เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 33 ข้าอยากเห็นแสงสว่าง (1)
ตอนที่ 33 ข้าอยากเห็นแสงสว่าง (1)
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจัง เขาตรวจสภาพในกายสวีชิงเยี่ยนอย่างละเอียด อีกมือกำขลุ่ยกระดูก สัมผัสมือของใบกระดูกนุ่มนวลและอ่อนโยน เหมือนหยกอุ่น
หลังทะลวงขอบเขตแรก ขลุ่ยกระดูกนี้ก็เกิดสัมพันธ์เลือนรางเสี้ยวหนึ่งกับหนิงอี้ จิตใจของหนิงอี้จมอยู่ในนั้น ไม่กลับไปเจอภาพโหดร้ายอย่างคืนนั้นในลานบ้านอีก แต่รู้สึกเหมือนอาบแสงใบไม้ผลิ อบอุ่นเหมือนแช่ด้วยน้ำอุ่น ความเหนื่อยล้าทางจิตใจกับความไร้เรี่ยวแรงหายไปอย่างรวดเร็ว
ขลุ่ยกระดูกกลืนกินความเป็นเทพ นี่เป็นความลับที่หนิงอี้พบเมื่อมาอารามรู้กรรมครั้งก่อน
คลังความเป็นเทพในตัวสวีชิงเยี่ยนก็เป็นความลับเช่นกัน สถานการณ์ของเด็กสาวตอนนี้ บอกว่าแขวนบนเส้นด้ายก็ไม่เกินจริงไป ไม่มีใครรู้ว่าร่างของนางจะเก็บหยดน้ำความเป็นเทพได้อีกเท่าไร ฤทธิ์ยาของเขาสู่ซานอ่อนลงเรื่อยๆ สักวันจะไม่เป็นผลหรือไม่ การลุกลามของความเป็นเทพเริ่มช้าลง สักวันจะเร็วขึ้นหรือไม่
ภัยแฝงที่ไม่ปลอดภัยต่างๆ ซ่อนอยู่ในความเป็นเทพในกายนาง
หนิงอี้พูดเสียงเบา “เจ้าผ่อนคลายหน่อย…ข้าจะลองดูว่าช่วยเจ้าได้หรือไม่…”
เสียงของเด็กหนุ่มเบามาก เด็กสาวพยักหน้าช้าๆ นางรู้สึกถึงแสงดาราของหนิงอี้ที่ไหลเวียนช้าๆ ในตัวนาง ผ่านไปไม่นานนักก็รู้สึกถึงความอบอุ่นเสี้ยวหนึ่ง
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก นันย์ตานางสาดประกายตกใจวูบหนึ่ง ตอนแสงดาราของพี่ชายเข้าไปในตัวนาง ทั้งเย็นเยือกและเฉยชา นางไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย…ไม่ใช่แค่พี่ชาย คนพวกนั้นที่เคยตรวจร่างกายตน ผู้บำเพ็ญพวกนั้น แสงดาราของพวกเขาทำให้ตนรู้สึกต่อต้านและรังเกียจเท่านั้น
แสงดาราของหนิงอี้ต่างออกไป อบอุ่นและพึ่งพาได้
นางพ่นลมหายใจเบาๆ แม้หยดความเป็นเทพจะยังรวมในตัวนางอย่างหนาแน่น แต่เมื่อแสงดาราของหนิงอี้เข้าไป ก็เหมือนโรคเก่าถูกระงับลง ตัวเบาหวิวเหมือนอยู่บนปุยเมฆ
บรรยากาศภายในห้องหนักหน่วงขึ้น
สวีจั้งยืนอยู่ด้านข้าง กอดฝักกระบี่พินิจเหมันต์ เลิกคิ้วขึ้น เผยฝานรู้สึกถึงแรงกดดัน เหมือนกำลังแผ่ออกมาช้าๆ
หนิงอี้มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
พลังหลังปลุกขลุ่ยกระดูกเหมือนแรงดูดอ่อนๆ เขาผสานเข้ากับแสงดาราอย่างชาญฉลาด แรงดูดนี้ไม่แบ่งแยกดีเลวและไม่แบ่งแยกกาลเทศะ อยากจะกินทุกอย่าง แต่ก็อยู่ใต้การควบคุมของหนิงอี้ หลายครั้งที่จะพุ่งออกไปแต่ถูกดึงกลับมา
ไม่นานนัก แสงดาราของหนิงอี้มาถึงจุดตันเถียนของเด็กสาว
สามปี สามสิบหกเดือน
ตรงจุดตันเถียน หลังความเป็นเทพทุกหยดรวมกันก็กลมอิ่มเอิบเหมือนหยดน้ำตา สั่นไหวเบาๆ เรียงรายกันเป็นระเบียบอย่างยิ่ง
หยดความเป็นเทพทั้งหมดสี่สิบสามหยด
หนิงอี้นับดูอย่างละเอียด มั่นใจว่าเป็นจำนวนนี้
ได้ยินสวีจั้งบอกว่าเด็กสาวมาอารามรู้กรรมสามปี กินยาไปมากสุดสามสิบหกเดือน หากการกำเนิดความเป็นเทพทุกเดือนมั่นคง เช่นนั้นก็จะมีหยดความเป็นเทพสามสิบหกหยด…หยดความเป็นเทพตอนนี้อธิบายได้อย่างหนึ่ง ความเป็นเทพในตัวสวีชิงเยี่ยนไม่แน่นอน เหตุการณ์ ‘ความเป็นเทพแผ่ขยายอย่างกะทันหัน’ ที่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นในตัวเด็กสาวได้
หนิงอี้ไม่รีบร้อนลงมือเก็บ
โครงสร้างในกายมนุษย์แปลกและลึกลับ ไม่ใช่ว่ามีอวัยวะภายในก็เรียกว่าคนได้ หยดความเป็นเทพพวกนี้รวมอยู่ตรงจุดตันเถียน หากหนิงอี้บุ่มบ่ามเก็บมา ไม่ระวังไปกระทบกับการสั่งสมความเป็นเทพอื่นที่อยู่รอบๆ ก็อาจจะทำให้ความเป็นเทพชนกันแล้วระเบิด ผลเป็นอย่างไรไม่อยากจะคิด
หนิงอี้ลองใช้แรงดูดของขลุ่ยกระดูกสัมผัส ‘ความเป็นเทพ’ หนึ่งหยดเบาๆ
นี่คือสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกนี้ หนิงอี้ไม่เคยมีมาก่อน เขาอยากรู้ว่าจะเป็นพลังแบบใด
สวีจั้งเคยบอกว่าความเป็นเทพช่วงชิงไม่ได้ ไม่ว่าจะผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ หรือยอดฝีมือเผ่าปีศาจ หลังจากบรรลุถึงขอบเขตพลังที่แน่นอนจะเกิดความเป็นเทพบ้างมากบ้างน้อย นี่คือกุญแจสำคัญของการเป็นอมตะ
สงครามทะเลพลิกผันแดนอุดร หากเผ่ามนุษย์ฆ่าเผ่าปีศาจ ล่าชิงไข่มุกกำเนิด ไข่มุกหยินจะสามารถใช้บำเพ็ญภูตผีได้ ไข่มุกหยางเป็นของผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง คำว่า ‘คร้าน’ ข้างหน้า หมายถึงลำดับ ต้าสุยยิ่งใหญ่ราวฟ้าที่ปกครองโลกเผ่ามนุษย์
ทว่าความเป็นเทพช่วงชิงไม่ได้ ต่อให้มีกลอุบายพิเศษช่วงชิงความเป็นเทพได้ ก็ไม่มีทางใช้ได้ ความเป็นเทพที่ฝึกฝนจะเป็นของคนคนหนึ่ง ต่อให้วันหนึ่งไม่ต้องการแล้วปล่อยออกไปเอง ก็จะกลับคืนสู่ฟ้าดิน
ขลุ่ยกระดูกของหนิงอี้กินความเป็นเทพได้ ไม่ใช่แค่ชิงความเป็นเทพมา แต่ยัง…กลืนกินได้
ส่วนความเป็นเทพจะเกิดปฏิกิริยาแบบใดในขลุ่ยกระดูก หนิงอี้ยังไม่เคยลองสืบเสาะเลยไม่แน่ใจ แต่เขารู้ว่าความเป็นเทพเป็นของที่หายากยิ่ง เด็กสาวตรงหน้า ความจริงแล้วเป็นคลังสมบัติเท่าฟ้าสำหรับตน
ยาพิษของเจ้าคือของหวานของข้า
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก แรงดูดเบาๆ ของขลุ่ยกระดูกถูกเขาคุมไว้อย่างอยู่หมัด ดูดหยด ‘ความเป็นเทพ’ ที่เรียงอยู่นอกสุดไว้ หยดน้ำสั่นไหว หนิงอี้มองออกว่าความเป็นเทพหยดนี้สั่นไหวไม่หยุด ไม่มั่นคงอย่างยิ่ง เกรงว่าตอนที่รวมในทีแรกคงจะสุดยอดมาก ของเช่นนี้มีความเป็นธรรมชาติแผ่กระจาย แต่กลับมีพลังที่รวมกันได้
ยาหลังเขาสู่ซานเป็นยาอะไรกันแน่
ความเป็นเทพหยดนี้เหมือนจะสั่นไหวไม่หยุดเพราะความกลัว สุดท้ายเพราะแรงกดดันจึงรวมเป็นของเหลวหยดหนึ่ง
ความเป็นเทพเม็ดนั้นสั่นไหวอย่างแรง จิตใจหนิงอี้สงบลง รีบกระตุ้นแรงดึงดูดของขลุ่ยกระดูก ดูดหยดความเป็นเทพออกมา หยดความเป็นเทพรอบๆ เริ่มสั่นไหว เหมือนกลายเป็นไม่มั่นคงอย่างยิ่ง
ภายในห้อง สวีชิงเยี่ยนมีสีหน้าสับสนและซับซ้อน รู้สึกเหมือนบางอย่างในร่างกายตนถูกชิงไป นี่เป็นสัมผัสที่แปลกแต่ไม่เจ็บปวด แรงดูดเบาๆ ดึงความเป็นเทพหยดหนึ่งของนางออกมา แต่จากนั้นนางหน้าเปลี่ยนสีไป
หยดน้ำที่เหลือตรงตันเถียนเริ่มบ้าคลั่ง
แรงกดดันภายในห้องพลันเพิ่มขึ้น
เผยฝานมองหนิงอี้อย่างตึงเครียด สวีจั้งขมวดคิ้วขึ้น สายตามองลอดผ่านซอกหน้าต่างไผ่ไปข้างนอก
ในอารามรู้กรรม ใบไม้แห้งที่อยู่บนแผ่นหินครามนอกอารามเริ่มสั่นไหว ลอยขึ้นช้าๆ ปลายใบชี้ไปทางห้องไผ่ในอารามรู้กรรม สิงโตหินสองตัวแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ แท่นข้างล่างปริแตก เศษทรายหมุนม้วน ใบไม้แห้งหมุนวน
แรงดูดรุนแรงกับความเป็นเทพน่าเกรงขามปะทะกันในอารามแห่งนี้
เข็มตกยังได้ยิน
เผยฝานในห้องกำหมัดเล็กแน่น กลั้นหายใจ
จากนั้นเป็นเสียงดัง ‘ปึง’
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น สภาพจิตใจทั้งหมดพลันคลายออก แสงดาราดึงหยดความเป็นเทพออกจากตันเถียนของเด็กสาว ในที่สุดเขาก็กลับมาสู่โลกความเป็นจริง
เด็กหนุ่มโล่งอก เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ยกมือขึ้นช้าๆ คีบปลายนิ้วกลางกับนิ้วชี้ ในนั้นเป็นของเหลวสีขาวขุ่นหยดหนึ่ง รวมกันเหมือนน้ำมัน
เผยฝานเหม่อมองหยดน้ำมันนั้น ในใจนึกนี่คือความเป็นเทพหรือ
หนิงอี้รวมสมาธิในระดับสูงมาตลอดจนถึงตอนนี้เพิ่งจะผ่อนคลายลง ส่วนที่ยากที่สุดลุล่วงแล้ว เขาทาความเป็นเทพตรงปลายนิ้วลงที่สองด้านของขลุ่ยกระดูกอย่างละเอียดและจริงจัง ไม่ถึงสองลมหายใจก็ทาลงไปอีก ความเป็นเทพถูกหลอมรวมจนหมดสิ้น ผิวขลุ่ยกระดูกมันวาวขึ้นเล็กน้อย
“รู้สึก…อย่างไรบ้าง”
หนิงอี้มองเด็กสาว
สวีชิงเยี่ยนคลายปมคิ้ว นางมองหนิงอี้พลางพูดเสียงเบา “สบายมาก…”
เด็กสาวลูบตรงระหว่างคิ้วตนเอง ความเจ็บปวดที่ยาวนานตรงนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง นางไม่รู้สึกถึงการแผ่ขยายของความเป็นเทพ โรคร้ายที่แฝงในกายยังถูกหนิงอี้ดึงออกมาเม็ดเล็ก ตอนนี้ร่างกายดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สวีชิงเยี่ยนเปลือยเท้าทั้งสองข้าง กระโดดลงเตียง ลองยืดเส้นยืดสายตัวเองดู หนิงอี้มองเส้นผมยาวของเด็กสาวปลิวไสวเหมือนพู่ระย้ากลางเส้นแสงในห้อง เวลานี้ถึงกับเหม่อลอย
จนกระทั่งเสียงดังแว่วมา ดึงเขากลับมา
“หนิงอี้…”
หนิงอี้รีบนั่งเรียบร้อย มองเด็กสาวก้มตัวลง ลองเอามือแตะข้อเท้า เงยหน้าขึ้นก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “พี่ชายบอกข้ามาตั้งแต่เล็กว่าจะโดนแสงไม่ได้…ก็เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่”
หนิงอี้อึ้งไปก่อนจะตั้งสติกลับมาได้ “ใช่ ใช่แล้ว”
ความเป็นเทพอยู่คู่กับแสง คนธรรมดาต้องอาบแสงตะวัน แต่สวีชิงเยี่ยนกลับสัมผัสไม่ได้ หากสัมผัสกับแสงบนฟ้า ความเป็นเทพในตัวนางจะควบคุมได้ยากมาก
สภาพร่างกายดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กสาวยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง แสงสว่างที่ส่องมาทางหน้าต่างไผ่ตกลงกลางฝ่ามือนาง…ไม่ร้อน อบอุ่นและสบาย ลายด่างเงาผีเสื้อบินว่อน ฟันเงามืดแตกกระจาย
สวีชิงเยี่ยนถามเสียงเบา “ข้า…ตอนนี้ออกไปดูได้หรือไม่”
หนิงอี้ก้มหน้าหลุบตาลง ส่ายหน้า ไม่กล้ามองตาเด็กสาว
“ตอนนี้เกรงว่าคงไม่ได้…แต่หากเจ้าหายดีแล้วก็ผลักประตูบานนั้นไปเห็นแสงสว่างได้”
ตอนที่พูดว่า ‘เห็นแสงสว่าง’ หนิงอี้สีหน้าจริงจัง น้ำเสียงแน่วแน่มากแล้วเอ่ยอีกว่า “เชื่อข้า”
………………………