เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 8 ไท่ไป๋กับนกเต๋าแห่งเทือกเขาประจิม (rewrite)
ตอนที่ 8 ไท่ไป๋กับนกเต๋าแห่งเทือกเขาประจิม (rewrite)
“ต่อไป…ในมุมมองคนธรรมดา นี่เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ยากจะพบได้ในร้อยปี เจ้าจะเจอบุตรศักดิ์สิทธิ์จากทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ และยังมีระดับอาจารย์อาที่กำลังรุ่งโรจน์ที่สุดอีกกลุ่มใหญ่” สวีจั้งตบบ่าของหนิงอี้
“แต่เจ้าจงจำไว้ เราไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นบุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไม่เท่าไรเลย ผู้บำเพ็ญระดับอาจารย์อาก็ไม่เท่าไรเหมือนกัน พูดให้น่าฟังหน่อย พวกเขาคือความหวังในภายภาคหน้าและกำลังสำคัญของเขาศักดิ์สิทธิ์ใหญ่
พูดให้ดูแย่กว่านั้น ส่วนใหญ่เป็นคนไร้ความสำคัญที่จะสูงก็ไม่จะต่ำก็ไม่ รอพวกเรารอดออกไปได้ ข้าจะสอนทักษะกระบี่ที่ตกลงมาจากฟ้าให้เจ้า”
หนิงอี้ไม่ได้สนใจ ‘ทักษะกระบี่ตกจากฟ้า’ เขากำลังย่อยคำพูดครึ่งแรกของสวีจั้งอยู่เงียบๆ
สวีจั้งมองมือนั้นของเด็กหนุ่มที่กำขลุ่ยกระดูกแน่นพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนธรรมดารึ”
หนิงอี้กำขลุ่ยกระดูกลักษณะเหมือนใบไม้นี้แน่นมาตลอด
ปีศาจที่หนีมาจากใต้ดินเมืองไร้มลทินนั่นก็ดี ศิษย์สำนักเต๋ากับตำหนักฟ้าก็ดี เผชิญหน้ากับพวกเขาแล้ว หนิงอี้ไม่เกรงกลัวมากนัก
หนีไม่พ้น เขาก็ใช้ขลุ่ยกระดูก
ไม่มีใครรู้อานุภาพของขลุ่ยกระดูกนี่ดีไปกว่าเขาอีก
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตั้งแต่สวีจั้งปรากฏตัว คนพวกนั้นที่ซ่อนในเงามืดก็ทยอยกันออกมา หนิงอี้ไม่รู้ ต่อให้ตนกำขลุ่ยกระดูกแน่นกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้
บางครั้ง บางเรื่องราว ก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังคนจะทำได้ ต่อให้สู้สุดชีวิต ผลสุดท้ายก็อาจจะจบลงด้วยความน่าอดสู
“ไม่ต้องใช้ ‘เจ้านี่’ หรอก” สวีจั้งเอ่ยราบเรียบ “อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ต้องใช้ เจ้าไม่มีพลังบำเพ็ญ ไม่มีแม้แต่แสงดาราที่ไหลเวียนในสายเลือด ต่อให้ยกอาวุธอมตะให้เจ้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คนพวกนี้จะอ่อนแอกว่านี้ อย่างน้อยก็เป็นคนใหญ่โตที่มีที่ยืนในต้าสุย
เก็บใบไม้กระดูกนี่เสีย อย่าเผยให้ใครรู้ เรื่องไข่มุกตะวันคร้านสั่งสอนเจ้าไปแล้ว หากมีคนรู้จักขลุ่ยกระดูกนี่ ผลเป็นอย่างไรเจ้าคงรู้ดี”
หนิงอี้เก็บขลุ่ยกระดูกลงเงียบๆ
สองคนยืนบนป่าเวิ้งว้างนอกเมืองไร้มลทิน สวีจั้งสูดลมหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง
เขามองกองกำลังใหญ่ ‘เทพเซียนเต็มฟ้า’ ด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ลูบศีรษะของเผยฝาน
“เผยหมินคืออาจารย์ของข้า เขาสอนให้ข้าจับกระบี่ ต่อให้ข้าจับกระบี่แล้วเจอปัญหามากมาย ข้าก็ไม่เคยเสียใจภายหลัง”
หนิงอี้พินิจพิจารณา พบว่าตรงจอนผมสวีจั้งมีเส้นผมยาวสีเทาอมขาวอยู่ ลู่ตามสายลม บุรุษคนนี้ดูอายุไม่มากนัก แต่กลับมีกลิ่นอายของกาลเวลาบางๆ ปราณกระบี่ในแขนเสื้อ มีความกล้าหาญทั้งตัว ผมยาวตรงจอนผมยังมีกลิ่นอายฝุ่นธุลี
ของล้ำค่าคลุกฝุ่น หากไม่เปิดกล่องออก ก็ได้แต่ถอดสีต่อไปไปชั่วนิรันดร์
ในดวงตาสวีจั้งสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ ไม่มีความหดหู่และเจ็บปวด มีแต่ความสบาย
“สิบปีก่อนข้าสังหารครั้งใหญ่เพื่อตระกูลเผย ล่วงเกินขุมอำนาจบำเพ็ญพวกนี้ คนที่เหลือรอดในโลกนี้ก็มีไม่มากแล้ว
หลังจากนางตาย…” สวีจั้งหลุบตาลง ครุ่นคิด แล้วพูดต่อ “ข้าก็เหลือเพียงกระบี่กับสหายอีกคน”
หนิงอี้สังเกตเห็นว่ากระดิ่งสามวิสุทธิ์ในมือสวีจั้งเริ่มสั่นไหวเบาๆ
ปราณกระบี่เต็มฟ้าตกลงในเมืองไร้มลทิน ราตรีถูกฉีกขาด พื้นดินสั่นสะเทือน
มีคนเหยียบบนกระบี่บิน ใบหน้ามืดทะมึน “สวีจั้ง! เจ้าฆ่าสหายร่วมสำนักแห่งเขาอนันต์ข้าสี่สิบเจ็ดคน บัญชีนี้จะชำระอย่างไร”
มีคนร่อนตัวลงข้างหลังก่วนชิงผิงแห่งจวนขานฟ้า ชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่ สะบัดตามสายลม หลังยืนจนมั่นแล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งกดบ่าบัณฑิต เอียงตัวก้าวออกมา ในน้ำเสียงยังกดจิตสังหารไว้ไม่อยู่ “สวีจั้ง เจ้าบุกจวนขานฟ้าข้า ฆ่าศิษย์น้องของข้า กล้าออกมาสู้หรือไม่!”
“อมิตาพุทธ ประสกกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง” นักบวชวัยกลางคนสวมกาสาวะสีขาวท่านหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งตั้งตรงหน้าอก ครึ่งตัวบนเหยียดตรง เท้าสองข้างย่ำเหยียบมหาสมุทรและแม่น้ำ ตลอดทางเต็มไปด้วยดินโคลน มือประคองพระพุทธรูปน่าเกรงขาม ทั่วทั้งตัวไม่ปนเปื้อนฝุ่นดินดั่งเคลือบแก้ว เขาเอ่ยด้วยใบหน้าเมตตา “จวนขานฟ้าเป็นอันดับหนึ่งของสี่สำนักศึกษา บัณฑิตไฉนถึงมีจิตสังหารหนักเช่นนี้ ประสกสวีจั้งมีวาสนากับแดนบูรพาของอาตมา ก็มาประลองกับอาตมาหน่อยเถอะ หากแพ้ก็เข้าเขาวิญญาณอาตมา เป็นเซียนกระบี่ออกบวช เคาะระฆังหุงหาอาหารให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องแทนอาตมาทุกวัน ชะล้างกรรมชั่ว จะไม่ดีกว่าหรือ”
บัณฑิตวัยกลางคนชุดคลุมแดงตัวใหญ่ยิ้มเยาะด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “ลาหัวล้านอย่างเจ้าปกป้องตัวเองยังยาก ยังคิดจะปกป้องชีวิตสวีจั้งอีกรึ ข้ารับรองเลยว่าคนจากเขาวิญญาณพวกเจ้า ออกจากเทือกเขาประจิมได้ แต่ออกจากต้าสุยไม่ได้!”
นักบวชสวดแผ่เมตตาเบาๆ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “หากไปอยู่ในมือจวนขานฟ้า แค่สิ่วไฟเผาของประสก จะทำอะไรจิตใจของอาตมาได้”
ปราณกระบี่กับประกายไฟค่อยๆ พุ่งมาจากฟ้าไกล พอตกลงบนแผ่นดินใหญ่ก็สั่นสะเทือน เกิดควันไฟพวยพุ่งขึ้น
บุคคลระดับอาจารย์อาจากทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ใหญ่มาที่นี่ด้วยตนเอง บุตรศักดิ์สิทธิ์ตามหลังอาจารย์อาของตน
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก มองภาพเหลวไหลตรงหน้า
อาจารย์อาชุดคลุมแดงตัวใหญ่จากจวนขานฟ้าตั้งท่าจะสู้กับนักบวชแห่งเขาวิญญาณ
กองกำลังเขาอนันต์เล็กเหยียบกระบี่บิน ปลายกระบี่ไม่ได้ชี้ไปที่สวีจั้ง แต่ชี้ไปที่ขุมอำนาจอื่นที่จะลงมือ
หนิงอี้ปวดหัวนิดๆ เดิมทีเขาคิดว่าคนพวกนี้จะมาสังหารสวีจั้ง ไม่ว่าจะคิดอย่างไร อย่างน้อยคนพวกนี้ก็มีเป้าหมายเดียวกัน อย่างน้อยก็น่าจะยืนอยู่ในแนวรบเดียวกัน
“อยู่ต่อหน้าเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีคำว่าสหายอยู่แล้ว มีเพียงผลประโยชน์ที่เป็นนิรันดร์ เพื่อผลประโยชน์ก็เป็นสหายกันได้ชั่วคราว และเพื่อผลประโยชน์ก็เป็นศัตรูกันได้เช่นกัน”
สวีจั้งยิ้ม ก่อนพูดเบาๆ “พวกมันมั่นใจว่าข้าไม่มีพลังบำเพ็ญ ดังนั้นเขาอนันต์เล็ก จวนขานฟ้า และก็พวกเขาวิญญาณถึงกล้าหาเรื่อง…สำหรับพวกมันแล้ว คนที่ตอนนี้ไม่มีพลังบำเพ็ญ ไม่ว่าเขาจะเคยเป็นใคร ต่อให้อดีตจะเป็นอมตะ สิ่งพวกนี้ก็ไม่มีความหมาย เพราะว่าตอนนี้จะฆ่าจะแกง ทุกอย่างเหมือนอยู่ในการตัดสินใจของพวกมัน
ดังนั้นพวกมันจึงไม่จำเป็นต้องรวมกันเหมือนตั๊กแตนโง่บนเรือ” น้ำเสียงของสวีจั้งเย็นชาเล็กน้อย “พวกมันอยากได้หัวข้า แต่หัวข้ามีหัวเดียว ถ้าแยกกันเป็นชิ้นๆ จะเอาไปแลกรางวัลไม่ได้ มาถึงตอนนี้…เจอกับสถานการณ์แบ่งเงินไม่ลงตัว”
สวีจั้งเอ่ยจบก็ส่ายหน้า
“เอาละๆ…”
ท่ามกลางเสียงดังวุ่นวายนั้น มีเสียงเหนื่อยล้าดังขึ้น
คนที่พูดมีฐานะพิเศษมาก เสียงก็ยังพิเศษมาก
ดังนั้นทุกคนจึงสงบลงอย่างไม่เป็นอิสระ
สวีจั้งกดปลายกระบี่ลงพื้นสองที พูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเจอข้าแล้วดีใจมาก…แต่ขืนทะเลาะกันต่อไปจะได้ประโยชน์อะไร”
หนิงอี้มองบุรุษที่ยืนข้างกายตนยกนิ้วขึ้นและชี้ไปด้วยความงุนงงเล็กน้อย
เขาชี้ไปที่นักบวชก่อน
“เจ้าจะประมือกับข้ารึ ข้ายังมีอีกกระบี่ เจ้าเข้ามา ดูว่าจิตใจที่ต้านสิ่วไฟเผาของจวนขานฟ้าของเจ้าจะรับกระบี่ข้าได้หรือไม่”
นักบวชหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เขาหน้าเขียวปั้ดนิดๆ สวดอมิตาพุทธ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “อาตมายืนอยู่ตรงนี้ ประสกจะออกกระบี่ก็เชิญตามสบายเถอะ”
หนิงอี้มองนักบวชแห่งเขาวิญญาณ ยันต์ที่ผูกตรงขาสองข้างมีไฟลุกขึ้นมาเบาๆ ขุมอำนาจจำนวนมากที่รวมกันอยู่รอบๆ พากันถอยไป เปิดเป็นเส้นทางยาวสายหนึ่ง
“นี่เรียกว่ายันต์เทพกราย เขาเตรียมจะหนีแล้ว” สวีจั้งเผยรอยยิ้ม พูดกับหนิงอี้ “สู้ไม่ได้ก็หนี นี่เป็นเรื่องปกติของคน แต่สู้ไม่ได้กลับเสแสร้งว่าได้ ทำท่าจะหนีชัดๆ แต่ปากบอกให้อีกฝ่ายเชิญตามสบาย นี่เรียกว่าเขาวิญญาณ”
นักบวชมีสีหน้าปั้นยาก ได้แต่เงียบ ยกมือข้างหนึ่งลูบวนลูกประคำ
สวีจั้งกำด้ามกระบี่ยาวด้วยความลำบากนิดๆ ยกแขนขึ้น แสงดาราตกลงบนตัวกระบี่ เขาขยับปลายกระบี่ช้าๆ เล็งไปทีละขุมอำนาจ เขาศักดิ์สิทธิ์ก็ดี สำนักศึกษาก็ดี คนที่ได้เห็นความร้ายกาจของกระบี่เหล็กนั้นกับตาล้วนไม่กล้ามองประกายกระบี่
สวีจั้งหัวเราะออกมาจากใจจริง ในคำพูดมีแต่ความปลงอนิจจัง
“คิดถึงพวกไม่เอาถ่านอย่างพวกเจ้าจริงๆ เมื่อสิบปีก่อนตอนที่ข้าถือกระบี่บุกภูเขา พวกเจ้าก็อยู่ในสภาพนี้ กลัวหัวหดไม่กล้าโผล่หัวออกมา สิบปีผ่านไป ดูพวกเจ้าสิยังเหมือนเดิมเลย ข้าล่ะมีความสุขจริงๆ” บุรุษที่ถือกระบี่หัวเราะแล้วถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่มีแรงออกกระบี่แล้วแท้ๆ กลับกลัวว่าข้าจะมีอุบายอะไรอยู่ อยากได้หัวข้ากันทั้งนั้น แต่ไม่กล้ามาเป็นคนแรก หรือแค่เพราะกลัวตายกันล่ะ”
หนิงอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ แน่นอนว่าเพราะกลัวตาย
“ข้าไม่มีแรงแล้ว” สวีจั้งกางสองแขนนิ่งๆ กระบี่เหล็กนั้นตกลงพื้นดังแก๊ง
เมื่อเซียนกระบี่เสียกระบี่ในมือไป
คนในชุดคลุมแดงตัวใหญ่จากจวนขานฟ้าหรี่ตาลง
อาจารย์อาจากเขาอนันต์เล็กเริ่มประสานปางมือ
นักบวชจากเขาวิญญาณมีสีหน้าจริงจัง ยันต์สีแดงที่พันตรงข้อมือเริ่มเปล่งแสงอ่อนๆ
เขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย กองกำลังมากมาย
สายตาพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่กระบี่เหล็กธรรมดาที่ตกลงพื้นแล้วเกิดฝุ่นดินคลุ้งขึ้นมา ตัวกระบี่สั่นไหวไปมา สุดท้ายนอนลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ
แต่หยุดอยู่ที่มือขวาของสวีจั้ง
สวีจั้งยิ้มแป้น มือขวากำกระดิ่งเงินอันหนึ่ง
‘กระดิ่งสามวิสุทธิ์’ แห่งสำนักเต๋า
บุรุษที่กำลังจะตายคนนี้สูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้น โยนกระดิ่งเงินขึ้นสูงในทีเดียว
‘กริ๊ง…’
เสียงกระดิ่งเงินนั้นถูกสั่นจนดังขึ้น ดังกังวานยิ่ง กระแทกในใจ
กระดิ่งสามวิสุทธิ์ของสำนักเต๋า คือสมบัติประจำสำนักของตำหนักนภาม่วง ผู้มีพลังบำเพ็ญต่างกันถือจะมีผลต่างกัน ใช้ควบคู่กับวิชาสำนักเต๋า อย่างเบาจะสะเทือนใจคน อย่างหนักถึงขั้นทำลายจิตวิญญาณ
และเสียงที่ดังมาจากสวีจั้ง ไม่สั่นสะเทือนจิตใจ และไม่ทำลายจิตวิญญาณ
มันแค่ดังมาก
ดังมากๆ
หนิงอี้พลันนึกถึงคำพูดนั้นของสวีจั้ง
‘หลังจากนางตาย…ข้าก็เหลือเพียงกระบี่กับสหายอีกคน’
ทันทีที่กระดิ่งดังบนฟ้าสูง
เกิดเสียงดังกังวานขึ้น
ร่างเงาสีแดงเพลิงตกลงมาจากที่ห่างไกลเหมือนดาวตก พลันลากผ่านท้องนภา เห็นได้รางๆ ว่าเป็นนกยักษ์ กางสองปีกโผบินมา เงาสีแดงเพลิงลุกไหม้ในดวงตา พุ่งเข้ามาจากที่ห่างไกลถึงในพริบตา
กระดิ่งนั้นถูกคนคว้าไว้
นั่นคือนักพรตเต๋าหนุ่มที่ ‘หน้าเด็กแต่ผมหงอก’ ขี่หลังนก บินวนหนึ่งรอบ คลื่นลมถาโถม ปราณสีแดงเพลิงแผดเผาคน นักพรตหนุ่มลงมาอย่างอิสระ กระแทกลงตรงหน้าสวีจั้ง ยืนขึ้นช้าๆ จีวรเต๋าสะบัดตามสายลม
เงามืดสีแดงเหนือศีรษะก็คือนกยักษ์ที่มีเปลวเพลิงสีแดงไหลเวียนระหว่างซอกฟัน
เปลวเพลิงที่โหมซัดอยู่เหนือศีรษะนักพรตหนุ่มสาดส่องเส้นผมยาวขาวราวหิมะ สะท้อนประกายไฟสีแดงขึ้นลงตามลม สุดท้ายประกายไฟที่หยุดนิ่งเหมือนภูเขานั้นค่อยๆ เก็บกลับไป บินร่อนลงตรงบ่าเขา สีจางหายไป เป็นนกขาวน่ารักตัวเล็ก
‘จิ๊บๆๆ…’
เสียงนกร้อง
เงียบกริบ
หลังจากเงียบไปช่วงสั้นๆ
นักพรตหนุ่มผมหิมะเอ่ยเป็นครั้งแรก
“สำนักเต๋า ตำหนักนภาม่วง โจวโหยว”
และมีเพียงคำพูดนี้
นักบวชแห่งเขาวิญญาณหมุนตัวกลับเป็นคนแรก ไม่พูดจา ยันต์เทพกรายลุกโชนขึ้น แผ่นดินสั่นสะเทือน ก่อนจะพุ่งทะยานไปเหมือนช้างยักษ์
อาจารย์อาชุดคลุมแดงตัวใหญ่ที่แข็งกร้าวมาตลอดจากจวนขานฟ้าถือตะเกียงขึ้นเงียบๆ คว้าก่วนชิงผิง ร่างถูกช่วงชิง ประกายไฟมอดดับ หายไปในคืนมืด
อาจารย์อาจากเขาอนันต์เล็กไม่พูดจา หันปลายกระบี่ไปอย่างร้อนรน ก่อนจะกลับไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่ถึงสิบลมหายใจ ทุกคนก็หายไปทั้งหมด
………………….