เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 100 มัน
ดวงตาของหลินเจี๋ยเบิกกว้าง
แหล่งที่มาที่เกี่ยวกับภาษาสาบสูญของอาซีร์!
ตอนที่โจเซฟมอบดาบมรดกตระกูลให้ หลินเจี๋ยก็เทความสนใจไปที่รอยแกะสลักบนตัวดาบ จึงเอ่ยไปตามประสาเฉย ๆ
หลังจากนั้น โจเซฟก็เสนอตัวจะช่วยตามหาแหล่งค้นคว้าให้ แต่หลินเจี๋ยก็ไม่คิดว่ามันจะไวขนาดนี้…
โจเซฟนี่พึ่งพาได้จริง ๆ!
หลินเจี๋ยยื่นมือไปหยิบกองเอกสารแล้วพลิกเพื่อกวาดตาอ่าน เขาถึงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมคล็อดถึงบอกว่า ‘กระบวนการวิจัยช้า’
กองหนา ๆ นี่ส่วนใหญ่เป็นบันทึกและรอยสลักหินจากตัวอักษรต้นตำรับ มีเพียงกองกระดาษสุดบางด้านหลังเท่านั้นที่เป็นผลการวิจัยจากยุคหลัง อีกอย่าง การวิจัยพวกนี้ก็ไม่ได้มีแบบแผนแน่นอนเลยสักนิด…
ราวกับว่ากลุ่มคนที่แตกต่างกันมาแบ่งส่วนทำวิจัย แล้วเอามาตบเข้ารวมกันอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ว่าจะมองอย่างไร การวิจัยนี่ก็เต็มไปด้วย ‘การคาดเดา’ และ ‘แนวโน้มความเป็นไปได้’ เท่านั้น ที่แปลออกมาจริงจังมีแค่ส่วนเดียว ทั้งน้อยและห่างนัก
ระหว่างกวาดตาอ่านอย่างไว หลินเจี๋ยก็มั่นใจได้อย่างหนึ่ง ฝ่ายทำเอกสารพวกนี้และนักแปลที่ขุดค้นสิ่งหลงเหลือในประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่นักวิชาการมือโปรสักเท่าไร
ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีนักวิชาการเลยในหมู่นักขุดซากเหล่านี้ แค่ว่าการเรียบเรียงเอกสารมันไม่เป็นระเบียบเอาเสียเลยต่างหาก ราวกับว่าคนเหล่านั้นแค่เขียนความคิดเห็นของตัวเองไปตามประสาหลังได้รับภาพรอยสลักหินมา ก่อนจะโยนทิ้งไปโดยไม่ติดตามผลต่ออีก
หากเป็นนักวิชาการรุ่นหลังเขียนพวกนี้ลงไปละก็ หลินเจี๋ยก็มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยให้การเรียนรู้พวกนี้จบลงง่าย ๆ แบบนี้หรอก นอกเสียจากว่าจะเจอเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา
ไม่อย่างนั้นก็คงเหลือคำอธิบายว่านี่แหละตัวอย่างของการทำงานอย่างไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย…
แต่หากตัดโน้ตขยะพวกนี้ออกไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือรอยสลักหินประมาณสิบสองหน้า เจ้านี่แหละที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์จนหลินเจี๋ยรู้สึกปรีดา
หลินเจี๋ยจัดเอกสารเข้าที่และวางมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะแย้มยิ้มให้คล็อด “มาที่นี่เพื่อส่งสิ่งนี้ให้โดยเฉพาะคงเหนื่อยน่าดูนะครับ สนใจพักสักนิดแล้วลองอ่านหนังสือไหม ผมแนะนำให้คุณได้นะครับ”
คล็อดคาดการณ์ไว้แล้วว่าเจ้าของร้านหนังสือจะพูดอะไรแบบนี้ เขาเหลือบมองชั้นหนังสือและเงาที่ซ่อนอยู่หลังหลินเจี๋ยแล้วแอบลังเล
“ขอบคุณสำหรับคำเชื้อเชิญครับ แต่ผมยังต้องจัดการพวกหยาบคายทั้งสามอีก เลยสละเวลาตอนนี้ยังไม่ได้น่ะครับ”
คล็อดผายมือไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายซึ่งนอนแหมะอยู่กับพื้นเป็นเชิงว่าเขาเองก็อยากจะนั่งอ่านหนังสืออยู่หรอก แต่ไม่สามารถสละเวลาตอนนี้ได้เลย
เขาปฏิเสธไปไม่ใช่เพราะรู้ดีว่านี่ดีกับตัวเขามากกว่า แต่ความจริงแล้วกำลังทำตามคำแนะนำของอาจารย์อยู่…
คล็อดรู้ดีว่าหนังสือในร้านหนังสือนี่ไม่ธรรมดาเลยสักเล่ม และเขาเองก็รู้ดีว่าเจ้าของร้านนั้นทรงพลังแค่ไหน ทว่าเขาเองก็ต้องประเมินด้วยว่าตนสามารถรับมือกับของขวัญของเจ้าของร้านหนังสือได้หรือเปล่า
ลูกสาวของอาจารย์เพิ่งจะเปิดโหมดการเรียนจนคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากหนังสือจากร้านนี้นั่นเอง หากไม่มีการแทรกแซงของโจเซฟละก็ ใครเล่าจะรู้ว่าผลฉิบหายอะไรจะเกิดขึ้นอีก…
โชคดีที่เมลิสซ่าสลบไปแล้วเพราะขาดน้ำและอาหาร แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ตัวติดเตียงไปอีกหนึ่งอาทิตย์และกำลังฟื้นตัวอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของเธอดูจะเปลี่ยนไปด้วย…
แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะบอกว่าผลประโยชน์ที่เมลิสซ่าได้รับนั้นคุ้มกว่าสิ่งที่เสียไป แต่คล็อดก็อดคิดไม่ได้จากจิตสำนึกอันครั่นคร้ามและความกังวลใจ
ดังนั้นก่อนมาที่นี่ โจเซฟจึงสอนคล็อดไว้แล้วว่าจะลองปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิงไปก่อนก็ได้หากเจ้าของร้านพยายามจะแนะนำหนังสือให้
แต่ถ้าไม่มีทางเลือกแล้ว คล็อดต้องระวังตัวให้มาก ถามถึงเนื้อหาของหนังสือ และเปิดมันระหว่างที่เจ้าของร้านอยู่ หรือจะเอากลับมาอ่านพร้อมกับอาจารย์เขาก็ได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม ห้ามอ่านคนเดียวเด็ดขาด!
“อ๋าา น่าเสียดายจัง ไว้คราวหน้าก็ได้นะครับ”
หลินเจี๋ยรู้สึกเสียใจแต่ไม่แสดงมันออกมา เขาเหลือบมองตำรวจสามนายนั้นอีกครั้งแล้วส่ายหน้า
“แต่เอาตรง ๆ นะครับ กลุ่มนี้นี่ดูจะแย่สุดเท่าที่ผมเจอมาเลย… ตำรวจเขตตอนกลางต้องยกมาตรฐานการสมัครและคุณสมบัติแล้วนะครับ”
กลุ่มนี้?
คล็อดจับคำสำคัญเอาไว้ นั่นแปลว่าเจ้าของร้านหนังสือเคยมีปฏิสัมพันธ์กับตำรวจเขตตอนกลางมาก่อน
เขาจดข้อมูลใหม่นี้ไว้ในใจ…
“คุณพูดถูกครับ ผมจะไปแจ้งเบื้องบนให้” คล็อดเอ่ยพลางพยักหน้าเห็นด้วย
“นอกจากเรื่องนั้นละก็ หากมีเรื่องอื่นอะไรติดต่อผมมาได้เลยนะครับ นี่เบอร์ผมเอง”
“ได้เลยครับ” หลินเจี๋ยทำท่าสุภาพทางการแบบที่ทำเป็นประจำพลางเพิ่มเบอร์ใหม่ลงอุปกรณ์สื่อสารที่เขาไม่ค่อยจะใช้
คล็อดเห็นสัญลักษณ์ดรูอิดจาง ๆ บนหลังเครื่องมือสื่อสารของเจ้าของร้าน
จากที่รู้มา ร้านหนังสือนี้อยู่ภายใต้การปกครองของหอการค้าแอช อีกทั้งยังอยู่มาแล้วถึงสามปี… สามปีก่อนคือช่วงเวลาที่ตระกูลแชปแมนเอาตัว ‘ลูกครึ่ง’ กลับมา
หากไม่มีใครรู้เรื่องการมีอยู่ของร้านหนังสือนี้ ‘แม่มดแชปแมน’ ก็คงจะเป็นปริศนาไปตลอดกาลจริง ๆ
แต่เมื่อโยงจุดเชื่อมเข้าด้วยกันแล้ว ทุกอย่างก็ลงล็อกพอดี
แสดงว่าอิทธิพลของเจ้าของร้านหนังสือเริ่มมาตั้งแต่สามปีก่อนแล้วน่ะสิ แล้วระหว่างนี้โยนเบี้ยกระจัดกระจายไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้…
คล็อดรู้สึกเหมือนลำคอเหนียวขึ้นมา โชคดีที่หากรวมไวลด์ไปด้วย คนที่รู้เกี่ยวกับร้านหนังสือนี่ก็มีไม่มากนัก
ขนาดพวกสมาคมแห่งสัจธรรมนั่นยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ซึ่งก็ดีแล้ว… การตัดสินใจของหอพิธีกรรมต้องห้ามที่ตัดสินใจปกปิดข้อมูลถือว่าทันแบบเฉียดฉิว
เมื่อสมาคมฯ ต้องแตกแยกกันในอนาคต พวกเขาต้องหวังว่าจะไม่ไปถูกร่วมเข้ากับความยุ่งยาก อย่างไรเสีย หอพิธีกรรมต้องห้ามก็มอบคำเตือนไปเพียงพอแล้ว
“อ้อ… จริงด้วยสิ” เจ้าของร้านหนังสือพลันเงยหน้ามอง และนั่นทำให้สายธารความคิดของคล็อดสะดุด
คล็อดรีบเหยียดหลังตรงทันที “มีคำแนะนำอะไรอีกเหรอครับ?”
หลินเจี๋ยหัวเราะพรืดเมื่อเห็นสีหน้าของลูกศิษย์โจเซฟ พวกเขาทั้งคู่อายุดูพอกันแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายดูจะมองหลินเจี๋ยเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว…
เฮ้อ… แต่การเข้าใจผิดงี้ ถ้ามองอาจารย์ด้วยก็ถือว่าปกติละนะ
“อย่าเกร็งนักเลยครับ ไม่ใช่ว่าผมกินคนด้วยสักหน่อย” หลินเจี๋ยเล่นมุกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก่อนเอ่ยถาม “เมลิสซ่าเป็นไงบ้างเหรอครับ เธอเรียนดีอยู่หรือเปล่า
“ผมหมายถึงลูกสาวของอาจารย์คุณน่ะ ก่อนหน้านี้เธออาจจะฉุนเฉียวกับโจเซฟมาจนมางัดข้อกับผม แต่สุดท้ายก็ซื้อหนังสือผมกลับบ้านไปด้วย”
“มาคิด ๆ ดูแล้ว หนังสือพวกนั้นอาจจะยากสำหรับเธอไปสักหน่อย ผมหวังว่าการเรียนรู้ของเธอจะเป็นไปด้วยดีนะ”
‘เธอกำลังเจอปัญหาพอตัวเลยละครับ… นอนซมอยู่กับเตียงมาอาทิตย์นึงแล้วครับเนี่ย ส่วนเรื่องกินคนหรือเปล่านี่ ผมว่าสามคนที่นอนกองอยู่นั่นรู้ดีสุดนะครับ…’
คล็อดสบถในใจ ก่อนจะตอบอย่างสุภาพ “ขอบคุณที่ใส่ใจครับ เธอกำลังหมกมุ่นกับการเรียนพอตัวเลย ถึงช่วงนี้จะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แต่การพัฒนาก็ถือว่าเห็นได้ชัดมากครับ”
“ดีแล้วครับ กำชับเธอด้วยนะว่าต้องจัดเวลาเรียนกับพักให้ดีเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด” หลินเจี๋ยกล่าว
“ผมจะแจ้งให้เธอทราบครับ” คล็อดลอบถอนหายใจโล่งอก เมลิสซ่าอาจจะฟังก็ได้ในเมื่อคนพูดเป็นเจ้าของร้านหนังสือเอง “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับถ้าคุณไม่มีคำแนะนำอะไรแล้ว”
เมื่อได้รับการพยักหน้าจากเจ้าของร้านหนังสือ คล็อดก็ลุกยึ้นยืน และแบกตำรวจสามนายซึ่งไร้สติออกจากร้านหนังสือไป