เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 30 ที่ราบกระดูก
ตอนที่ 30 ที่ราบกระดูก
ในลานบ้านของเมืองสันติ แสงดาราพวยพุ่งขึ้น
เด็กหนุ่มที่นั่งในถังไม้หายใจเข้าออกเบาๆ ในถังมีน้ำเลือดปะปน หมอกร้อนวนเวียนอยู่ตรงกลาง คลื่นน้ำหมุนวนลับๆ สองแขนที่วางไว้ตรงขอบถังห้อยอยู่นอกถังด้วยความอ่อนแรง
กระบี่ร่มปักอยู่ข้างถังไม้ ข้างถังไม้พาดผ้าเช็ดตัวสีขาวครึ่งหนึ่งไว้ หนิงอี้พิงถังไม้ พ่นลมหายใจยาว ตรงหน้าอกเขามีน้ำร้อนเดือดพล่าน ใบไม้สีขาวบริสุทธิ์ลอยอยู่ด้านบน เขาดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็ดให้แห้งแล้วเช็ดที่ใบหน้าแรงๆ เช็ดหยดน้ำเล็กๆ ให้แห้ง จากนั้นพาดผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่า นิ้วหนึ่งยื่นออกมากดตรงกลางใบไม้สีขาว เล่นขลุ่ยกระดูกไปมาเหมือนเรือเล็กล่องน้ำ
ฆ่าคนเป็นเรื่องที่กินกำลังวังชามาก ต่อให้กระบี่ร่มจะคมแค่ไหน สังหารคนหนึ่งก็ยังต้องใช้กำลังทั้งหมดใส่เข้าไป จะประมาทไม่ได้เลย
เทียบกับที่สังหารคนทุกวันเมื่อก่อนแล้ว วันนี้หนิงอี้เหนื่อยมาก
แต่ทะลวงขอบเขตแรกแล้ว เขารู้สึกตึงเครียด ตื่นเต้นมากกว่าเดิม ความเหนื่อยล้าในความคิดคลายออกช้าๆ พอแช่น้ำร้อน ความง่วงงุนพลันหายไป
หนิงอี้พิจารณาขลุ่ยกระดูกตรงปลายนิ้วตน
โจวโหยวเคยบอกตนว่า…หากทะลวงขอบเขตแรก เดินบนเส้นทางบำเพ็ญ ก็จะใส่แสงดาราเข้าไปในขลุ่ยกระดูกได้
ตอนนี้หนิงอี้รู้สึกถึง ‘แสงดารา’ ในความคิดตน
นั่นคือสิ่งที่ลอยล่องและยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ตนรวมสมาธิเพ่งมองส่วนในความคิด จะเหมือนอยู่กลางธารดาราสว่างจ้า ระหว่างหายใจยังดูดซับ ‘ความเป็นเทพ’ ได้ ความรู้สึกนั้นทำให้หนิงอี้รู้สึกว่าตนเดินออกจากแผ่นดินใหญ่ เหยียบบนอากาศ เหยียบดาวขึ้นไปทีละก้าวได้
นี่คือการเปลี่ยนแปลงในด้านคุณลักษณะรึ
จากศูนย์ไปหนึ่ง
หนิงอี้สัมผัสทุกลมหายใจหลังทะลวงขอบเขตแรก แสงดาราที่เหลือในกายเขามีไม่มาก ความจริง…ขอบเขตแรกก็เก็บแสงดาราได้ไม่มากอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกก็ยังมีวิธีที่สามารถสั่งสมแสงดาราได้
หนิงอี้ท่องวิชาจิตม่วงเร้นที่โจวโหยวให้ตนไว้เงียบๆ เมื่อเสียงท่องดังขึ้น ดาราในความคิดเริ่มหมุนโคจร เร็วขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตัวอักษรเล็กดั่งมดปลวก สวีจั้งเคยบอกตนว่าวิชาจิตสามขอบเขตแรก ใช้ของสำนักเต๋าทะลุปรุโปร่งที่สุด เข้าถึงพื้นฐานดีที่สุด
วิชาจิตม่วงเร้นที่โจวโหยวให้แบ่งเป็นสามม้วน
ผ่านเร้น ตามเซียน และถูกสามัญ
สามม้วนสอดคล้องกับสามขอบเขตแรก
“ผู้ลับเร้น บรรพชนแห่งธรรมชาติ สำนักใหญ่แห่งหมื่นความแตกต่าง…”
“เล็กจ้อยก็คือหยั่งลึกเช่นกัน เรียกว่าเบา ยาวเหยียดก็คือไกลเช่นกัน เรียกว่าพิสดาร”
เสียงของเด็กหนุ่มดังก้องไปในหมอกร้อนช้าๆ ตัวเขาเริ่มเบาสบาย สองมือซ้อนทับกัน นิ้วโป้งกดกันเป็นผังจักรวาล จมลงจุดตันเถียนช้าๆ
หนิงอี้พูดเบาๆ พูดมาทีละคำ ผิวน้ำโหมซัดสาด ขลุ่ยกระดูกลอยขึ้นบนถังน้ำ กลิ้งไปมา สั่นไหวไม่หยุดตามการพ่นลมหายใจของเจ้านาย
กลิ่นอายพลังของหนิงอี้เดิมทีหยุดอยู่ชั้นล่างสุดของขอบเขตแรก ระหว่างที่เขาหายใจ แสงดาราส่วนน้อยเริ่มหลั่งไหล เมื่อวิชาจิตม่วงเร้นหมุนโคจร เด็กหนุ่มหน้าแดงเรื่อขึ้นมาหนึ่งถึงสองส่วน แสงดาราหมุนวนเร็วขึ้นทีละนิด ขลุ่ยกระดูกพลิกตัวบนผิวน้ำในถังไม้บนคลื่นที่ค่อยๆ แรงขึ้น ก่อนจะจมลงไปกลางถังแล้ววนรอบตัวหนิงอี้
ในลานบ้านเมืองสันติ แสงดารากว้างใหญ่เริ่มหลั่งไหล เด็กสาวเผยฝานรู้สึกถึงบรรยากาศไม่สงบสุข นางเปิดผ้าม่าน มองปรากฏการณ์ในลานบ้าน อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไร
“หนิงอี้…”
หนิงอี้เผยกายเปลือยท่อนบนในถังน้ำ รอยแผลเป็นเปลือยเปล่าแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตกสะเก็ดก่อนจะหลุดลอก ลอยอยู่บนผิวน้ำ เขายังคงหลับตา สวดบทของสำนักเต๋า แสงดาราที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ พุ่งไปยังศีรษะของเด็กหนุ่ม วนรอบสามฉื่อ วนรอบสามจั้ง
ขลุ่ยกระดูกจมลงถังไปแล้ว ต่อต้านกระแสน้ำ มาอยู่ในมือหนิงอี้ที่วางตรงตันเถียน
หนิงอี้จับขลุ่ยกระดูกไว้ตามจิตใต้สำนึก
เขารู้สึกถึงแสงดาราที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในความคิด ความเร็วที่แสงดาราวนเวียนเพิ่มขึ้นทีละนิด สุดท้ายเร็วเหมือนสายฟ้า อักษรเล็กพวกนั้นไหลเวียนในกำแพงนอกความคิด แทบจะทลายเข้าไปในมันสมอง
“แสงสว่างคือตะวันจันทรา ความเร็วคือสายฟ้า!”
“โลหะไม่อาจเทียบความแข็งกับมัน น้ำค้างไม่อาจเทียบความอ่อนกับมัน”
“ฝาแฝดปฐมกาล ขอบเขตสองความหมาย ลมหายใจริเริ่ม หล่อหลอมร้อยล้านชนิด…”
สิบขอบเขต ทุกขอบเขตใหญ่จะมีธรณีประตูบานหนึ่ง
การดูดซับและกลืนกินแสงดาราคือเรื่องของเวลา ไม่ใช่ว่าเช้าเย็นจะเติมเต็มได้ ไม่เคยมีใครเป็นข้อยกเว้น ทว่าในตัวเด็กหนุ่มตอนนี้…เหมือนจะเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นเล็กน้อย
ขลุ่ยกระดูกนั่นกำลังสั่นไหว
แสงดาราทั้งหมดเข้าไปในศีรษะหนิงอี้ ทั้งยังลากเป็นเส้นตรงฟ้าดิน ส่งต่อไปไม่หยุด การสั่นไหวของกระดูกสันหลังส่งมาจากส่วนเล็กของกระดูก เชื่อมต่อทีละข้อ กระแทกใส่ขลุ่ยกระดูกเหมือนตีกลอง เสียงน้ำดัง ‘ตึง’ มาจากในถัง กระดูกหนิงอี้เริ่มเชื่อมต่อกันใหม่
เด็กหนุ่มที่นั่งในถังน้ำลืมตาขึ้น
เขามายังโลกใหม่
…..
แผ่นดินที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ผืนฟ้ามืดครึ้ม เสียงคำรามหนัก น้ำทะเลพลิกกลับตกลงมาจากมุมฟ้าฉีก อัดแน่นในโลกมนุษย์ทีละส่วน ไกลออกไปมีเงามืดขนาดใหญ่ตกลงมา ต่อให้กางปีกขนาดยักษ์ที่มากพอจะบดบังฟ้าก็ยังตกลงมา
สายตาหนิงอี้สั่นไหว
กระดูกนับร้อยล้านชิ้นพุ่งมาจากฟ้าไกล โถมกระหน่ำเข้ามา บดบังผืนฟ้า
เขาก้มหน้าลง รู้สึกว่าตนขยับตัวได้ยาก อาบเลือดไปทั้งตัว มีหอกยาวปักอยู่บนตัว บนตัวหอกยาวมีลวดลายร้อนระอุเปล่งแสง ร่างนี้ทั้งสูงและใหญ่…หนิงอี้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่หอกยาวที่ทะลวงร่างเขาปักลงพื้น ทำให้เขาไม่ล้มลง
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มองยอดเขาสูงยิ่งกลางฟ้าดินไกลๆ ต้นไม้โบราณเชื่อมฟ้าที่เคยเห็นมาก่อนขดอยู่บนยอดเขา เพียงแต่ใบไม้ร่วงโรย เหลือเพียงลำต้นส่วนหนึ่ง ภาพรวมดูน่าเวทนายิ่ง เสียงร้องโหยหวนดังวนเวียนข้างหู รอบกายมีแต่ศพ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ลมพัดไม่หายไป
เศษกระดูกมากมายลอยเข้ามา หนิงอี้รู้สึกแสบจมูก ความเจ็บปวดทิ่มแทงกระดูกทะลวงหัวใจเข้ามา…
กลางฟ้าดินไม่มีคนอื่นแล้ว
เขารู้สึกเศร้าอย่างยิ่ง
“ไม่มีประโยชน์…ต้านไม่ไหว…”
“ที่ราบกระดูก…ก็ไม่ไหว…”
หนิงอี้หันศีรษะไปช้าๆ เศษน้ำแข็งที่เกาะตามตัวแตกกระจาย ท่ามกลางพายุหนาวเหน็บ มีร่างหนึ่งแขนขาด ล้มลุกคลุกคลาน หมอกหนามาก เสียงไม่ได้ดังไปไกลสุดท้ายก็หายไป ร่างเงานั้นโซซัดโซเซล้มลงกับพื้นดังตึง ก่อนจะไม่มีเสียงใดอีก
ความคิดเหมือนถูกแช่แข็ง
หนิงอี้เห็นร่างเงาร้อนระอุกลางหมอกลอยกลางอากาศ กางปีกข้างหลังออกช้าๆ น้ำทะเลพลิกกลับวนเวียนรอบร่างเงานั้น…
กลางหมอก ร่างเงานั้นที่ลอยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทว่าตนไม่มีแรงดึงหอกยาวที่ทะลวงหัวใจออก ไม่มีแรงขยับแม้แต่น้อย
เศษกระดูกที่วนเวียนรอบตนส่งเสียงดังเสียดสีกันไม่หยุด
ร่างเงาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
มีเสียงเลือนรางดังขึ้นนอกฟ้า
“นี่…”
“หนิงอี้”
จากนั้นเสียงเลือนรางและน่าเกรงขามดังขึ้นอีกครั้ง
“ตื่นๆ…”
เสียงนั้นเบามาก จึงพูดซ้ำอีกครั้ง
“ตื่นๆ!”
หนิงอี้พลันตกใจตื่น เขาลุกพรวด ถังไม้เล็กมาก ตัวเขาจึงจะล้มลงไปพร้อมกับถังไม้ ก่อนจะถูกสวีจั้งกดให้กลับลงไปนั่งในถังอีกรอบ
‘เปาะแปะ’ เสียงแตกดังขึ้น
หนิงอี้หรี่ตาลง ผิวน้ำเกิดเป็นเศษน้ำแข็งเล็กๆ ข้างในยังมีความอุ่นอยู่…ฟ้าเริ่มสาง ตนหลับไปนานเท่าไรแล้ว
หนิงอี้เจ็บปวดในใจ เขาลูบใบหน้าตัวเองจนไปเจอน้ำตาสองสาย ตอนนี้ก็ยังกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“ข้า…ทำอะไร เกิดอะไรขึ้น”
หนิงอี้นั่งในถัง เงยหน้ามองสวีจั้งในชุดคลุมดำด้วยความสับสน
“เจ้าไม่ได้ทำอะไร แค่ฝึกบำเพ็ญ”
สวีจั้งมองหนิงอี้ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง นัยน์ตามีประกายซับซ้อน
ลางสังหรณ์ของหนิงอี้บอกเขาว่า…คงจะไม่ใช่แค่อย่างที่สวีจั้งบอก
“การฝึกบำเพ็ญคือการดูดซับแสงดาราทีละคำ” สวีจั้งหรี่ตาลง มองหนิงอี้ “แต่เจ้าไม่ได้ดูดซับแสงดาราทีละคำ เจ้ากำลังกินมูมมาม…แสงดาราในลานบ้านถูกเจ้ากินไปจนหมด เจ้าใช้ขลุ่ยกระดูกรึ”
หนิงอี้ริมฝีปากแห้ง เสียงแหบพร่า “ข้า…”
เขาลูบขลุ่ยกระดูก อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
เด็กหนุ่มที่นั่งในถังรู้สึกว่าภาพนั้นที่ตนเห็นในขลุ่ยกระดูก…สะเทือนใจและสิ้นหวัง ความเศร้าหลั่งไหลไปสู่ก้นบึ้งหัวใจ ทั้งโลกโรยราตามต้นไม้โบราณนั่น ท้องฟ้าฉีกขาด นอกจาก ‘ตน’ แล้ว ทุกชีวิตไร้เสียงและกลิ่นอายพลัง
สุดทางของโลก มีคนอาบแสงศักดิ์สิทธิ์สยายปีก บินมาทางตน…
ในความคิดเกิดการฉีกขาด วิชาสำนักเต๋าเดิมทีอ่อนโยนอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้หนิงอี้กลับปวดศีรษะแทบจะระเบิด ทันใดนั้นเองก็รู้สึกถึงความผิดแปลกของร่างกายตน จึงตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้น
“ข้า…ทะลวงพลังแล้วรึ”
แสงดาราควบแน่นเป็นเยื่อที่เหมือนมีและไม่มี
ขอบเขตที่สอง
สวีจั้งมองเด็กหนุ่มที่กำลังตกใจอย่างยิ่ง ตนยืนอยู่ข้างถังไม้มาหนึ่งคืน เห็นการเปลี่ยนแปลงของหนิงอี้ แสงดารามากมายติดตาม นี่คือสภาวะการบำเพ็ญที่แปลกจากคนปกติอย่างสิ้นเชิง
ต่อให้เป็นอัจฉริยะที่สุดยอดอย่างโจวโหยวก็ไม่มีทางทะลวงจากขอบเขตแรกไปขอบเขตสองในชั่วข้ามคืน
หากหนิงอี้มีอะไรแปลกไปแม้แต่นิด เขาจะขัดสภาวะของหนิงอี้ทันที
จนกระทั่งหนิงอี้เริ่มน้ำตาไหลอย่างไม่มีสาเหตุ สวีจั้งจึงลองปลุก พอไม่เป็นผลเลยรีบใช้เสียงปลุกเขา
หนิงอี้นั่งในถัง ไม่รู้สึกเลยว่าน้ำในถังเย็นแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจคำว่า ‘กินมูมมาม’ ที่สวีจั้งบอกว่าหมายถึงอะไร…ตนทะลวงขอบเขตที่สอง กลับไม่มีอุปสรรคใดๆ เลยหรือ
“เป็นเพราะขลุ่ยกระดูกหรือ” หนิงอี้พึมพำกับตัวเอง
“ที่ราบกระดูก…” เด็กหนุ่มก้มหน้ามองขลุ่ยกระดูกในมือตนเอง
“ที่ราบกระดูก นี่คือนามของเจ้าหรือ…”
ใบไม้สีขาวที่แช่ในน้ำขยับไปมาเบาๆ ในฝ่ามือแล้วขยายออก เหมือนได้ยินการเรียกของหนิงอี้จริงๆ
…………………..