เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 36 งูหญ้ากับเส้นสีเทา
ตอนที่ 36 งูหญ้ากับเส้นสีเทา
แผ่นดินที่ผ่านการเผาไหม้ เศษหญ้าเป็นเถ้าถ่าน เมื่อสายลมพัดผ่าน ผนังหินภูเขาเล็กทั้งสองข้างสูงชัน ทิ้งร่องรอยขีดข่วน ลำต้นถูกเผา กิ่งก้านโล้น งูหญ้าสีเขียวห้อยอยู่ตัวหนึ่ง ขดตัวพันรอบกิ่งไม้ เงยศีรษะเรียบแบนขึ้น ดวงตาเรียบนิ่งและเฉยชามองกลุ่มคนที่กำลังเดินทางอยู่กลางถนน หางงูห้อยลงมาแกว่งไกวตามสายลม แลบลิ้นฟ่อๆ
เหล่าบุรุษที่สวมชุดคลุมสีเทาตัวใหญ่ย่อตัวลง เพ่งมองสภาพน่าเวทนาบนพื้นเงียบๆ
ผ่านไประยะหนึ่งหลังจากเกิดเรื่อง
คราบเลือดแห้งแล้ว เห็นเพียงจุดสีแดงรางๆ เหมือนอำพันและยังเหมือนผลึกสีแดงที่ผ่านการหลอม ฝังอยู่กลางหลุมบนพื้น
ตู้รถตอนที่เกิดเรื่องลากไปกับพื้น ทิ้งรอยบากไว้บนพื้น เหมือนถูกคนใช้คมหนักๆ กดลงกับพื้นแล้วผลักไปทีละนิด
“โซ่ฟาดพื้นจนเกิดหลุม มีคราบเลือดเล็กน้อย…” มีคนยื่นมือออกมาช้าๆ คลำพื้นใต้เท้า เขาพูดเสียงเบา “คนที่ปล้นสินค้านั้นขององค์ชายสาม…มีวิชากระบี่ดีมาก กระบี่เดียวฟันโซ่ผูกรถขาด โซ่ทำจากเหล็ก ราชวงศ์ไม่ใช้โซ่คุณภาพต่ำพวกนี้แน่นอน และยังมีคนอีกพวก น่าจะเป็นโจรม้าท้องถิ่น พวกมันกล้ามาปล้นสินค้าครั้งนี้ เบื้องหลังต้องเป็นองค์ชายรองแห่งแดนบูรพาแน่นอน”
“‘มือ’ นั้นที่องค์ชายรองยื่นมาถูกกระบี่นี้ฟันขาด โซ่เหล็กเป็นสิ่งยืนยันที่ดีที่สุด” บุรุษชุดคลุมสีเทายืนขึ้น เลียนิ้วตนแล้วพูดขึ้น “มีกลุ่มที่สามดักปล้นสินค้า พลังบำเพ็ญไม่สูง แต่กระบี่คมมาก โจรม้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา โจรม้าพวกนี้ไปที่ไหนแล้ว”
คนอื่นมองหน้ากัน ไม่รู้จะตอบอย่างไร
บุรุษชุดคลุมสีเทาที่เป็นผู้นำมองเห็นสีหน้าไม่ชัด เขาหันกลับมา ห่างไปไม่ไกลมีลำแสงพุ่งเข้ามา มีคนเหยียบบนกระบี่บิน พูดด้วยสีหน้าดำมืด “ท่านซ่งตายแล้ว”
“ซ่งฉยงมีพลังบำเพ็ญขอบเขตที่สิบ องค์ชายรองยอมจ่ายหนักข้ามสองดินแดนบูรพาและประจิม ให้คนเหนือกว่าสิบขอบเขตออกมือเพื่อปล้นสินค้าครั้งนี้รึ” บุรุษชุดคลุมสีเทายิ้ม “ข้าเดาว่าเป็นฝีมือเขาสู่ซาน”
บุรุษที่ขี่กระบี่มีสีหน้าย่ำแย่มาก เขาคือคนกลุ่มนั้นที่ล่าสังหารสวีจั้งในเมืองไร้มลทินตอนนั้น มาจากเขาอนันต์เล็ก
“องค์ชายสามจะมาถึงแดนประจิมในไม่ช้าแล้ว สินค้าครั้งนี้หายไป เป้าหมายขององค์ชายรองลุล่วงแล้ว เขาไม่สนว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร แต่พวกเราขายหน้า”
บุรุษชุดคลุมสีเทาเอ่ยนิ่งๆ “พวกเรายืนอยู่หน้าและหลังองค์ชาย แม้แต่เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้…ตำหนักทะเลสาบกระบี่กับเขาอนันต์เล็ก จากนี้ควรจัดการอย่างไรดี”
“ซูขู่ ที่นี่คือเส้นเขตแดนเขาสู่ซาน จะหาเรื่องไม่ได้ง่ายๆ” บุรุษที่ขี่บนกระบี่บินสูดลมหายใจเบาๆ วัดกันที่ความอาวุโส เขาต่ำกว่าซูขู่ครึ่งหนึ่ง ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้อาวุโสคุมกฎของเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ แต่วัดกันที่พลังบำเพ็ญ เขาอยู่ขอบเขตที่สิบ ซูขู่จุดดาราชะตาแล้ว ความต่างระหว่างสองคนเหมือนเมฆและดินเลน
“พันกรแห่งเขาสู่ซานร้ายกาจมาก คนตาบอดก็เก่งมากเช่นกัน ผีพนันเองก็ร่วมด้วย” ซูขู่รวบชุดคลุมสีเทา น้ำเสียงเรียบนิ่งถึงที่สุด “นอกจากพวกเราสามคนแล้ว เขาสู่ซานยังมีใครอีก”
บนเขาสู่ซาน มีผู้บำเพ็ญสามคนที่ทะลวงขอบเขตที่สิบ
ผู้อาวุโสเขาอนันต์เล็กที่ขี่กระบี่บินขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเบาๆ เขารู้ว่าซูขู่เพิ่งทะลวงขอบเขตที่สิบ มาถึงเขาสู่ซาน ไม่เห็นใครในสายตาจึงเอ่ยเตือน “ซูขู่ เจ้ากับข้าล้วนดูแลงานแทนองค์ชายสาม ครั้งนี้ไม่ได้มาล่วงเกินเขาสู่ซาน แต่มาดึงพวกเขาร่วมด้วย”
“ดึงร่วมด้วยรึ ดึงใคร เขาสู่ซานหรือ” ข้างหลังบุรุษชุดคลุมสีเทามีคนติดตามเป็นกอง เขาเลิกคิ้วขึ้นมองบุรุษขี่กระบี่บิน สองมือไพล่หลัง เอ่ยถาม “พวกเจ้าเขาอนันต์เล็กถูกสวีจั้งสังหารไปยังไม่พออีกหรือ เจิ้งฉีเจ้าไปเมืองไร้มลทินด้วยตัวเอง แต่ได้หัวของคนแซ่สวีนั่นมาหรือไม่”
ผู้อาวุโสคุมกฎเขาอนันต์เล็กที่ชื่อเจิ้งฉีหน้าแดงก่ำ แขนเสื้อใหญ่ขยับไปมา กระบี่บินสั่นไหวไปมา ศิษย์ข้างหลังเลิกคิ้ว มองหน้ากันด้วยความโกรธ แต่ละคนโกรธจัด สุดท้ายพูดไม่ออกสักคำ
ซูขู่ยิ้มเยาะ ทำเป็นไม่เห็น
เขาเดินเลียบเส้นทางไปตามกลิ่นอายพลัง ข้างหลังเป็นคนขี่ม้าตามสองคน บรรยากาศตึงเครียดลับๆ
งูหญ้าที่ห้อยบนกิ่งไม้หันหน้าหนีไม่มองอีก ก่อนจะตกลงพื้นดังแปะ เลื้อยไปตามหินภูเขา ร่องรอยทั้งหมดถูกลากเป็นเส้นยาวสีเทา
…….
“ที่นี่ยังเกิดการต่อสู้ขึ้น เดือดกว่า เร็วกว่าก่อนหน้านี้”
ซูขู่มาหยุดอยู่หน้าต้นไม้แห้งยักษ์สองต้น เขามองลูกธนูเหล็กที่ปักลำต้น หมุนเป็นเกลียวเข้าไปในลำต้น เศษไม้เป็นเถ้าถ่านหายไปนานแล้ว ลำต้นใหญ่มากกว่าครึ่งถูกเผาจนหมด เขายื่นมือมาช้าๆ คว้าตรงกลางธนูเหล็ก รู้สึกถึงอุณหภูมิเย็น แสงดารากระจายออกช้าๆ วนเวียนรอบข้อมือ
ซูขู่หลับตาลง เขาเหมือนเห็นภาพในคืนนั้น
บุรุษในชุดคลุมสีเทาขยับศีรษะ หลังหลับตาลงก็เหมือนอยู่ในเงามืด ใช้ ‘สายตา’ เล็งภูเขาเล็กอยู่ไกลๆ
เขา ‘มองเห็น’ ว่ามีคนอยู่บนเขานั้น ถือคันศร ยืนกราน และยิงธนูลงมา
บนเขาเล็กนั้นมีทหารม้าจำนวนมากชักดาบออกมา ก่อนจะพุ่งออกไปตามลูกธนูเหมือนกระแสน้ำ เป้าหมายคือต้นไม้สองต้นนี้…ไม่สิ มีเพียงต้นเดียว ต้นก่อนหน้านี้ถูกธนูเหล็กติดไฟทะลวง เผาจนไม่เหลือชิ้นดี
มีคนซ่อนอยู่หลังต้นไม้หรือ
ซูขู่ลืมตาขึ้นช้าๆ เขาเพ่งมองร่องรอยเละเทะบนพื้น ภายใต้แสงดาราไหลเวียนในดวงตา คราบเลือดบางส่วน ต่อให้ผ่านการตากลมไปสี่สิบวันก็ยังคงเด่นชัดเจน มีธนูยิงมาจากภูเขาเล็กนั่น ทั้งหมดสี่ดอกรึ หรือห้าดอก นี่ไม่สำคัญ…สิ่งที่สำคัญที่สุดคือซูขู่เห็นธนูสองดอกอยู่ไกลมาก
ถูกกระบี่ฟันขาด ลูกธนูพุ่งหมุนมาด้วยความเร็วสูงก็ยังถูกกระบี่ฟันขาด ฝีมือเช่นนี้เหมือนกับคนนั้นที่ดักปล้นสินค้า…ซูขู่ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คนนั้นตอนปล้นสินค้า กระโดดฟันกระบี่ลงมาจากที่สูง ไม่อาจคาดการณ์รูปร่างได้ กระบี่นี้ตอนนี้ฟันจากล่างขึ้นบน แสงดาราไหลเวียนในความคิด ลุกพรวดขึ้น ภาพฟันกระบี่ใส่ธนูลอยขึ้นมาช้าๆ ในดวงตาซูขู่ รวมเป็นรูปร่าง
เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่อายุไม่เกินสิบหกปี ความสูงกับลักษณะวนเวียนในความคิดซูขู่ หลังผู้บำเพ็ญทะลวงขอบเขตที่สิบ พลังของแสงดาราจะเริ่มแกร่งขึ้นและครบด้าน วิชากระบี่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่สามารถขยายทะเลจิตได้ ดังนั้นทะเลจิตของซูขู่จึงแกร่งกว่าปกติ
เปลี่ยนคำพูด เขามีความสามารถในการอนุมานเหนือกว่าคนปกติ
ซูขู่ยืนอยู่ที่เดิม ขบคิดเงียบๆ อยู่นานมาก
บนเขาไม่มีคราบเลือด คนนั้นที่ยิงธนูล่ะ หนีไปแล้วหรือ ตนยังคว้าอะไรได้อีกหรือไม่
ซูขู่ไปที่หมู่บ้านภูเขาของโจรม้าด้วยตนเอง ไม่ได้ลงมือสังหาร เพียงแค่แสดง ‘พลังบำเพ็ญ’ ของตนแล้ว เขาก็ได้รับการสนับสนุนและเชื่อฟังจากโจรม้าพวกนี้อย่างง่ายดาย
คนที่วางแผนปล้นสินค้าครั้งนี้ขององค์ชายคือกลุ่มหิรัญโจรม้าที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้ แต่ก็เงียบหายไปหมดแล้ว…ความจริงซูขู่ก็คาดเดาได้แล้ว เกรงว่ากลุ่มหิรัญคงจะตายไปหมดแล้ว
สุดท้าย เขาได้ข้อมูลที่สำคัญมาก
เมื่อเดือนก่อน เดือนนั้นที่ฝนตกติดต่อกัน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถือกระบี่ร่มที่ตัดทุกอย่างขาดออกเข่นฆ่าครั้งใหญ่นอกชานเมือง สังหารโจรม้าโดยเฉพาะ
และที่น่าเยาะเย้ยคือเล่าลือกันว่าเด็กหนุ่มคนนั้นแซ่หลี่
ทว่าเบาะแสหายไปตรงนี้
ทหารม้าจากตำหนักทะเลสาบกระบี่กับเขาอนันต์เล็กไม่สะดวกที่จะแสดงพลังในเขตภูเขาสู่ซาน การได้ข่าวกรองจึงยากมาก ต่อให้ซูขู่ออกมือด้วยตนเอง ตรวจสอบในเมืองหุบเขาฟางทั้งวันก็ยังไม่พบเด็กหนุ่มแซ่หลี่ที่ตรงกับเงื่อนไข ข้อมูลทั้งหมดไม่ตรงกันเลย
ในใจซูขู่ เด็กหนุ่มที่เข่นฆ่านอกชานเมืองวันฝนตกกับร่างเงานั้นที่ดักปล้นสินค้าขององค์ชายสามซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียว
เด็กหนุ่มคนนั้นใช้ชื่อแซ่ปลอมอย่างเจ้าเล่ห์
ในระยะสามพันลี้รอบเขาสู่ซาน เมืองเล็กใกล้ๆ มีสิบกว่าเมือง มีประชากรทั้งหมดสองแสนคน
เวลาที่รถม้านั้นจะมาถึงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
ซูขู่ติดอยู่ในก้าวสุดท้าย
จนกระทั่งช่วงสุดท้ายมาถึง
……
ซูขู่ต้อนรับองค์ชายท่านนั้นด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน หลี่ไป๋หลินไม่ได้ลงจากรถ คนที่ลงมาจากรถม้าเป็นบุรุษหนุ่มผอมบาง จอนผมสองข้างออกสีขาวเล็กน้อย ดูเหมือนป่วย
คนจากเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่รู้ว่าท่านนี้คืออาจารย์ขององค์ชาย
สวีชิงเค่อฟังคำพูดของซูขู่เงียบๆ จนจบ ใช้เวลาอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็รู้ความคืบหน้าของเรื่อง
“สินค้านี้…ความจริงไม่สำคัญ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสำคัญมาก” บุรุษหนุ่มที่ลงจากรถพูดเช่นนี้ เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “สินค้านี้จะถูกใครปล้นไปก็ได้ ถึงอย่างไรเราก็จะคิดบัญชีกับหลี่ไป๋จิงอยู่แล้ว แต่หากมีคนรู้ว่านี่เป็นสินค้าของเรา และยังกล้าปล้น…เช่นนั้นมันก็สมควรตาย ส่วนมันจะแซ่หลี่หรือไม่ ผลก็เหมือนเดิม”
รถม้าของหลี่ไป๋หลินเดินไปตามเส้นทางนั้นที่ซูขู่เดินไปอีกรอบ สุดท้ายมาหยุดอยู่ตรงต้นไม้แห้งหักสองต้นกับภูเขาเล็ก
หลี่ไป๋หลินหลับตาลงพักผ่อน
สวีชิงเค่อลงจากรถ รับหัวธนูเหล็กกล้าหลายดอกที่ซูขู่ส่งมา หัวธนูพวกนี้บ้างดึงมาจากพื้น บ้างดึงมาจากต้นไม้ เหล็กขึ้นสนิม และยังมีคราบเลือด เขาแค่ชำเลืองตามองทีหนึ่งก็ส่งคืนไป
พวกนี้คือเบาะแสที่สำคัญมาก
แต่พวกนี้ก็ไม่ใช่เบาะแสที่สำคัญที่สุด
สวีชิงเค่อออกไปหนึ่งชั่วยาม ตอนที่กลับขึ้นรถม้าอีกครั้ง ในมือเขาถือธนูขนนกหักอันหนึ่ง ธนูขนนกไม้ธรรมดา สามารถเก็บในกล่องธนูได้ เป็นธนูที่นายพรานใช้เป็นประจำ
ถูกธนูเหล็กกล้ายิงแทบจะแตกหัก
เขามององค์ชายสามก่อนจะแบมือออก พูดนิ่งๆ “เรื่องราวในโลกนี้ ขอแค่เกิดขึ้น เช่นนั้นก็จะเกิดขึ้นแล้ว มักจะมีวิธีหาเบาะแสเสมอ”
หลี่ไป๋หลินมองธนูขนนกหักนั้นแล้วพูดเสียงเบา “เบาะแสคืออะไร”
“เบาะแสคือ…ธนูขนนกนี่ คุณลักษณะ คุณภาพ พื้นที่ ตราประทับ พวกนี้มากพอจะให้เราไปหาต้นตอสินค้า และต้นตอสินค้าหมายถึงพื้นที่ หมายถึงความจริงที่เข้าใกล้ไปอีกก้าว”
สวีชิงเค่อพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นขั้นตอนที่ยาวนาน พวกเราต้องรอสักระยะ”
หลี่ไป๋หลินพูดเสียงนุ่มนวล “เรายังมีงานกันอีก”
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ” สวีชิงเค่อยิ้ม ก่อนจะยื่นมืออกไปนอกหน้าต่างครึ่งหนึ่ง เตรียมจะโยนธนูขนนกนี้ออกไป มองต้นไม้ข้างทางที่เริ่มถอยไปเรื่อยๆ เขาพึมพำในใจ ‘ถือว่าเจ้าโชคดี’
จากนั้นเขาเห็นบุรุษคนหนึ่งลุกขึ้นมาจากพุ่มไม้ในสภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง
ตอนที่สบสายตากัน มีเพียงหนึ่งลมหายใจสั้นๆ เท่านั้น
บุรุษคนนั้นถือเชือกสีแดงในมือ ห้อยเหรียญทองแดงอันหนึ่ง ทั้งตัวมีแต่คราบเลือด น่าเวทนาแต่ก็แน่วแน่ สายตามองตน เหมือนคาดเดาได้ว่ารถม้าขององค์ชายสามจะผ่านมาทางนี้
คนที่เหลือรอดคนเดียวในกลุ่มหิรัญ
สี่สิบวันนี้ รองหัวหน้ากลุ่มหิรัญสัมผัสได้ว่าเจตนารมณ์ของผู้มีอิทธิพลท่านนั้นแห่งแดนบูรพาห่างไกลน่ากลัวเพียงใด หลังปล้นสินค้าพลาด กลุ่มทั้งยุทธภพ ขุมอำนาจต่างๆ พายุฝนโหมซัดสาดมา ล่าสังหารกากเดนคนสุดท้ายอย่างตน เขาไม่มีทางให้หนีแล้ว
บุรุษเอามือข้างหนึ่งจับเชือกผูกเหรียญทองแดง อีกมือจับกริชกดที่ลำคอตนเอง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสำคัญที่จะตัดสินชะตาชีวิตตนเอง เขาจึงมองรถม้าและออกแรงตะโกนเสียงดังน้ำเสียงแหบแห้ง “คนอยู่ในยุทธภพ ตัวไม่เป็นอิสระ เมื่อก่อนข้าไม่มีทางเลือก ตอนนี้ข้าอยากมีชีวิต ข้ารู้ข่าวที่สำคัญมาก…ขอแค่องค์ชายสามให้โอกาสข้าสักครั้ง!”
………………………..