เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 32 คลังความเป็นเทพ
ตอนที่ 32 คลังความเป็นเทพ
เด็กสาวคลุมด้วยผ้าเนื้อหยาบสีขาวกระโดดลงจากเตียง นางเดินหนึ่งก้าวกระโดดสามก้าว รีบผลักประตูด้วยความดีใจ เห็นสามร่างเงายืนอยู่นอกประตู
สวีจั้งที่กอดผ้าดำฝักกระบี่ สวมงอบ ยืนพิงเสานอกอาราม ยืนในเงามืด มองเด็กสาวเปิดประตูด้วยรอยยิ้ม
แสงตะวันสาดส่องลงมา กระทบแก้มสวีชิงเยี่ยน
ล่มแคว้นล่มเมือง เป็นภัยต่ออาณาจักรและประชาราษฎร์
“หนิงอี้…เจ้ามาแล้ว”
เด็กสาวเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ ยิ้มทีเผยลักยิ้มสองข้าง
เผยฝานที่อยู่ข้างหนิงอี้เหม่อมองเด็กสาวที่เปิดประตูคนนี้ นางไม่เคยเจอใครที่งดงามเช่นนี้มาก่อน เวลานี้ถึงกับพูดไม่ออก
ระหว่างทางหนิงอี้เอ่ยถึงเด็กสาวในอารามรู้กรรมกับนาง บรรยายว่าสวีชิงเยี่ยนงดงามเพียงใด เน้นย้ำคำว่างามหลายครั้ง เผยฝานฟังแล้วถึงกับทำแก้มป่อง เกิดอารมณ์ซับซ้อนขึ้นในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ จนตอนที่เปิดประตู มองแค่แวบเดียว ความรู้สึกเศร้าก็หายไปทั้งหมด
เพราะใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขที่ผลักประตู ทำให้คนมองอย่างไรก็ชอบ
งดงามจริงๆ
หนิงอี้เคยเห็นครั้งหนึ่งแล้วยังอดพูดเสียงเบาไม่ได้ “งดงามจริงๆ เลย”
เด็กสาวถอนหายใจ พูดปลงเบาๆ “งดงามจริงๆ”
สวีจั้งยืนในเงามืด ในดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม น้ำเสียงมีความเสียดายเสี้ยวหนึ่ง พูดคำที่ไม่สมควรขึ้นมา
“งดงามก็งดงาม…น่าเสียดายที่ป่วย”
พูดคำนี้ออกมา ไม่มีอะไรที่ผิดแม้แต่น้อย
ใบหน้าขาวซีดของสวีชิงเยี่ยนไม่เห็นแสงตะวันมานาน ไม่ใช่ไม่อยากแต่ทำไม่ได้ ความเป็นเทพในตัวนางต้องซ่อนในเงามืด หากเจอแสงสว่าง เจอผู้คน จะคุมความเป็นเทพไว้ไม่อยู่จนทำลายร่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ตินี้
“ฝูเหยาแห่งเขาลั่วเจีย ความเป็นเทพกินไปเกือบครึ่ง เกิดมาก็เป็นร่างครึ่งเทพ ถูกเรียกว่าสตรีที่ใกล้กับเทพมากที่สุด” เสียงสวีจั้งเรียบนิ่ง พิงเสา พูดเสียงเบา “ทั้งเขาลั่วเจียจ่ายไปมหาศาลเพื่อปกป้องความเป็นเทพของนาง…ก่อนที่พลังบำเพ็ญนางจะกำราบความเป็นเทพได้ ชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่ในเรือนหอ ไม่ได้เห็นแสงตะวัน หากต้องออกไป ผู้บำเพ็ญของเขาลั่วเจียจะบดบังฟ้าเหนือศีรษะให้นาง อยากจะเป็น ‘ดารา’ เป็นเทพเจ้าที่คงอยู่นิรันดร์ก็ได้แต่ปรากฏในยามค่ำคืนเท่านั้น”
“หากความเป็นเทพเกินกว่าความเป็นมนุษย์ก็จะควบคุมไม่ให้ขยายออกไปได้ยาก สิ่งที่คนธรรมดาร้องขอไม่ได้ สำหรับเจ้าแล้วเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง”
สวีจั้งมองเด็กสาวนิ่งๆ “นี่เป็นโรคที่รักษายากมาก การอยู่หลังเขาสู่ซานอาจจะช่วยเจ้าได้…แต่สามปีมานี้โอสถที่คนตาบอดเอามาให้ เหมือนจะรักษาให้หายขาดไม่ได้ ได้แค่ระงับความเจ็บปวดของเจ้า”
สวีชิงเยี่ยนริมฝีปากแห้งเล็กน้อย นางมองบุรุษที่ยืนพิงเสาในเงามืดด้วยความสับสน รู้สึกเหมือนตนเคยเจอที่ใดมาก่อน
“ไม่ต้องกังวล…ข้าไม่ใช่คนดีอะไร”
เมื่อพูดจบ เด็กสาวหน้าซีดกว่าเดิม พลันนึกได้ว่าเหมือนจะเคยได้ยินเสียงนี้ในอดีต คำพูดนี้ยังคุ้นหูมากจริงๆ
หนิงอี้งุนงงเล็กน้อย สวีจั้งบอกว่าเขาเคยช่วยเด็กสาวที่มีนามว่าสวีชิงเยี่ยนคนนี้…เขาขบคิดอย่างละเอียด เกรงว่าด้วยนิสัยและฐานะของสวีจั้ง ต่อให้ออกมือก็คงไม่เผยใบหน้าจริง
สวีจั้งไม่ใช่คนชอบทำความดีจริงๆ จะโทษก็โทษที่เด็กสาวนี่หน้าตางดงามมาก สวีจั้งช่วยนาง ถึงได้ทำความดีเป็นข้อยกเว้นอย่างหาได้ยาก…แต่นักกระบี่พเนจร ทำความดีแล้วจะฝากชื่อเสียงไว้ได้อย่างไร
ไม่นึกเลยว่าเพียงครู่เดียว
เด็กสาวก็พูดด้วยความตกใจ “ท่าน…หรือว่าท่านคือ”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้นด้วยความมึนงง ใจนึกเหตุใดถึงไม่เหมือนอย่างที่ตนคิดไว้
ไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบ สวีจั้งก็ถอนหายใจ “โดนเจ้าจำได้แล้วนะ…ข้าคือนักกระบี่เดียวดายผู้สง่าผ่าเผยเหนือใครเมื่อสามปีก่อน”
หนิงอี้มีสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย เขาคิดในใจว่าสุนัขเปลี่ยนนิสัยกินขี้ไม่ได้จริงๆ ตนประเมินพลังหน้าด้านของสวีจั้งต่ำเกินไป…
เอ่ยคำพูดนี้จบก็ได้ผลดังคาด สวีชิงเยี่ยนตาเป็นประกาย ถอยไปสองก้าว ก้มตัวลง พูดขอบคุณอย่างนุ่มนวล “ขอบคุณ…นักกระ…”
“นักกระบี่เดียวดาย นักกระบี่เดียวดายผู้สง่างามเหนือใคร”
สวีชิงเยี่ยนพูดด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง “ขอบคุณท่านมาก”
สวีจั้งยิ้ม พยักหน้าอย่างเขินอายและไม่เสียมารยาท ถือว่ารับคำขอบคุณนี้
หนิงอี้มีสีหน้าหลากหลาย รู้สึกปลงอยู่ก้นบึ้งหัวใจ ใจนึกแม้ตนจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แต่นี่จะต้องเป็นเรื่องราวน่าซึ้งใจน้ำตาไหลพรากอย่างแน่นอน สวีชิงเยี่ยนที่ถูกช่วยไว้ยังจำมาจนถึงตอนนี้…เพียงแค่พูดไม่ออกเท่านั้น
หนิงอี้ตำหนิเงียบๆ หากเป็นตน เรื่องซึ้งใจก็อีกเรื่อง แต่นามน่าขยะแขยงเช่นนี้คงพูดออกมาไม่ได้จริงๆ
นักกระบี่เดียวดายผู้สง่างามเหนือใคร…คำว่าสง่างามข้างหน้าเขายังไม่กล้าประจบ แต่สองคำหลังที่หยิบยกออกมาเดี่ยวๆ ได้ยากนั้นวิเศษไปเลย บรรยายลักษณะและเอกลักษณ์ของสวีจั้งได้เหมาะสมมาก
…..
สวีจั้งพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชาจบแล้ว บรรยากาศในอารามรู้กรรมก็เย็นขึ้นจริงๆ
“เมื่อวานหนิงอี้มาที่นี่รึ” สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น เห็นเด็กสาวพยักหน้าและขานรับแล้วก็พูดต่อ “โรคของเจ้าเหมือนจะดีขึ้นนิดหน่อย”
สวีชิงเยี่ยนพูดเบาๆ “ใช่ เป็นเพราะคุณชายหนิงอี้”
ทั้งสามคนเข้าไปในห้อง
หนิงอี้รู้สึกว่าตอนที่ตนเข้าใกล้สวีชิงเยี่ยน ขลุ่ยกระดูกในอกเสื้อจะสั่นไหวเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ส่งเสียงร้องเบาๆ มีความสุข เต้นอย่างมีจังหวะ
ขลุ่ยกระดูกกินแสงดาราอย่างมีความสุข…และในฟ้าดิน ในไอวิญญาณ สิ่งที่มีระดับสูงกว่าแสงดาราคือความเป็นเทพที่ลอยล่องว่างเปล่า
หนิงอี้มองเด็กสาวที่นั่งข้างตน ท่าทีอ่อนโยนทั้งตัว สมบูรณ์แบบราวงานศิลปะเครื่องเคลือบ
บนตัวสวีชิงเยี่ยนไม่มีแสงดาราใดๆ แต่กลับมีความเป็นเทพกระจายออกมาตลอด
สวีจั้งในชุดคลุมดำมองเห็นเงื่อนงำ เขาเข้าห้องมาแล้วก็ชำเลืองตามองยาลูกกลอนหลายเม็ดที่กระจายบนเตียง เอ่ยอย่างเฉยชา “ยาของเขาสู่ซาน…ไร้รสชาติแล้วรึ”
เด็กสาวพยักหน้าสีหน้าแดงก่ำ ก่อนจะรีบพูด “ยาพวกนี้ ชิงเยี่ยนจะเก็บไว้ตลอด…ภายภาคหน้าไปเมืองหลวงก็อาจจะได้ใช้”
สวีจั้งพูดอย่างเกียจคร้าน “ความเป็นเทพในตัวเจ้า…จะขยายไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด ยาของเขาสู่ซานแค่ช่วยเก็บความเป็นเทพของเจ้า รวมเป็นหยดของเหลว เจ้าจะมีชีวิตไปได้อีกสักระยะ”
สวีชิงเยี่ยนฟังด้วยความมึนงง
หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง วางบนข้อมือเด็กสาวเบาๆ แสงดาราตรงปลายนิ้วไหลผ่านข้อมือสวีชิงเยี่ยน นี่เป็นการตรวจสอบอย่างหนึ่ง แสงดาราจะแผ่จากเครื่องหน้าผู้บำเพ็ญ หกสัมผัสรวมกัน หลังแสงดาราบางส่วนหลั่งไหลเข้าไป หนิงอี้รู้สึกถึงการไหลเวียนเลือดและการเต้นของหัวใจของเด็กสาว
ร่างกายเทพสมบูรณ์แบบ แสงดาราในนั้นไหลเวียนรวดเร็วจริงๆ ไม่มีสิ่งปนเปื้อนหรือสิ่งปฏิกูลใดๆ ไม่นานหนิงอี้ก็สังเกตเห็นความผิดแปลกในกายสวีชิงเยี่ยน
ร่างกายที่มีอัตราความเป็นเทพมากกว่าครึ่งจะกำเนิดความเป็นเทพตลอดเวลา จนกระทั่งร่างนี้กลายเป็น ‘เทพเจ้า’ ที่แท้จริงหรือไม่ก็ตายไป
‘ความเป็นเทพ’ ที่ทุกคนเฝ้าใฝ่ฝัน หากไหลไปรวมเหนือศีรษะคนหนึ่ง ความจริงแล้วคือหายนะทำลายล้าง เพราะการจะใช้ ‘ความเป็นเทพ’ อย่างเดียวเพื่อขยายจนเป็นอมตะ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำสำเร็จ กายคนธรรมดารับแรงกดดันนี้ไม่ไหว
ต่อให้เป็นครึ่งเทพคนนั้นแห่งเขาลั่วเจีย ก่อนที่พลังบำเพ็ญจะเติบใหญ่ขึ้น ก็ไม่อาจต้านการรุกรานของความเป็นเทพอีกครึ่งในกายไหว
เด็กสาวได้แต่กินยาของเขาสู่ซานไปเรื่อยๆ ระงับความเจ็บปวดของตน รวมความเป็นเทพ สุดท้ายตกลงไปที่จุดตันเถียน เมื่อวานสิ่งที่หนิงอี้เห็นตรงฝ้าเพดานห้องคือน้ำวนความเป็นเทพที่กระจายออกมา คงอยู่เหมือนคลื่นลม ทว่าฤทธิ์ยาทำให้ความเป็นเทพที่กระจายนั้นรวมเป็นหยดน้ำ
หนิงอี้เข้าใจความหมายของสวีจั้งแล้ว…ความเป็นเทพจะระเบิดร่างสวีชิงเยี่ยน หากปล่อยไว้ไม่สนใจ ไม่นานสวีชิงเยี่ยนจะตาย และวิธีรักษาในโลกนี้ไม่ใช่การกระจายความเป็นเทพจึงได้แต่ควบแน่นไว้เรื่อยๆ รวมเป็นของเหลวทีละหยด
ตันเถียนของเด็กสาวมีหยดน้ำความเป็นเทพรวมไว้หลายสิบหยดแล้ว
สวีชิงเยี่ยนไม่รู้ว่าในร่างกายตน ซ่อน ‘คลังความเป็นเทพ’ แบบใดไว้
เป็นคลังสมบัติ และยังเป็นยาพิษ
…………………….