เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 42 ใช้กระบี่สังหารกฎ
ตอนที่ 42 ใช้กระบี่สังหารกฎ
องครักษ์ราชวงศ์มีพลังบำเพ็ญสูงเพียงใด
ในมุมมองคนตาบอด ผู้บำเพ็ญที่จุดดาราชะตา ทุกคนเป็นอัจฉริยะที่น่าตกใจอย่างยิ่ง คนที่จุดดาราชะตาได้สามดวง เป็นหนึ่งในหมื่นในอัจฉริยะ
การจะเป็นองครักษ์ของราชวงศ์แห่งเมืองหลวงได้ อย่างน้อยต้องเป็นหนึ่งในหมื่นในหมู่อัจฉริยะ
บางทีอายุพวกเขาอาจจะแก่ชราแล้ว ตอนนั้นทำผิดที่ไม่อาจอภัยโทษได้ เพื่อไถ่โทษจึงยอมเข้าราชวงศ์ต้าสุย คุ้มกันให้ทายาทของจักรพรรดิ
บางทีตอนนั้นพวกเขาอาจจะเป็นหนึ่งในราชวงศ์ต้าสุย มีพรสวรรค์เหนือชั้น เพื่อทะลวงพลัง อยู่ในโลกมนุษย์ใช้ชีวิตมาถึงขีดจำกัดห้าร้อยปีเต็มแล้ว จึงยอมเข้าสายเลือดองครักษ์ แลกกับทรัพยากรบำเพ็ญอย่างไร้กังวล ราคาต้องจ่ายคือไม่ได้เห็นแสงตะวันตลอดไป
ระยะห่างหมื่นลี้ พันภูเขาหมื่นสายน้ำ ใช้แค่การเชื่อมต่อระหว่างสายเลือดก็ขังตนในที่นี่ได้…คนตาบอดรู้ว่าพลังบำเพ็ญขององครักษ์ผู้นี้ เกรงว่าคงเป็นชั้นสูงสุดในทรัพยากรที่องค์ชายสามมีทั้งหมด
มองไปในโลกหล้า ผู้บำเพ็ญที่เดินไปสู่นิพพานเกิดดับล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอด
จากนั้น…
ขวานสีทองยักษ์นั้นถูกฟันเป็นแสงทองสว่างสองสาย
คนยักษ์เกราะทองที่ขยับแสงทองวาววับนั้น ตัวรวมถึงเกราะ ช่วงเอวถูกกระบี่ของสวีจั้งฟันขาด
องครักษ์ที่กระโดดขึ้นสูงยังอยู่กลางอากาศ หยุดชะงักพริบตาหนึ่ง พริบตาต่อมา แสงกระบี่เก็บไป โลหิตสีแดงฉานทะลวงปราการสีทองคุ้มกาย พลันพุ่งทะลักออก ระเบิดกลางอากาศดังปัง
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของหลี่ไป๋หลิน แสงทองนั้นที่วินาทีก่อนยังทำลายล้างทุกสิ่งพลันระเบิดกระจายเช่นนี้
ปลายกระบี่ยกขึ้นและกดลงอีกครั้ง การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นธรรมชาติมาก สวีจั้งมีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ดึงกระบี่ร่มขนาดไม่ใหญ่นั้นกลับ ก่อนจะหมุนคมกระบี่ออก ‘พรึ่บ’ ร่มกางออก
ฝนโลหิตสีทองตกลงมา
หยดเลือดเหมือนน้ำหมึกตกลงบนร่มดังเปาะแปะ
สวีจั้งยืนข้างกายหนิงอี้ จับด้ามร่มหมุนเบาๆ เลือดหลายหยดกระจายออกไป ตกลงพื้น การกัดกร่อนรุนแรงยิ่งทำให้พื้นเป็นหลุมเว้าลงไป ลุกลามไปเรื่อยๆ ฝนโลหิตตกปรอยๆ ศพหนักอึ้งพลันกระแทกลงกับพื้น ร่างคนกลางหลุมเว้าทำให้ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย อุณหภูมิร้อนลอยขึ้นช้าๆ กลายเป็นหมอก
“ได้ยินว่าสายเลือดราชวงศ์ต้าสุย…ร้ายกาจมากนักหรือ”
บุรุษมองหลุมเว้าร่างคนที่กระแทกลงกับพื้น สายตาเย้าหยอกและเหยียดหยาม เขาเงยหน้าขึ้นมององค์ชายสามหลี่ไป๋หลิน เหมือนกำลังมองตัวตลกที่สุดในโลก
หนิงอี้สังเกตเห็นว่าพลังบำเพ็ญของสวีจั้งลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อพลังแผ่ออก ความเร็วในการลดลงก็เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า…และหลังจากออกกระบี่นั้นก็เหลือเพียงขอบเขตที่ห้า
เป็นขอบเขตที่ห้าจริงๆ ไม่ใช่อำพรางพลัง ไม่ใช่ขอบเขตที่ห้าที่แต่งเป็นหมูกินเสือ
เมื่อสิ้นเสียงสวีจั้ง ปลายกระบี่กดลงกับพื้น กระบี่นั้นที่เพิ่งแทงออกไปเหมือนฉีกอะไรบางอย่าง ทำให้ยามราตรีทั้งหมดหยุดนิ่ง แรงกดดันจากสายเลือดราชวงศ์ที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้ถูกปราณกระบี่พินิจเหมันต์ฟันขาดเป็นรู แตกกระจายในพริบตา
ดวงตานั้นของหลี่ไป๋หลินถอดสีอย่างรวดเร็ว สายเลือดของราชวงศ์ถอยกลับไปอย่างไร้การควบคุม
นอกจากตอนนั้นที่เห็นบิดาสำแดงพลังแห่งสายเลือดในเมืองหลวงแล้ว เป็นครั้งแรกที่องค์ชายสามรู้สึกถึงความกลัวจากตัวคนอื่น
ใต้หล้าล้วนเป็นดินของจักรพรรดิ
ในแผ่นดินของจักรพรรดิล้วนมีกฎ
ในขอบเขตการจำกัดของกฎ ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ สำนักเต๋าฝ่ายพุทธ สี่สำนักศึกษา พบตนต่างต้องเกรงใจ ต่อให้เป็นพี่รองของตน ที่วางแผนสังหารตนทั้งทางมืดและทางสว่าง เวลาที่เจอหน้ากันจริงๆ ในเมืองหลวงก็ยังคงยิ้มให้กัน ไม่กล้าเผยจิตสังหารแม้แต่น้อย
บิดาของตนก็คือกฎที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
แต่ในมือสวีจั้งมีกระบี่เล่มหนึ่ง
กระบี่นั้นแหลมคมยิ่ง เล่าลือว่าตัดได้ทุกสิ่งในโลก รวมถึงกฎ
และคนนั้นที่ถือกระบี่ สังหารกฎโดยเฉพาะ
หนิงอี้มองหมอกโลหิตสีทองกระจายเต็มฟ้า ในใจมีเพียงความตกตะลึง เขามองสวีจั้ง รู้สึกว่าชุดคลุมดำนั้นสูงใหญ่และพึ่งพาได้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“น่าเสียดายจริงๆ…ถ้าเจ้าเรียกองครักษ์มาอีกสองสามคน เรียกผีแก่ระดับครึ่งก้าวนิพพานพวกนั้นในเมืองหลวงมา ข้าก็สังหารได้ด้วยกระบี่เดียวเช่นกัน”
สวีจั้งยิ้มมุมปากอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใด “คนแซ่หลี่ เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นใคร และน่าจะรู้ว่าสิบปีมานี้ข้าทำอะไรบ้าง…”
“อย่าริอ่านใช้อุบายนั้นที่ล่วงเกินเบื้องสูงต้องถูกประหารนั้นมาขู่ข้า…บิดาเจ้าฆ่าอาจารย์ข้า ข้าไม่ใช่คนที่จะฆ่าพวกมดปลวกราชวงศ์เพื่อแก้แค้นหรอกนะ”
สวีจั้งยิ้ม “เจ้าพูดได้ว่าข้าจะประทุษร้ายต่อจักรพรรดิ หรือคิดจะโค่นล้มต้าสุย ข้ายินดีมากที่จะยอมรับคำชมเช่นนั้น”
หนิงอี้ได้ยินสวีจั้งพูด ก็รู้ว่าสวีจั้งก็ยังเป็นสวีจั้งคนนั้น
สวีจั้งที่เฉยชาได้ทุกที่ไม่ว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมใด
เหตุผลง่ายมาก
ขอแค่กระบี่เจ้าคมพอ ขอแค่คนของเจ้าแกร่งพอ
องค์ชายสามเงียบ
เขาเพียงแค่มองศพนั้นบนพื้นเงียบๆ
บรรยากาศพลันหยุดนิ่ง
เพราะตอนนี้หลี่ไป๋หลินมีสีหน้าเศร้าโศกและเจ็บปวด ในสายเลือดราชวงศ์ฉุดดึงสภาพจิตใจแปลกประหลาด ที่สายเลือดราชวงศ์ต้าสุยสืบทอดกันมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เป็นเพราะราชนิกุลคนสำคัญทุกยุคมีน้อยมาก
คนประเภทเดียวกันมีน้อย การฝึกบำเพ็ญไม่ง่าย ฐานะระหว่างกันสูงส่งยิ่ง
พวกเขาปกครองชีวิตมากมายบนผืนดินแห่งนี้…คำพูดนี้เริ่มมาตั้งแต่เกิด ก็ฝังลึกลงในความคิดหลี่ไป๋หลิน
ราชนิกุลสายเลือดตรงของราชวงศ์ทุกท่านการคงอยู่ล้วนสูงส่ง
ตอนที่องครักษ์ผู้นี้สิ้นชีพ ทั้งแผ่นดิน ราชนิกุลทั้งหมดที่เชื่อมต่อผ่านสายเลือดราชวงศ์ต่างรู้สึกเจ็บปวดอย่างจริงแท้
โทษของผู้ต่อต้าน
สวีชิงเค่อในรถม้าถอนหายใจ
หลี่ไป๋หลินเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาที่เขามองสวีจั้งไม่มีความโกรธ มีเพียงความเรียบนิ่ง และยังมีความเจ็บปวดลึกลงไปในสายเลือด
สวีจั้งสังหารสมาชิกคนสำคัญของราชวงศ์ต้าสุย
นี่เป็นโทษล่วงเกินและต่อต้านสูงสุดในแผ่นดิน อภัยให้ไม่ได้
โทษเช่นนี้มากพอจะตอกสวีจั้งกับทุกที่ในแผ่นดินนี้ ไม่มีทางหนีรอด เว้นแต่จะหนีไปถิ่นเผ่าปีศาจนอกทะเลพลิกผันแดนอุดร…สิ่งที่สวีจั้งต้องเจอนับจากนี้จะโหดร้ายกว่าที่เขาถูกล่าสังหารมาสิบปีสิบเท่าร้อยเท่าพันเท่า
เพราะนี่คือแผ่นดินของต้าสุย
นี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครกล้าล่วงเกินราชนิกุลคนสำคัญ
หลี่ไป๋หลินประคองรถม้า ใบหน้าดูอ่อนแอและซีดขาว เขาไม่พูดสักคำ แค่บีบจี้หยกชิ้นที่สองแตกด้วยความสงบนิ่งสุดขีด
เปลวเพลิงร้อนแรงหมุนม้วน แผ่ออกจากองค์ชายสาม พาเขากับตู้รถม้านั้นกลายเป็นความว่างเปล่ากลางเปลวเพลิง
หนิงอี้เหม่อมองพื้นที่ที่ไฟลุกท่วมก่อนจะกลายเป็นความว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ
“บีบจี้หยกเคลื่อนย้ายกลับเมืองหลวงไปแล้ว” สวีจั้งถอนหายใจด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ…ตอนแรกข้าคิดว่าเมื่อเสียราชนิกุลในสายเลือดไปแล้วจะโมโหคลั่งขึ้นสมองเสียอีก แล้วก็เรียกองครักษ์พลังบำเพ็ญสูงกว่ามา”
หนิงอี้เห็นเปลวเพลิงห่อหุ้มองค์ชายสามกับรถม้ากับตา เขาไม่เคยคิดเลยว่าในโลกผู้บำเพ็ญจะมีวิธีการน่าเหลือเชื่อเช่นนี้
“นี่เป็นเพียงค่ายกลอย่างหนึ่ง” สวีจั้งชำเลืองตามองหนิงอี้ ก่อนจะพูดเหยียดหยาม “ค่ายกลระดับต่ำเป็นแค่วิชาพรางตา ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงหรอก”
พูดถึงค่ายกล สวีจั้งเหมือนจะนึกอะไรออก
เขากวาดสายตามองแผ่นดินช้าๆ มองคนเขาอนันต์เล็กทุกคนที่ตอนนี้ยังหมอบอยู่บนพื้น
คำว่าค่ายกลกระแทกในใจเจิ้งฉี ทำให้เขาตัวสั่น เขาอนันต์เล็กมีชื่อเสียงเรื่องค่ายกล…
ตอนนั้นในเขตแดนเทือกเขาประจิม ผู้อาวุโสคุมกฎคนนี้อยู่ในกลุ่มขุมอำนาจล่าสังหารสวีจั้งด้วย
เจิ้งฉีก้มหน้าลง ตัวสั่นไปทั้งตัว เหงื่อไหลลงมา ไม่กล้าสบตาบุรุษชุดคลุมดำคนนั้น เขาไม่นึกเลยว่าในขณะที่พลังบำเพ็ญลดลงเรื่อยๆ บุรุษคนนี้จะยังมีกำลังสังหารแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้
นี่มันหลักการอะไรกัน
พลังลดลงเรื่อยๆ มาถึงขอบเขตที่ห้า กลับยังใช้กระบี่เดียวสังหารองครักษ์ระดับราชันชะตาของราชวงศ์ต้าสุยได้
โลกนี้…เหตุใดถึงมีผู้บำเพ็ญที่ไร้เหตุผลเช่นนี้อยู่
บุรุษคนนั้นสังหารคนจากราชวงศ์ต้าสุยจริงๆ เจิ้งฉีคิดว่าบุรุษคนนี้รังแกคนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง ถูกรุ่นเยาว์ที่ยังไม่ถึงขอบเขตดาราชะตาล่าสังหารก็เพราะพลังบำเพ็ญลดงลงมาก
แต่ใครจะรู้ว่าเขากล้าสังหารกระทั่งคนของราชวงศ์
นี่คือโทษต่อต้านที่ร้ายแรงที่สุดในโลกหล้า!
สวีจั้งชำเลืองตามองคนจากเขาอนันต์เล็กทีหนึ่ง ก่อนพูดเสียงเบา “พวกเจ้าลงมือกันเองเถอะ”
เจิ้งฉีอึ้งไป เงยหน้าขึ้น มองสวีจั้งอย่างไม่กล้าเชื่อ
สวีจั้งเอ่ยอย่างเฉยชา “ถ้าให้ข้าลงมือ จะตัดมือเท้าพวกเจ้า ตัดเส้นเอ็นพวกเจ้าต่อ แขวนพวกเจ้าไว้บนยอดเขาสำนักสี่สิบเก้าวัน สุดท้ายโยนให้ปลากินในทะเลสาบ”
ศิษย์เขาอนันต์เล็กหน้าซีดขาวและแดงก่ำ
คนตาบอดได้ยินเช่นนั้นก็มีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
หนิงอี้ไม่เกิดความเห็นใจใดๆ เลย
ผู้อาวุโสคุมกฎนั้นยิ้มเจื่อน เขาโซเซลุกขึ้น หันไปมองศิษย์ของตน แต่ละคนมีสีหน้าสิ้นหวัง สุดท้ายเจิ้งฉีมองสวีจั้งด้วยความเคียดแค้น “เจ้าต้องไม่ตายดี”
แสงกระบี่น่าเวทนาขยับวูบผ่าน ลากผ่านศิษย์พวกนั้นที่สับสนและตกสู่ความสิ้นหวัง จากนั้นสังหารตนเอง
โลหิตสาดกระจาย
สวีจั้งขี้เกียจมองมดปลวกพวกนี้ เขาหันไปมองซูขู่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ คิ้วขมวดขึ้น “เจ้าเหมือนจะไม่เคยล่าสังหารข้า”
ซูขู่ที่ตัวสั่นงันงกหน้าขาวซีด มองสวีจั้งพลางพยักหน้า
ตำหนักทะเลสาบกระบี่เคยล่าสังหารสวีจั้ง เขาดูถูกและเหยียดหยามท่าทีของสวีจั้งมาตลอด
ซูขู่รู้ว่าด้วยนิสัยตัวอ่อนสังหารของสวีจั้ง ผู้ต่อต้านสังหารราชนิกุลคนนี้ ไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอน
เขาปิดด่านบำเพ็ญใต้ทะเลสาบตำหนักทะเลสาบกระบี่ตลอด ได้ยินสิ่งที่สวีจั้งประสบมาตลอดสิบปีมานี้ ก็แค่ขยะ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นคนโหดพลิกฟ้าเช่นนี้กัน
เขาทะลวงดาราชะตา คิดว่าในอันดับผู้แข็งแกร่งใต้หล้าต้องมีที่ของเขาซูขู่ จนตอนนี้ถึงได้รู้ถึงความคิดตื้นเขินและน่าขำของตน
ซูขู่พูดด้วยน้ำเสียงอมทุกข์ “สวีจั้ง…เจ้าฝึกวิถีใด”
บุรุษชุดคลุมดำเลิกคิ้วขึ้น พูดราบเรียบ “วิถีกระบี่”
“กระบี่ของเผยหมิน วิถีของเจ้าหรุย”
ซูขู่เคยได้ยินนามเผยหมินกับเจ้าหรุย รู้ว่าอาจารย์สองคนนี้ของสวีจั้งเป็นนักปราชญ์ระดับสุดยอดอย่างแท้จริงใต้ฟ้าต้าสุย
เขาจึงหลับตาลงเหมือนยอมรับชะตา พูดเสียงเบา “ตำหนักทะเลสาบกระบี่มีความแค้นกับเจ้า เจ้าลงมือเถอะ ข้าไม่ต่อต้าน…ได้ตายด้วยกระบี่ของเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องอัปยศอะไร”
สวีจั้งขมวดคิ้ว ไม่ได้รีบร้อนลงมือ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้าสวีจั้งฆ่าคน ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ตำหนักทะเลสาบกระบี่มีความแค้นกับข้า เป็นเพราะพวกเจ้าส่งคนมาล่าข้า…แต่เจ้าไม่”
ซูขู่งุนงงเล็กน้อย ลืมตาขึ้น
“ก่อนอื่น หากข้าฆ่าเจ้า เจ้าต่อต้านหรือไม่ต่อต้าน ผลก็เหมือนเดิม สอง…เจ้ายังไม่คู่ควรที่จะตายด้วยกระบี่ข้า สุดท้าย เหตุผลที่ข้าจะฆ่าเจ้าไม่เกี่ยวกับตำหนักทะเลสาบกระบี่…”
สวีจั้งขมวดคิ้วขึ้น “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเขาสู่ซานมีเพียงสามคน เช่นนั้นเจ้าวางข้าไว้ที่ใด”
ซูขู่เบิกตาโต
“ไม่ใช่แค่พวกเจ้า ตำหนักทะเลสาบกระบี่เบื้องหลังพวกเจ้า เขาอนันต์เล็ก…วันนี้ข้าจะไปเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง ชำระหนี้กัน” สวีจั้งยิ้ม “พวกนั้นที่ไกลกว่านี้ไม่มีเวลาไป…ถือว่าพวกเขาโชคดี ถือว่าข้าไว้ชีวิตสุนัขพวกเขาแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ สวีจั้งใช้ปลายกระบี่ร่มทิ่มพื้นดินเบาๆ เลือดองครักษ์ที่เดิมทีไหลลงใต้ดินย้อนกลับขึ้นมา ผ่านตัวร่มที่ชูขึ้นมารวมกัน ก่อนจะแตกกระจาย ไข่มุกโลหิตเต็มฟ้า ฝนตกหนัก ไข่มุกเม็ดใหญ่เล็กตกใส่ถาดหยก กระแทกใส่ตัวซูขู่กับศิษย์ตำหนักทะเลสาบกระบี่
แม้แต่เสียงร้องยังไม่มี
หมอกโลหิตสลายไป…เงียบ
“หนิงอี้”
สวีจั้งเก็บกระบี่ร่มดังพรึ่บ
“ไปเถอะ” เขาเอ่ยนิ่งๆ “ตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปสังหารคน”
…………………….