่หนึ่งคน รวดเร็วและดุดัน ไม่มีความเห็นใจเลย
หลังเขาหุบร่มก็ยกกระบี่ขึ้นและฟาดลง ท่าทางง่ายมาก แต่กลับมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เมื่อร่างเงาสุดท้ายที่พุ่งเข้ามาฟันดาบลง ดาบกับกระบี่ร่มปะทะกันจนหักเป็นสองส่วน ตัวคนนั้นไม่ได้ถูกสกัดไว้ ท่ามกลางพายุบ้าคลั่ง กระบี่ร่มมาพร้อมกับโทสะอันสุขุม ฟันลำคอและเส้นชีพจรของคนนั้น หนิงอี้ยังคงโถมเพลิงโทสะใส่ศพที่ตายไปแล้ว ปราณกระบี่เร็วจนเหมือนเส้นด้าย
คนนั้นยังคงอยู่ในท่าทางถือดาบพุ่งกระโจน หนิงอี้ยืนอยู่ที่เดิมฟาดฟันไม่หยุด ปลายกระบี่ร่มไม่รู้แทงไปเท่าไรในชั่วพริบตา สุดท้ายดึงกลับมา กางร่ม คนนั้นแนบกับหน้าร่ม ในที่สุดก็ถูกแรงต้านไว้และเริ่มไหลลงมาทีละชิ้น
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นเงียบๆ มองบุรุษคนนั้นที่ขี่ม้าอยู่บนเนินเขา
บุรุษมองตนเงียบๆ
เขาไม่ได้เก็บคันศร แต่ไม่เล็งเด็กสาวที่ซ่อนหลังต้นไม่อีก แต่เล็งหนิงอี้
หนิงอี้ไม่ตามไป เขารู้ว่าต่อให้ตนเผาแสงดารา วิ่งเร็วกว่านี้ ก็ไม่มีทางตามบุรุษขี่ม้าในระยะห่างนั้นทันแน่
หนิงอี้พูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “เจ้าจบสิ้นแล้ว…ข้าจะจำเจ้าไว้ เจ้าหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็ต้องตาย ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
บุรุษแสยะปากยิ้ม “หนิงอี้…ข้าก็จำเจ้าไว้แล้วเช่นกัน เจ้าส่งความตายให้ข้าด้วยตนเอง แต่ตอนนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้า บางทีข้าอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่า”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจความหมายของบุรุษ
“พวกเรา…มีวาสนาไว้พบกันใหม่”
กลางค่ำคืน ธนูยาวติดไฟนั้นถูกบุรุษปล่อยส่วนปลายที่นิ้วคีบอยู่ คันศรส่งเสียงดังปังในอากาศชื้น
ระยะห่างร้อยจั้ง ลูกธนูก่อนหน้านี้ที่เล็งต้นไม้ใหญ่ตรงเผยฝานได้ทำลายลำต้นไปแล้ว
หนิงอี้หรี่ตาลง พุ่งออกไป ฟันหนึ่งกระบี่ กระบี่ร่มฟันแสงเย็นเยือกที่ข้ามผ่านภูเขากับป่าใหญ่มาอย่างไม่มีสิ่งใดขวางขาดเป็นสองสาย
เสียงร้องเจ็บปวดของม้าดังมาในเงามืด
บุรุษคนนั้นควบม้าวิ่งห้อไป
หนิงอี้พุ่งขึ้นเนินเขา มองไปในคืนมืดไกลๆ ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ร่างเงานั้นใช้แรงทั้งหมดยิงธนูนี้ เพียงเพื่อถ่วงเวลาตนเล็กน้อยเท่านั้น
“ตามไม่ทันแล้ว…” เขาพึมพำกับตัวเอง ขมวดคิ้วขึ้น
เผยฝานเดินออกจากต้นไม้ใหญ่ด้วยใบหน้าซีดขาว ข้ามศพที่นอนเกลื่อนกลาดยี่สิบกว่าศพ เดินขึ้นเนินเขามาอยู่ข้างกายหนิงอี้
“หนิงอี้…”
หนิงอี้ได้ยินเสียงก็โล่งอก หันมามอง
เด็กสาวทุบหน้าอกหนิงอี้อย่างแรง ก่อนจะร้องไห้ออกมา
เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เขาเอามือวางเหนือศีรษะเด็กสาว สุดท้ายก็ลูบเส้นผมเบาๆ
…..
มีคนถอนหายใจในเงามืด
“น่าประทับใจจริงๆ” คนตาบอดหันหน้าหนี ก่อนจะชี้ไปไกลๆ ‘มอง’ สวีจั้ง “จะให้ข้าไปจัดการหรือไม่”
สวีจั้งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเชื่อเสมอว่าฆ่าคนต้องฆ่าให้หมด…แต่วันนี้จู่ๆ ก็มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะส่งกระบี่นั้นออกไปในตอนสุดท้าย ข้าต้องการตัวชักนำ”
คนตาบอดดึงมือที่กดด้ามกระบี่ไว้กลับมา พูดอย่างจริงใจ “หลังฆ่าตาแก่ซ่ง เจ้าตกมาสามขอบเขตล่างแล้ว”
“สำหรับข้า…นี่เป็นเรื่องดี” สวีจั้งหัวเราะเยาะตัวเอง “แสงดาราเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป การลดลงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ลดลงสิบปีก็พอประมาณแล้ว น่าเสียดายยังมีเรื่องในอดีตที่ตัดไม่ขาด ข้าจะพาหนิงอี้ขึ้นเขา…อีกไม่นานก็จะปิดตายด่านบำเพ็ญ”
สวีจั้งยิ้มปลงอนิจจัง “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
“ปิดตายด่านบำเพ็ญ…หากตายขึ้นมาล่ะ”
“ข้าคือสวีจั้งจะไปตายได้อย่างไร”
“…”
“เจ้าหรุยเคยบอกว่าราชวงศ์ต้าสุยจะถูกคนแซ่สวีล้มล้าง คนนั้นที่จุดไฟในเงามืดจะมองเห็นราชวงศ์แตกเป็นเสี่ยงๆ” สวีจั้งยิ้มเล็กน้อย พูดเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ “เขาเคยพูดไม่จริงตั้งแต่เมื่อไร ดังนั้นข้าเลยต้องสังหารจักรพรรดิไท่จงให้ได้ เห็นต้าสุยล่มสลายกับตาตัวเอง”
คนตาบอดยิ้มน้อยๆ เจ้าหรุยเคยกล่าวไว้เช่นนี้จริงๆ…ผู้สืบทอดพินิจเหมันต์แห่งเขาสู่ซานคนนี้ มีศาสตร์วิชาสูงส่งไม่อาจคาดเดา คำทำนายแม่นยำอย่างยิ่ง
ตอนนี้จักรพรรดิต้าสุยอยู่มาหกร้อยปีแล้ว ด้วยกำลังยุทธ์ของจักรพรรดิไท่จง ต่อให้โถมกำลังทั้งหมดของเขาสู่ซานก็ไม่มีทางสั่นคลอนเมืองหลวงจักรพรรดิได้
ต้าสุยเป็นอย่างไร คนตาบอดไม่ห่วง…แต่คำพูดไม่เป็นผลดีกับราชวงศ์ของคุณชายเจ้าหรุย ถูกเขาสู่ซานปิดเอาไว้ตั้งแต่ต้น
คนแซ่สวีจะจุดไฟแห่งต้าสุย ทำลายยามราตรีรึ
คนตาบอดส่ายหน้า
เขานึกถึงอีกคำทำนายของคุณชายเจ้าหรุย จึงขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น “ให้เด็กหนุ่มชื่อหนิงอี้นั่นเป็นอาจารย์อาน้อยของเขาสู่ซาน เจ้าจริงจังรึ”
“จริงจังแน่นอน” สวีจั้งพูดเสียงเบา “ทุกคนทั้งโลกหล้าต้องการตำแหน่งนี้ พวกเขารู้ว่านี่หมายถึงอะไร แต่ข้ายังอยู่ พวกเขาก็ไม่มีหวัง…น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า เขาสู่ซานยังใช้วิธีการเช่นนี้แต่งตั้ง ‘อาจารย์อาน้อย’ ใหม่ได้”
คนตาบอดเงียบ
“ตำแหน่งอาจารย์อาน้อยยกให้ ‘หนิงอี้’”
เขา ‘มอง’ สวีจั้งพลางพูดอย่างจริงจัง “องค์ชายสามคงไม่เห็นด้วย”
………………………..