เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 101 ผีตนสุดท้าย
หลินเจี๋ยโบกมือลาคล็อดด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า
เมื่อประตูปิดลงอีกครั้ง สายตาของเขาก็ตกไปอยู่ที่แหล่งอ้างอิงสุดหนาเตอะบนเคาน์เตอร์
ตั้งแต่ที่เขาถูกส่งตัวมาที่นี่ หลินเจี๋ยก็ไม่ได้แตะเรื่องพวกนี้มานานมากแล้ว ของอย่างพวกร่องรอยโบราณ เดินทางไปหมู่บ้านห่างไกล จัดเก็บข้อมูลงานวิจัย ไปจนถึงชีวิตวิ่งวุ่นไปมาแบบนั้นกลายเป็นความทรงจำอันห่างไกลไปเสียแล้ว
นอกจากช่วงแรกหลังการส่งตัวที่เขาอยากรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอารยธรรมของอาซีร์เพื่อการปรับตัวเข้ากับชีวิตของที่นี่แล้ว หลินเจี๋ยก็ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับวิชาชีพของตัวเองอีกเลย
การช่วยสาวเอลฟ์บูรณะความสำคัญของตระกูลตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หลินเจี๋ยยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการเลย กำลังอยู่ในช่วงเตรียมการด้วยซ้ำ
เขายังต้องรอให้โดริสกลับมาจากตระกูลแล้วมอบข้อมูลจำเป็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก่อน
อย่างไรเสีย หลินเจี๋ยก็เป็นแค่คนแปลกหน้าในที่แปลกถิ่นถึงขั้นไม่มีอะไรที่เขาจะเอาไปวิจัยได้เลยต่อให้ต้องการก็ตาม แต่ตอนนี้ คล็อดกลับเอาอะไรดี ๆ มาให้แล้ว
หลินเจี๋ยเอื้อมมือไปกางกระดาษอย่างอ่อนโยนด้วยความรู้สึกยินดียิ่งกว่าเดิม
ในเมื่อลูกศิษย์ของโจเซฟคือตำรวจระดับหนึ่ง แล้วประเด็นเรื่องตัวตนของมูเอนก็อธิบายให้เขาฟังด้วยตัวเองแล้ว หลินเจี๋ยจึงเชื่อว่าจะไม่มีสถานการณ์น่าเป็นห่วงแบบวันนี้อีก อย่างน้อยก็จนกว่าตัวตนใหม่ของมูเอนจากหอการค้าแอชจะถูกส่งมา
มีเส้นสายนี่มันดีจริง ๆ!
แน่นอนว่าหลินเจี๋ยย่อมต้องฝึกเยียวยาจิตใจคนอื่นอีก เล็งเป้าไว้เป็นเวลานานเพื่อตกปลาตัวใหญ่ ถึงตอนนั้นแหละถึงจะมีการพัฒนาความสัมพันธ์จนเขาสามารถรีดไถ…ไม่สิ เก็บเกี่ยวทรัพยากรจากลูกค้าจนทำให้ทุกคนมีแต่ได้กับได้
“อันนี้อะไรเหรอคะ” มูเอนเดินมาดู ดวงตาจับจ้องไปยังแหล่งอ้างอิงงานวิจัยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เด็กสาวมนุษย์เทียมมีจิตใจใฝ่รู้ปลูกฝังเอาไว้แต่แรกแล้ว การเรียนรู้ขนาดใหญ่ที่เธอได้รับมาช่วงนี้ทำให้เธอเข้าใจถึงความว่างเปล่าในช่วงแรก และนั่นทำให้เธอเริ่มจะโหยหาความรู้มากกว่าเดิม
“แหล่งอ้างอิงสืบไปถึงภาษาสาบสูญของอาซีร์จากสมัยโบราณน่ะครับ เป็นภาษาเดียวกับรอยแกะสลักบนดาบในห้องนอนผม”
หลินเจี๋ยใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากมูเอนและเผยสีหน้าจริงจังออกมา “นี่ไม่ใช่ของที่เธอควรจะดูนะครับ ระดับความรู้ยังไม่ถึงขั้นเลย คงไม่อยากหัวหมุนจนสลบคาที่เพราะดูเจ้านี่แบบสามคนนั้นหรอกใช่ไหมล่ะ?”
มูเอนใช้มือปิดหน้าผากพร้อมส่งเสียงไม่พอใจในลำคอเบา ๆ แต่เมื่อฉุกคิดเรื่องสัมผัสของทุกอย่างที่เธอรู้ว่าถูกเขียนขึ้นใหม่ ก็ทำให้เด็กสาวเดินถอยหลังไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่เพราะหลินเจี๋ยเอ่ยถึงรอยแกะสลักบนตัวดาบ มูเอนก็เผลอคิดไปถึงรอยสลักบนดาบที่เธอเห็น…
จากที่เห็นมาแวบ ๆ ตัวอักษรบนกระดาษโน้ตงานวิจัยดูจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับรอยแกะสลักบนดาบ เด็กสาวสัมผัสได้ถึงผีจากอารยธรรมที่ล่มสลายจากตัวอักษรเหล่านั้น
เศษซากยุคสมัยและเศษชิ้นส่วนข้อมูลอันมากล้นแวบเข้ามาในดวงตาของเธอทันที
แม้จะเป็นการเห็นเพียงชั่ววูบ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เธอตระหนก
มูเอนเหม่อลอยไปพักหนึ่ง เข้าใจว่านี่ไม่ใช่อะไรที่จะเห็นกันได้ การตอบสนองเพียงเท่านี้ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าภาพลวงตากำลังกลายเป็นจริง ใครจะรู้เล่าว่าหากใช้เวลากับมันมากกว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เด็กสาวรีบยกชุดน้ำชาแล้ววิ่งรี่ขึ้นบันไดไปล้างถ้วย
“ฝากเอาดาบกับโน้ตของผมบนโต๊ะลงมาด้วยนะ!” หลินเจี๋ยตะโกนไล่หลัง ก่อนจะถอนหายใจยามมองแผ่นหลังบาง ๆ หายไป
“ต้องกลัวขนาดนั้นเลยหรือไงกันนะ? เป็นแค่เด็กจริง ๆ ด้วย…มีพรสวรรค์แท้ ๆ แต่สุดท้ายก็ดันกลัวการเรียนซะงั้น
“เฮ้อ…จะโตได้จริง ๆ คงต้องรอเธอยอมเรียนหนังสือตามใจตัวเองซะละมั้งเนี่ย
“ถ้าถึงตอนนั้นละก็…คงไม่ได้รับมาแค่ผู้ช่วยร้านหนังสือละ แต่เป็นผู้ช่วยนักวิจัยด้วยเลยต่างหาก”
หลินเจี๋ยส่ายหน้าบางเบาพลางเหลือบมองไปยังสายกั้นสีเหลืองของตำรวจที่ปลิวไสวไปตามแรงลมด้านนอก
เขาคาดว่าวันนี้คงไม่มีลูกค้าคนไหนอีกต่อไปในสถานการณ์แบบนี้ จึงเดินไปล็อกประตูและพลิกป้ายให้ขึ้นว่า ‘ปิด’
หลินเจี๋ยกลับไปนั่งบนที่นั่งหลังเคาน์เตอร์ของตน เปิดโคมไฟตั้งโต๊ะขึ้น แล้วเริ่มอ่านโน้ตวิจัยอย่างถี่ถ้วนจริงจัง
เอกสารที่โจเซฟจัดมาให้มีตัวสำเนาของเอกสาร โน้ตวิจัยสำคัญที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงอย่างอื่น เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วก็มีอักษรต้นตำรับถึงยี่สิบเอ็ดหน้า โน้ตวิจัยสำคัญอีกสิบห้าแล้วก็…ชื่อหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องนี้อีกเล่มเดียว
เป็นที่ชัดเจนว่าภาษานี้ยังไม่ถูกศึกษาอย่างจริงจัง
หลินเจี๋ยเริ่มอ่านเอกสารที่บรรพบุรุษเขียนก่อนเป็นอย่างแรก
มีชื่อนักวิจัยแค่สองชื่อคือ ‘พริตต์ ฮอลล์’ และ ‘ทรอลโลป รูเพิร์ต’ ในขณะที่งานวิจัยมีทั้งหมดสี่ส่วน
งานวิจัยของรูเพิร์ตคือสามส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ซึ่งหลินเจี๋ยแปะป้ายไว้ว่าเป็น ‘พวกคลั่งศาสนา’ ‘ยุครุ่งเรืองของราชอาณาจักร’ และ ‘การล้างแค้นอย่างเดียวกัน’ การเรียนรู้ของฮอลล์นั้นเป็นอีกหนึ่งส่วนที่เหลือซึ่งกระจัดกระจายไปทั่ว ก็คือ ‘วัฒนธรรม’
หลังตัดความเห็นไร้สาระมากมายออก ก็เหลือแค่สามข้อมูลหลักเท่านั้นที่สำคัญ
อย่างแรก ภาษาโบราณพวกนี้ถูกขุดขึ้นมาจากซากหักปรักพังในเขตตอนล่าง และโยงยาวไปถึงอาซีร์โบราณยุคสอง ซึ่งก็คือราชอาณาจักรอัลฟอร์ดในช่วงยุคมืด
และสิ่งที่ภาษาโบราณพวกนี้บันทึกเอาไว้ ก็คือช่วงเวลาที่หายไปในหน้าประวัติศาสตร์นั่นเอง
อย่างที่สอง รายละเอียดคร่าว ๆ ที่สองคนนี้ขุดพบนั้นคล้ายกับที่หลินเจี๋ยฝันมาก่อนอย่างน่าประหลาด
การจุติของ ‘พระเจ้า’ ทำให้เกิดการบูชาและความกลัว ยุครุ่งเรืองอย่างรวดเร็วของราชอาณาจักรอัลฟอร์ด ไปจนถึงยุคสมัยสุดท้ายของราชาแห่งอัลฟอร์ดซึ่งกล้าท้าทาย ‘พระเจ้า’ องค์นี้ ทำให้ตัวเขาสลายหายไปพร้อมกับราชอาณาจักรของตัวเอง
ถึงขั้นมีตัวอย่างประเพณีอย่าง ‘งานเฉลิมฉลองในโถงขาว’ และ ‘ลอเรลที่ราชาทรงสวม’
พวกนี้คือทั้งชีวิตของราชาเอลฟ์แคนเดลาที่หลินเจี๋ยได้พบในความฝันทั้งนั้น
อย่างที่สาม ชื่อหนังสือถูกเรียกว่า ยุคมืด ‘ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ด’ ตอนนี้มันถูกรักษาไว้อย่างดีโดยองค์กรที่ชื่อว่าสมาคมแห่งสัจธรรม ซึ่งนักวิจัยทั้งสองคนนั้นไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
หลินเจี๋ยนวดหว่างคิ้ว นี่ถือว่าเกินคาดไปมาก
ฝันทำนายอนาคต? หรือเป็นแค่เดจาวูเฉย ๆ กันแน่นะ?
แต่ทุกอย่างในความฝันยังแจ่มชัดในความทรงจำ และพวกเอกสารนี่ก็ไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้เหมือนกัน
ย้อนไปตอนที่หลินเจี๋ยได้รับดาบมา เขาแยกออกได้ทันทีเลยว่านี่เป็นรอยแกะสลักของภาษาอาซีร์โบราณเพราะเคยเจอตัวอักษรประมาณนี้ในช่วงที่ตัวเองเรียนรู้เรื่องอาซีร์ตอนมาที่นี่แรก ๆ
แหล่งอ้างอิงส่วนใหญ่ที่เขาได้มาก็มาจากหอการค้าแอชด้วย เพราะอย่างนั้นมันไม่มีทางเป็นของปลอมได้เหมือนกัน
ดูเหมือนว่าหากเขาได้ ‘ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ด’ มาอยู่ในมือ จะทำให้หลินเจี๋ยเข้าใกล้ความจริงเข้าไปอีกหนึ่งก้าวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลินเจี๋ยเพิ่งมารู้ตัวว่ามูเอนวางดาบลงข้างตัวเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากวางเอกสารลง
เขาหยิบดาบขึ้น เพ่งพินิจมองคมดาบประกายเป็นเงาสะท้อนกระจก แล้วจึงเบือนสายตาไปมองรอยแกะสลักบนนั้น
เขาเก็บดาบไปตั้งแต่ที่ช่วยเหลือมูเอนมาเพื่อไม่ให้เธอกลัว จึงไม่ได้มองมันดี ๆ มาสักพักแล้ว
มันผ่านมาก็ประมาณสองสามวันตั้งแต่ที่หลินเจี๋ยตื่นขึ้นมาจากฝันที่เขาได้สังหาร ‘เทพเจ้า’
เขามองไปยังดาบครั้งแรกตั้งแต่ตอนนั้น และจู่ ๆ สัมผัสอันคุ้นเคยก็ไหลเข้ามาในจิตใจ
โดยไม่รู้ตัว เขากลับเข้าใจคำที่สลักอยู่บนดาบว่า ‘เมื่อราตรีมาถึงจุดจบ เจ้าจักเป็นแสงสว่าง’
เช่นเดียวกับใจความสำคัญของหินสลักพวกนั้น
สิ่งที่ฮอลล์กำลังวิจัยอยู่ไม่ใช่ ‘ประเพณี’ ดาษดื่น แต่เป็นการเฉลิมฉลองในการมอบดาบศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
ราวกับก๊อกน้ำถูกเปิดออก หลินเจี๋ยสัมผัสได้ถึงตัวตนของแคนเดลาอีกครั้ง ภาพสะท้อนบนดาบจู่ ๆ ก็กลายเป็นราชาเอลฟ์ผู้สง่างามซึ่งมีเรือนผมสีทองปลิวไสวและดวงตาสีเขียวมะกอก
นี่คือของขวัญสุดท้ายของวิญญาณอัลฟอร์ดที่หลงเหลือก่อนจะสูญสลายไป…วิญญาณบริสุทธิ์ของเขาเอง!