เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 44 พันกร
ตอนที่ 44 พันกร
ตำหนักทะเลสาบกระบี่ ทุกสายตามองไปที่คนหนึ่ง
หนิงอี้ยอมรับอย่างสง่าผ่าเผย
เขาสังเกตเห็นว่าในสายตาพวกนั้นไม่มีความยำเกรงต่อคำว่า ‘อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน’ เลย มีแต่ความรังเกียจ และที่มากกว่านั้นคือความโกรธแค้น
ศิษย์ตำหนักทะเลสาบกระบี่ล้อมอยู่นอกประตูสำนัก เบียดกันอยู่หลังเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่อย่างเนืองแน่น แต่ละคนจ้องหนิงอี้ พลังสังหารเงียบงันสั่งสมรอปะทุ
ทว่าการเผชิญหน้ากับความเงียบ การเงียบคือการสวนกลับที่ดีที่สุด
ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ เป็นคนที่มีสองตาหนึ่งจมูก…มีสิทธิ์อะไรที่พวกเจ้าถลึงตามองข้าได้ แต่ข้าถลึงตากลับไปไม่ได้
หนิงอี้ถลึงตามองกลับไปทีละคน
“สวีจั้ง เจ้าเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่หาได้ยาก” เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่มองบุรุษชุดคลุมดำข้างกายหนิงอี้ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “วันนี้ข้าเข้าใจความคิดของพันกรแล้ว…หากตำหนักทะเลสาบกระบี่ข้ามีอัจฉริยะวิถีกระบี่อย่างเจ้า แบกรับคำด่าทั้งโลกหล้าก็ไม่เท่าไรเลย”
สวีจั้งพูดนิ่งๆ “แต่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ไม่มีสวีจั้ง”
เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่เงียบ
สวีจั้งยิ้ม “ดังนั้นตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็เป็นเพียงตำหนักทะเลสาบกระบี่ ไม่ใช่เขาสู่ซาน”
เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ทอดถอนใจ เขามองสวีจั้งตรงๆ พลางเอ่ยมาทีละคำ “วิถีของเจ้า…คืออะไรกันแน่ ข้าอ่านไม่ออกอยู่เล็กน้อย ยิ่งพลังบำเพ็ญลด ปราณกระบี่ก็ยิ่งขยายออกมาอย่างไร้การควบคุม เจ้าจะแลกแสงดาราทั้งหมดเป็นปราณกระบี่รึ”
“ต่อให้เป็นท่านปราชญ์กระบี่เผยหมินในตอนนั้นก็ยังทำเช่นนี้ไม่ได้…” เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ขมวดคิ้ว “เจ้าจะเดินหนึ่งก้าวทะลวงความเป็นตาย ทุบธรณีประตูดาราชะตาหรือ”
สวีจั้งแสยะปากยิ้ม
พลันมีเสียงดังสนั่นมาจากบนท้องฟ้า เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่เงยหน้าขึ้น เขามองแสงสีแดงหลายสายพุ่งมาบนฟ้า แสงสีแดงเหมือนผ้าไหม ตัดขาดฟ้า พลังมหาศาล ประชากรทั้งเมืองธารหลากเห็นปรากฏการณ์บนฟ้า
“นี่มันอะไรกัน”
“ปราณกระบี่แกร่งขนาดนี้เชียว!”
ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่ยืนตรงประตูภูเขาสังเกตเห็นแสงสีแดงพวกนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ศิษย์ที่มีพลังบำเพ็ญลึกล้ำจะสังเกตเห็นคลื่นแสงดาราที่แฝงในแสงสีแดง
นั่นคือกลิ่นอายพลังของเขาอนันต์เล็ก
เขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่กับเขาอนันต์เล็กไม่ถือว่าห่างกันมาก แดนประจิมกว้างใหญ่ สองเขาศักดิ์สิทธิ์ห่างกันไม่เกินพันลี้ ด้วยความเร็วของผู้บำเพ็ญดาราชะตา ใช้เวลาเกือบครึ่งวันก็มาถึงแล้ว
ผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กฝึกฝนค่ายกล ค่ายกลให้ความสำคัญกับการร่วมแรงร่วมใจ ดังนั้นทั้งเขาอนันต์เล็ก กระแสนิยมในสำนักจึงถือหางกันเองยิ่ง ในเขตแดนประจิม หากศิษย์ออกจากสำนักไปฝึกฝนข้างนอก ถูกรังแกและไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างไม่สมควร ก็จะถูกกลุ่มผู้บำเพ็ญที่ฝึกรวมค่ายกระบี่ไล่ล่าทวงความยุติธรรมถึงสำนัก
ในตำหนักคุมกฎของเขาอนันต์เล็กมีแท่นบูชาพุทธป้ายหยก จะเก็บป้ายชีวิตของศิษย์เขาอนันต์เล็กโดยเฉพาะ ป้ายชีวิตพวกนี้ล้ำค่ายิ่ง ศิษย์ฝ่ายในทุกคนต้องหยดเลือดหัวใจหรือเลือดระหว่างคิ้วตอนฝึกบำเพ็ญลงในป้ายชีวิต นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดในร่างกายผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็ก
หลังจากฝึกวิชาสำนัก ชีพจรชีวิตของแสงดาราจะข้ามผ่าระยะทาง มองไปทั้งใต้หล้าต้าสุย ขอแค่ชีวิตศิษย์เขาอนันต์เล็กเกิดคลื่น ก็จะเชื่อมต่อกับแท่นพุทธป้ายหยกในตำหนักคุมกฎได้ลับๆ
เจิ้งฉีผู้อาวุโสตำหนักคุมกฎเป็นคนที่มีหวังทะลวงขอบเขตที่สิบในตำหนักคุมกฎ กำลังของผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กที่มาตอนนี้แกร่งกว่าตำหนักทะเลสาบกระบี่สามส่วน คนที่พิสูจน์ทะลวงดาราชะตามีสิบเอ็ดคน
แสงสีทองที่ลากผ่านฟ้ามา ผู้นำคือหลัวฝูผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักคุมกฎ
ผู้อาวุโสใหญ่ที่พลังบำเพ็ญบรรลุดาราชะตาสามชั้นฟ้าคนนี้หน้ามืดทะมึน พุ่งตรงมาที่ยอดเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่
ในมือเขากำป้ายชีวิตที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไว้
ในการดูแลตำหนักคุมกฎก่อนหน้านี้ไม่นาน แท่นพุทธป้ายชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ในไม่กี่ลมหายใจ ไม่ใช่แค่เจิ้งฉี แม้แต่ศิษย์คุมกฎเจ็ดคนแห่งเขาอนันต์เล็กยังตายในเขตเขาสู่ซานทั้งหมด พอตำหนักคุมกฎสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงก็ไปไม่ทันเหตุการณ์อารามรู้กรรมแล้ว หลัวฝูจึงใช้วิชาลับ ใช้แสงดาราหาเงื่อนงำ ก่อนจะตามรอยของสวีจั้งมา
บนฟ้าเขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่ แสงสีทองพากันหยุดนิ่ง สายรุ้งยาวที่เชื่อมฟ้าดินถูกร่างคนในนั้นชนแตก หมอกกระจายออกมา เผยหลายสิบร่างเงาที่มีผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักคุมกฎเป็นผู้นำ ผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กพวกนี้มีสีหน้าไม่เป็นมิตร ทยอยกันมาหยุดบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ พลังมหาศาล สายรุ้งยาวแตก ดาบกระบี่ออกจากฝัก วนรอบขึ้นลงเช่นนี้ อำนาจค่ายกลไร้รูปแผ่ออกมา
เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ค่ายกลเขาอนันต์เล็กแผ่เข้ามา ยอดเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ ในระยะหนึ่งลี้เกิดคลื่นปราณกระบี่กระจายออกโดยเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ขมวดคิ้วมุ่น พูดกับสวีจั้ง “ราชันดาราพลิกสมุทรแห่งเขาอนันต์เล็กมา ยุ่งแล้ว ข้าจะเปิดค่ายกลคุ้มกันตำหนักทะเลสาบกระบี่ เจ้าพาหนิงอี้ไปอีกทางของตำหนักทะเลสาบกระบี่”
สวีจั้งเมินเฉย ไม่โต้ตอบ
ราชันดาราพลิกสมุทรที่ตอนนี้ยืนอยู่บนยอดเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่มองลงมาข้างล่าง ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ชุดคลุมใหญ่ปลิวไสว ท่าทีเฉยชา เขาดำรงตำแหน่งสูงสุดในตำหนักคุมกฎ ฝึกบำเพ็ญมาสองร้อยสามสิบปี
ผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาที่มีกำลังรบแกร่งที่สุดในใต้หล้าต้าสุย สำนักศึกษากับเขาศักดิ์สิทธิ์รวมกัน ราชันดาราพลิกสมุทรยังติดอยู่อันดับต้นๆ ได้
ผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาเดิมทีมีน้อยยิ่ง วัดกันที่กำลังสังหารจริงๆ ราชันดาราพันกรแห่งเขาสู่ซานอยู่สามอันดับแรกแห่งต้าสุยได้อย่างมั่นคง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญหนุ่มที่มีพรสวรรค์น่าตกใจอย่างโจวโหยว เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญรุ่นอาวุโส สู้กันก็ยังได้เปรียบยากมาก
ราชันดาราพลิกสมุทรเหยียบบนแสงสีแดง ข้างหลังเขามีผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กตามมาสี่สิบเก้าคน เท้าเหยียบกระบี่ยาว ลอยอยู่กลางอากาศ โคลงเคลงไม่มั่นคง
ทะเลแดงสามฉื่อที่ลอยอยู่ใต้ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักคุมกฎเขาอนันต์เล็ก กระบี่เหล็กแต่ละเล่มลอยอยู่ในนั้นเหมือนปลาเวียนว่าย พัวพันตัดสลับกัน ปราณกระบี่หมุนม้วน นี่คือกำลังรบของตำหนักคุมกฎเกือบครึ่ง ราชันดาราพลิกสมุทรพาเขาอนันต์เล็กออกมา ไล่ตามรอยแสงดาราเสี้ยวหนึ่งที่เหลือในอารามรู้กรรม ตามมาจนถึงเขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่
“ครั้งนี้ยุ่งแล้ว ราชันดาราพลิกสมุทรเอาค่ายกลกระบี่โอฬารของเขาอนันต์เล็กออกมา สวีจั้ง…ข้ารู้ว่าเจ้ามีพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา อยากจะเดินบนเส้นทางที่ไม่มีใครเคยเดิน”
เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่หลิ่วสือขมวดคิ้ว พูดอย่างร้อนใจ “แต่เจ้าเกียจคร้านฝึกบำเพ็ญมาสิบปี ตอนนี้พลังบำเพ็ญอยู่เพียงขอบเขตที่ห้า ต่อให้เป็นอัจฉริยะสำนักเต๋าที่มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งอย่างโจวโหยวตอนนี้ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพลิกสมุทรที่มีค่ายกลกระบี่โอฬาร”
สวีจั้งขานรับเบาๆ ทำเหมือนไม่สนใจ
บุรุษชุดคลุมดำหันคมกระบี่พินิจเหมันต์ออกช้าๆ เงยหน้าขึ้น มองผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กที่ลอยอยู่บนยอดเขา
หลิ่วสือพูดในใจ ‘บ้าไปแล้ว’
ราชันดาราพลิกสมุทรที่ลอยอยู่หน้าประตูสำนักตำหนักทะเลสาบกระบี่เหยียบทะเลแดงปราณกระบี่ พลังของค่ายกลกระบี่โอฬารพัวพันกันบนเขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่
บรรยากาศหยุดนิ่ง พวกศิษย์ตำหนักทะเลสาบกระบี่กลั้นหายใจ
หลิ่วสือพุ่งขึ้น จ้องมองราชันดาราพลิกสมุทรในระดับเดียวกัน
น้ำเสียงเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่มีจิตสังหารเสี้ยวหนึ่ง ดังก้องฟ้าเมืองธารหลาก
“พลิกสมุทร กฎของโลกหล้าอยู่เหนือเมืองหลวงต้าสุย หลังพลังบำเพ็ญถึงราชันดารา ห้ามออกมือในเขตแดนเขาศักดิ์สิทธิ์ ก่อเกิดกรณีพิพาท” ตรงระหว่างคิ้วหลิ่วสือมีแสงดาราซับซ้อนหมุนม้วนออกมา ประตูสำนักตำหนักทะเลสาบกระบี่เกิดเสียงดัง ‘วิ้ง’ พลังอ่อนโยนและสงบนิ่งปกคลุมเหนือหัวศิษย์ในสำนัก
“นี่เป็นกฎ กฎที่ฝ่าบาทไท่จงกำหนดด้วยตนเอง”
ทั้งทะเลสาบใหญ่ธารหลาก ผิวทะเลสาบเริ่มไหลหลาก หยดน้ำแยกกันตรงก้นทะเลสาบ ควบแน่น ทุกเม็ดอิ่มเอิบ สั่นสะเทือนไม่หยุด
ราชันดาราพลิกสมุทรทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่
อดีตเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ตายไปแล้ว เจ้าตำหนักใหม่หลิ่วสือสืบทอดต่อ จุดสามดาราชะตา แต่กลับไม่เคยมีผลงานสังหารปีศาจที่ทะเลพลิกผันแดนอุดร ทั้งตำหนักทะเลสาบกระบี่เงียบลงเรื่อยๆ ตลอดสิบปีมานี้
ราชันดาราพลิกสมุทรไม่คิดว่าหลิ่วสือจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ตนควรค่าจะเผชิญหน้าด้วย
เขาจ้องบุรุษชุดคลุมดำที่ยืนตรงประตูสำนักพลางพูดอย่างเย็นชา “สวีจั้ง…เมื่อสิบปีก่อนเจ้ามาเขาอนันต์เล็กข้า ติดที่กฎทำให้ข้าลงมือไม่ได้ ต้องปล่อยเจ้าไป สิบปีต่อมา เจ้ายังกล้าอวดดีเช่นนี้อีกรึ”
สวีจั้งปักพินิจเหมันต์ ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
ราชันดาราพลิกสมุทรชำเลืองตามองประตูสำนักตำหนักทะเลสาบกระบี่ เจอศพของผู้บำเพ็ญดาราชะตาสองคน เขาพลันหัวเราะขึ้นมา “หลิ่วสือ…เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่อย่างเจ้าช่างเหลวแหลกจริงๆ โดนคนพิการบุกสำนัก ตัวเองยังต้องสังหารผู้บำเพ็ญอีกสองคนหรือ”
หลิ่วสือหน้าเปลี่ยนสี เขาเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้พูดอะไร
คนจากเขาอนันต์เล็กข้างหลังราชันพลิกสมุทรส่งเสียงหัวเราะเยาะโดยไม่ปิดบังแม้แต่นิด ด้านในสำนักศิษย์ตำหนักทะเลสาบกระบี่เริ่มชักกระบี่ เสียงออกจากฝักดังขึ้น ประกายเย็นเยือกแตกซ่าน
หนิงอี้ไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้…เขายืนข้างสวีจั้งด้วยสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย ใจนึกว่าโลกกว้างใหญ่ มีอะไรแปลกประหลาดมากมาย ความสัมพันธ์ของเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ช่างวิเศษจริงๆ
พันธมิตรที่ผนึกกำลังกันเบื้องหลังองค์ชายสามพึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ ยังไม่ทันสู้กับเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาก็จะตีกันเองแล้ว
หลิ่วสือหยุดอยู่หน้าทะเลแดงเขาอนันต์เล็ก เขาพูดนิ่งๆ “เมื่อนานมาแล้ว ท่านพันกรมีบุญคุณกับข้า ตำหนักทะเลสาบกระบี่ไม่อยากเป็นศัตรูกับเขาสู่ซาน ในช่วงที่ข้ารับตำแหน่งเจ้าตำหนัก มีคนหลอกข้าปิดบังข้า มีคนทรยศในสำนัก ย่อมต้องสะสางให้เรียบร้อย”
เขาพูดได้อย่างราบรื่นมาก
ราชันดาราพลิกสมุทรไม่พูด แค่ยิ้มๆ
“พลิกสมุทร เจ้าฝึกบำเพ็ญไม่ง่าย…ข้าว่าเจ้าอย่าก่อเรื่องจะดีกว่า” หลิ่วสือจ้องบุรุษชุดคลุมตัวใหญ่โบกสะบัด ในความคิดนึกไปถึงกลิ่นอายพลังดับสูญในกายสวีจั้งพลางเอ่ยมาทีละคำ “วันนี้เจ้าออกมือ ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร…กฎของต้าสุยอยู่เบื้องบน กำหนดโดยทั่วกัน และยังมีพันกรแห่งเขาสู่ซานรอเจ้าอยู่ เจ้าคิดดูเถอะว่าค่ายกลกระบี่โอฬารจะรับมือกับท่านพันกรได้หรือไม่”
ราชันดาราพลิกสมุทรเงียบไปชั่วขณะ
เขานึกไปถึงราชันดาราพันกรที่นั่งตำแหน่งเจ้าภูเขาน้อยสู่ซานคนนั้น แต่ความจริงนั่งอยู่สูงถึงอันดับสามในใต้หล้า
เขตแดนต้าสุยกว้างใหญ่ ราชันดารามีน้อยยิ่ง กาลเวลาตกตะกอน อัจฉริยะที่กำเนิดขึ้นในโลกทะลวงดาราชะตา หยุดอยู่ที่ราชันชะตานับไม่ถ้วน ตนได้รับขนานนามว่าเป็นผู้โดดเด่นในราชันดารา เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะได้เสริมพลังจากค่ายกลกระบี่เขาอนันต์เล็ก แต่ราชันดาราพันกรไม่เหมือนกัน
องครักษ์พวกนั้นในเมืองหลวงไม่ออกหน้า ผู้มีอิทธิพลแห่งเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมล่วงเกินเขาสู่ซาน นอกจากการคงอยู่พิเศษยิ่งแล้ว แทบจะไม่มีใครอยากประมือกับเจ้าภูเขาน้อยแห่งเขาสู่ซาน
พลิกสมุทรเม้มริมฝีปาก ชั่งผลประโยชน์กับเสียประโยชน์
เขามองสวีจั้งใต้ประตูภูเขา เหมือนกำลังตรึกตรองคำพูดของหลิ่วสือ
หลังหลิ่วสือพูดจบก็มองไปยังประตูสำนักตำหนักทะเลสาบกระบี่ เขามาอยู่หน้าสวีจั้งก่อนพูดเสียงเบา “เขาจะถอยแล้ว”
พลิกสมุทรที่ลอยอยู่บนยอดเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะทำการเลือก ค่ายกลกระบี่โอฬารสั่นไหว หันปลายกระบี่ไปยังทิศทางที่พวกเขามาช้าๆ ทุกคนแห่งเขาอนันต์เล็กมองบุรุษชุดคลุมดำบนเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่จากเบื้องบน
สวีจั้งมองคนพวกนั้นเปลี่ยนทิศทางออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่
เขาพูดเสียงเบา “ดี”
หลิ่วสือหรี่ตาลง
หนิงอี้สังเกตเห็นว่าพลังบำเพ็ญของสวีจั้ง…ลดลงไปหนึ่งขอบเขตใหญ่อีกแล้ว
………………………