เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 3 จวนปฐพีตำหนักฟ้า
ตอนที่ 3 จวนปฐพีตำหนักฟ้า
เทือกเขาประจิมเทียบกับดินแดนกลางแล้วห่างไกลผู้คน ไม่เจริญรุ่งเรือง กระทั่งยังมีความวุ่นวายเล็กๆ
ขุมอำนาจทุกทิศปะปนกัน ราชวงศ์ต้าสุยแห่งดินแดนกลางไม่สอดมือ นักบวชแห่งอารามยอดเสียงอัสนีรวมถึงคนสำคัญของสำนักเต๋ารวมเป็นปึกแผ่นกันในแผ่นดินใหญ่นี้ ใช้กำลังทำผิดกฎกันให้เห็นบ่อยครั้ง
ตอนที่ขายสร้อยที่ร้าน หนิงอี้ระมัดระวังมาก ปฏิเสธเจตนาดีของเถ้าแก่ที่จะให้ประมูล แต่ขายแลกสี่ร้อยตำลึงเงินไป หากเข้าห้องประมูล สร้อยเส้นนี้จะประมูลได้เท่าไร…หนิงอี้ไม่รู้ แต่เมืองไร้มลทินแห่งนี้วุ่นวาย ทุกปีมีศพฝังเท่าไรหนิงอี้รู้คร่าวๆ ในใจดี
ต่อให้ประมูลได้หนึ่งพันตำลึงก็ไม่เกี่ยวกับตน
ช่วงบ่ายแสงตะวันงดงาม หนิงอี้พาเผยฝานมาแลกอาภรณ์ใหม่ ก่อนหน้านี้อาศัยจับปลาน้ำขุ่นในเมืองไร้มลทิน กลัวว่าจะไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตที่ล่วงเกินไม่ได้เข้า หนิงอี้เลยได้แต่ขโมยของเล็กๆ น้อยๆ ไปปล้นสุสาน…ไม่ได้ ‘เก็บเกี่ยว’ มาหลายวันถึงได้ถูกบีบให้ต้องคิดแผนการโง่เขลา
ใครจะอยากข้องเกี่ยวกับสิ่งลึกลับพวกนั้นกัน
หนิงอี้อาศัยในอารามโพธิ์มาสิบกว่าปี ต่อให้ส่วนลึกในใจจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องภูตผีเทวดา แต่ก็ยังมีความยำเกรงอยู่
เหนือศีรษะสามฉื่อมีอะไรกันแน่
หนิงอี้ไม่รู้ แต่เขารู้ว่าตนรอดมาได้ไม่ง่าย
ยามก้มหัวได้ก็ก้ม ไฉนจะต้องไปประชันกับสิ่งที่มองไม่เห็นพวกนั้นด้วย
“สี่ร้อยตำลึง ข้ากับเจ้าซื้อชุดได้หกชุดเลย จ่ายไปอีกหนึ่งตำลึง ซื้อปิ่นปักผมให้เจ้า จ่ายอีกครึ่งตำลึง กินข้าวสักมื้อ ครึ่งตำลึง ซื้อของจิปาถะ รวมทั้งหมดสี่ตำลึงครึ่ง”
หนิงอี้หักนิ้ว พูดด้วยใบหน้ากลุ้มใจ “เผยฝาน เจ้าว่าเหตุใดแผนที่เทือกเขาประจิมถึงแพงขนาดนั้น ขายสิบตำลึงเชียว เราสองคนถูกหลอกหรือไม่”
เด็กหญิงที่กอดแขนหนิงอี้เปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีขาว ใช้ไปอีกครึ่งตำลึงเงินซื้อกระบี่เลียนแบบมาอีกเล่ม เอาไว้ข้างเอว กระโดดไปมา มีความสุขมาก พูดหัวเราะคิกคัก “สี่ร้อยตำลึงรึ เรายังเหลืออีกสามร้อยกว่าตำลึงนะ ยังเหลืออีกเยอะเลย”
ตอนพูดคำว่า ‘อีก’ เผยฝานกระโดดก้าวท้าวยาวไปข้างหน้า หันมาทำหน้าแมวสาว แยกเขี้ยวกางกรงเล็บ ดูก็รู้ว่าเด็กนี่มีความสุขจริงๆ ทั้งยังไปนั่งยองริมถนน เลือกของเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กผู้หญิงด้วยรอยยิ้ม
หนิงอี้ถอนหายใจก่อนจะนั่งยองลงกับนาง มองเผยฝานเลือก สุดท้ายเล่นจี้หยกปลาสีแดงชิ้นหนึ่งไม่ยอมวาง
หนิงอี้พูดด้วยความจนปัญญา “เราสองคนจะเดินไปไม่ได้นะ ต้องจ้างรถ เทือกเขาประจิมวุ่นวายมาก หากจะไปกับกลุ่มพ่อค้า…เดี๋ยวเจ้าก็หาว่าข้าบ่นอีก เจ้าใช้เงินได้เต็มที่เลย ถึงอย่างไรถ้าเราเงินไม่พอระหว่างทาง ข้าก็จะขายเจ้า เอามาเป็นค่าเดินทาง แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตในอารามเก่าๆ ของข้าต่อ”
เผยฝาน ‘วาง’ จี้หยกปลาแดงลงด้วยสีหน้าเศร้า ใบหน้ารูปไข่สะอาดเยาว์วัย น่ารักงดงาม ใบหน้าเบิกบานเหมือนดอกบัวพ้นจากน้ำ ตอนนี้กัดฟันขมวดคิ้ว ดูน่าสงสารจริงๆ
หนิงอี้ปวดหัวขึ้นมาทันที ก่อนจะกลั้นใจพูด “ซื้อเถอะๆ”
เผยฝานแน่นิ่ง ยังคงทำท่าจะวางจี้หยก พูดอย่างน่าสงสาร “ข้ากลัวว่าเงินไม่พอ พี่จะขายข้าแล้วก็กลับไปเทือกเขาประจิมคนเดียว”
หนิงอี้เอามือตบหน้าผาก ถอนหายใจ “ถ้าเงินไม่พอ ข้าจะขายตัวเอง ดีหรือไม่ ท่านบรรพบุรุษน้อย”
เผยฝานก็ยังไม่พอใจ นางบ่นอุบอิบ “เช่นนั้นก็ไม่เอาแล้ว ข้าจะอยู่กับหนิงอี้!”
เจ้าของแผงลอยเห็นใบหน้าด้านข้างเด็กสาวครึ่งหนึ่งแล้วก็เหม่อลอย อยากจะยกจี้หยกนี้ให้ แล้วถือโอกาสสั่งสอนเจ้าเด็กยากจนขี้เหนียวนี่ด้วย
หนิงอี้ถอนหายใจยาว ในใจคิดว่าเด็กนี่เติบใหญ่แล้วเกรงว่าคงจะนำภัยมาสู่ชาวโลก จึงรีบโยนเหรียญทองแดงให้ แล้วหมุนตัวกลับลากเผยฝานไป
เด็กสาวร้องดีใจตลอดทาง เด็กหนุ่มลากอยู่ข้างหน้า เดินผ่านแผงลอยมาแล้วถึงได้หยุดพัก
เผยฝานกระโดดมาหน้าหนิงอี้ สองมือยันเข่า รอยยิ้มกว้างขึ้นทีละนิด หัวเราะคิกคัก “หนิงอี้ พี่ดีจริงๆ!”
หนิงอี้ไม่ติดกับ เขาเอาสองมือบีบหน้ารูปไข่ของเผยฝานไปมา เห็นท่าทางเด็กสาวร้องโอ๊ยแล้วก็นึกได้ว่าเตรียมของใกล้จะเรียบร้อยแล้ว เขาชำเลืองตามองกระเป๋าเอวที่ยังนูนอยู่ อารมณ์ดีมาก ยิ้มหยีตาพลางเอ่ย “มีเงินนี่ดีจริงๆ”
ประตูเมืองไร้มลทิน มีเสียงอื้ออึงดังแว่วมา
กลุ่มคนหลั่งไหล
หนิงอี้หรี่ตาลง อุ้มเผยฝานถอยไปสองก้าว
ถนนเมืองไร้มลทินแหวกเป็นเส้นทางสายหนึ่ง
หลังประตูเมืองเปิด ม้าขาวสูงใหญ่สิบกว่าตัวย่ำเข้ามา เสียงกีบเท้าม้าดังสั่นสะเทือนหู คนที่ขี่บนม้าขาวสูงใหญ่สวมชุดคลุมผ้าเนื้อหยาบสีขาวตัวใหญ่ ชุดคลุมผ้าเนื้อหยาบสีขาวตัวใหญ่นั้นไม่สะอาดเลย และยังมีคราบเลือดที่ยังไม่ทันซัก ตอนนี้สะบัดตามสายลม บดบังหน้าคนพวกนี้ เห็นใบหน้าไม่ชัด
หนิงอี้สีหน้าจริงจังขึ้นมา เขาหันหลังให้ผู้บำเพ็ญที่ขี่ม้าขาวและคลุมด้วยชุดคลุมขาวพวกนั้น ยกนิ้วหนึ่งขึ้นมาวางตรงริมฝีปาก ทำเสียงชู่เบาๆ จากนั้นกางสองแขนกอดเผยฝานไว้อย่างอ่อนโยน
เผยฝานอึ้งไป ไม่ขัดขืน เม้มริมฝีปาก คิ้วและดวงตาขยายออกมีรอยยิ้ม สองมือกอดเอวของหนิงอี้ไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งตัวแนบชิดในอ้อมกอดของหนิงอี้ สูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง
เสียงกระซิบดังแว่วมาจากในกลุ่มคน
“เป็นคนจาก ‘ตำหนักฟ้า’…พวกเขาทำอะไรก็ต้องยิ่งใหญ่ไว้ก่อน แต่เทือกเขาประจิมไม่ใช่ถิ่นฐานของพวกเขานี่นา เหตุใดถึงมาเมืองไร้มลทินกัน”
“ได้ยินว่าแดนสุสานนอกเมืองไร้มลทิน…มีสิ่งอัปมงคลออกมา ขุมอำนาจใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ รู้ข่าวแล้ว น่าจะมาถึงเมืองไร้มลทินในอีกไม่ช้า ไม่ใช่แค่ผู้บำเพ็ญจากตำหนักฟ้านะ ยังมีคนแปลกจากจวนปฐพี เขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูกทางดินแดนกลางก็อาจจะมาด้วย”
“ข้ายังได้ยินว่าเที่ยงคืนหลังเมื่อคืนวาน ตอนที่ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ ออกมา ตำหนักฟ้ายังประมือกับ ‘มัน’ ด้วย ดูท่าแล้ว…คงไม่ได้ประโยชน์อะไรไป” คนนั้นข้างหนิงอี้มองไปรอบๆ ก่อนขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา “คนพวกนั้นจากดินแดนกลางมาเร็วกว่าอารามยอดเสียงอัสนีกับสำนักเต๋าอีก นั่นแสดงว่าในตัว ‘สิ่งนั้น’ อาจจะมีโชคลิขิตไม่น้อย”
“โชคลิขิตรึ” มีอีกคนครุ่นคิด “ทางแดนสุสานมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ตลอด…อารามยอดเสียงอัสนีกับสำนักเต๋าคิดจะเปิดสุสาน ศิษย์ตายกันไปฝ่ายละเจ็ดสิบแปดสิบคน ไม่มีใครรอดออกมาเลย ครั้งนี้จะได้หรือไม่”
เกิดการเคลื่อนไหวประหลาดนอกประตูเมืองอีกครั้ง ฟังดูเหมือนเสียงกระบี่ กลุ่มคนวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
หนิงอี้กับเผยฝานทั้งสองคนได้ยินคำพูดของคนพวกนั้นเมื่อครู่ต่างก็เงียบ ฉวยโอกาสนี้รีบหนีออกจากกลุ่มคนมุงของเมืองไร้มลทิน หาที่ห่างไกลผู้คน จากนั้นออกจากเมืองอย่างระมัดระวัง
ระหว่างทาง
แดนสุสาน สิ่งชั่วร้าย สิ่งอัปมงคล…
คำพวกนี้ปั่นป่วนในความคิด แรงกดดันไร้รูปกดมาที่ศีรษะหนิงอี้ สิ่งที่ผ่านมาเมื่อคืนวานเหมือนหินขนาดใหญ่ แม้แต่คนจากตำหนักฟ้ายังจับมันไม่ได้ มันเป็นตัวอะไรกันแน่ คงไม่ใช่สิ่งที่เขาปล่อยออกมาเองจริงๆ หรอกกระมัง
ความรู้สึกถึงสิ่งชั่วร้ายนั้นในก้นบึ้งหัวใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
หนิงอี้รีบร้อนเดินทาง รู้สึกขนหัวลุก ถามเสียงเบา “เผยฝาน ตอนที่เจ้าลงมารับข้า เห็นอะไรแปลกๆ หรือไม่”
เด็กสาวที่ถูกหนิงอี้หิ้ววิ่งมาตลอดทางเผยสีหน้าห่อเหี่ยวนิดๆ พูดพึมพำ “ไม่นะ ในสุสานใต้ดินว่างเปล่า ทั้งมืดไม่มีไฟ ไม่เห็นอะไรเลย ข้าแบกพี่ขึ้นมาแล้วก็ลากพี่มาอีก สุดท้ายตอนที่จะออกไปถึงได้ยินเสียงแปลกๆ จากทางแดนสุสาน…”
หนิงอี้ถือว่าได้ผ่อนลมหายใจลง เขารู้สึกกลัวขึ้นมา พึมพำเสียงเบา “ดีที่เราสองคนดวงแข็ง ถ้าเจ้าช้ากว่านี้อีกนิดได้เจอคนตำหนักฟ้ากับสิ่งอัปมงคลแน่ เดาว่าพวกเราคงจบเห่กัน”
มาถึงอารามกวนอิม หนิงอี้ก็ยังจิตใจไม่สงบ เผยฝานเหม่อลอย พายุฝนแน่นิ่ง สงบดั่งขุนเขา
ยัดพุทราแดงใส่ปากตัวเองทีละลูก บ่นอุบอิบ “พี่กลัวว่าจะมีปีศาจมาพัวพันอย่างนั้นหรือ…เจ้านั่นออกมาแล้วก็สู้กับคนตำหนักฟ้า เดาว่าคงไม่ได้ประโยชน์อะไรไป ถ้าจะแก้แค้นก็ต้องไปหาคนพวกนั้น ไม่มาหาพวกเราหรอก อีกอย่างนะ เราปล่อยมันออกมา ถ้ามันมาก็ต้องมาขอบคุณเราสิ”
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก คลึงระหว่างคิ้ว
เขามองมือขวาตัวเอง ไม่ได้เล่าเรื่อง ‘ไข่มุกตะวันคร้าน’ ให้เผยฝานฟัง ไข่มุกนั่นแตกในมือเขา จากนั้นมา ความรู้สึกถึงเงามืดก็วนเวียนในใจตนไม่จางหายไป
หนิงอี้มองซ้ายขวาไปรอบๆ ก่อนจะกัดฟันพูด “นี่คืออารามโพธิ์ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าบุ่มบ่ามต่อหน้าพระโพธิสัตว์”
เผยฝานนั่งตรงหัวเตียง มองเด็กหนุ่มเปิดสัมภาระใหญ่และเริ่มนำของออกมาวางข้างนอกทีละชิ้น
สิ่งชั่วร้ายแห่งเทือกเขาประจิมมาอยู่ที่เมืองไร้มลทิน หนิงอี้จึงซื้อของป้องกันตัวมากองใหญ่
เลือดสุนัขดำบรรจุกระป๋องราดลงบนพื้น กระบี่ไม้ต้นท้อห้อยไว้หน้าอารามสูง แกว่งไกวตามสายลม
เผยฝานเบิกตาโตอ้าปากกว้าง
หนิงอี้สั่นศีรษะมองไปรอบๆ สามรอบ ก่อนนำกระเทียมใหญ่พวงหนึ่งออกมาแขวนไว้ตรงหัวเตียง
เผยฝานหยิบกระเทียมพวงใหญ่อย่างรังเกียจ ขมวดคิ้วงาม ปิดจมูกพลางพูด “หนิงอี้! พี่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร”
หนิงอี้ชำเลืองตามองเด็กนี่ แล้วรับกระเทียมมาแบะออกครึ่งหนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกและกลั้นใจพูด “ระวังไว้จะแล่นเรือได้หมื่นปี พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแล้ว คืนนี้ถ้าปีศาจนั่นกล้ามา ข้าจะให้มันได้รู้จักความบ้าคลั่ง”
เผยฝานมองหนิงอี้เดินๆ หยุดๆ วางไว้ทั้งในและนอกอารามเก่า สุดท้ายก็ยังไม่วางใจ ควัก ‘ธูปใหญ่มังกรขด’ ที่ซื้อมาออกจากกระเป๋า จุดไฟด้วยความปวดใจ ปักตรงหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ ควันในกระถางธูปกระจายออกไปอย่างหนาทึบ หนิงอี้ประนมสองมืออย่างจริงจัง พูดเสียงเบา จ้องรูปปั้นพระโพธิสัตว์อยู่นานมาก จากนั้นปักกระเทียมสองกลีบลงในกระถางธูป…
กลิ่นในอารามดูแปลกไปมาก
ทำทุกอย่างเสร็จก็ฟ้ามืดแล้ว ทั้งสองคนกินอาหารกันง่ายๆ
หนิงอี้ลาดตระเวนใหม่อีกครั้ง ความคิดที่ไม่สงบในใจหายไปเจ็ดแปดส่วน เหลืออยู่น้อยนิด เขาดันเผยฝานไปในเตียงอย่างสบายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ทนหน่อยนะ แค่คืนนี้คืนเดียว ฟ้าสางเราจะออกเดินทาง”
เผยฝานบีบจมูก ไม่ยอมอย่างยิ่ง แต่ก็ยังเบียดกับหนิงอี้บนเตียงเล็กเก่านี่
หนิงอี้ที่ทำทุกอย่างเรียบร้อยลืมตาขึ้น จ้องกระเทียมใหญ่พวงนั้นที่แขวนไว้ตรงหัวเตียง คืนนี้ตั้งใจจะอดนอนไปเช่นนี้
แต่เปลือกตาเจ้ากรรมเหมือนเครื่องประดับพันชั่ง เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง ความง่วงงุนในความคิดจู่โจมเข้ามาช้าๆ
……………………