เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 108 คัมภีร์ตะวัน
จาก ‘เนตรจันทรา’ ของวินเซนต์ หนังสือเล่มนั้นเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาทันทีที่มันออกมาจากชั้นหนังสือ
มันเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน ส่องสว่างไปทั่วทั้งร้านหนังสือ
เจ้าของร้านหนังสือนั้นเหมือนกับถือลูกบอลไฟอยู่ลูกหนึ่ง…ไม่ก็ดวงอาทิตย์ขนาดย่อมดวงหนึ่ง แสงสว่างเข้มข้นนั้นดูจะทำให้คนมองได้ประสบกับพลังที่มันบรรจุไว้ กอปรกับรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าของเขาแล้ว ความรู้สึก ‘ศักดิ์สิทธิ์’ อันแรงกล้าที่เล็ดลอดออกมาจากภายในก็ทำให้วินเซนต์ตกตะลึงอย่างสุดใจ
บาทหลวงของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดผู้นี้อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นมา
เขารู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกในลักษณะนี้เหลือเกิน…
ทุกครั้งระหว่างการทำสมาธิและภาวนา เมื่อวิญญาณและตราศักดิ์สิทธิ์ของเขาสั่นพ้องกัน ความคิดต่าง ๆ ก็จะจมลงในเขตแดนอีเธอร์ของดวงจันทร์
และเมื่อเขาได้รับพรจากความโปรดปรานและความคุ้มครองของดวงจันทร์ เขาก็จะใช้เวทมนตร์รักษาผู้ป่วยหรือกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้
นักบวชทุกผู้ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดต่างมีพลังนั้นในตัว ทำให้พวกเขากลายเป็นตัวตนเหนือธรรมชาติที่แตกต่างจากคนธรรมดาได้…
ดวงจันทร์เหนือจุดสูงสุดได้ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ของตนให้กับเหล่าสาวกผู้ทุ่มเทและเคร่งครัด
แต่เห็นได้ชัดว่า ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ และอำนาจที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในหนังสือเล่มนี้นั้นเข้มข้นยิ่งกว่า ซอกซอนกว่า อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
มันราวกับอำนาจจิตวิญญาณของดวงจันทร์จำนวนมากถูกบีบอัดและจุดให้ลุกโชนขึ้น…
วินเซนต์สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังทั้งสองมีรากฐานเดียวกัน
และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าสำหรับวินเซนต์ก็คือ เขาสัมผัสได้ลาง ๆ ว่าอำนาจทั้งสองนี้ไม่ได้มาจากแหล่งที่มาเดียวกัน แต่พวกมันเป็นแหล่งที่มาของกันและกัน…
ส่วนอำนาจใดมาจากอำนาจใดนั้น วินเซนต์พยายามมองข้ามความคิดนี้ไป
ทว่า ‘เนตรจันทรา’ นั้นไม่ได้พลาดปรากฏการณ์ประหลาดใด ๆ ที่เกิดขึ้นในคลองจักษุเลย
แหล่งแสงจาง ๆ อีกแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้านี้ วินเซนต์มองไปที่มันอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง เขาเกือบกระชากผ้าปิดตาของตัวเองออก
แหล่งแสงอีกแห่งหนึ่งที่เปล่งแสงจาง ๆ แล้วสะท้อน ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ ของหนังสือเล่มนั้นคือตราศักดิ์สิทธิ์ของเขาเอง!
ใช่แล้ว ตราจันทร์เสี้ยวสีเงินของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดในตอนนี้กำลังเปล่งแสงออกมาอย่างนุ่มนวล…
วินเซนต์มองตราศักดิ์สิทธิ์ของเขาเปล่งแสงจ้าขึ้นเรื่อย ๆ แสงสว่างของมันสว่างกว่าแสงเปล่งออกมาในตอนที่เขากำลังทำสมาธิหรือใช้เวทมนตร์เสียอีก!
การเปล่งแสงผิดที่ผิดเวลานี้ วินเซนต์ทำได้เพียงจ้องตราศักดิ์สิทธิ์แล้วสงสัยกระทั่งว่านายที่แท้จริงของมันคือใครกันแน่?
เมื่อคิดถึงตราศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กับเขาเสมอกระทั่งในยามหลับเป็นเช่นนี้ วินเซนต์ก็รู้สึกเหมือนถูกหักหลังอย่างหาใดปาน
และในเวลาเดียวกัน เนื่องจากตราศักดิ์สิทธิ์นี้หลอมรวมกับวิญญาณส่วนหนึ่งของเขา วินเซนต์ก็สัมผัสถึงพลังงานอันอบอุ่นและเปี่ยมด้วยพลังชีวิตสายหนึ่งไหลบ่าเข้ามาในร่างของเขา บาทหลวงผู้นี้ไม่อาจต้านทานพลังงานอันแข็งแกร่งนี้ได้เลย และมันก็ทำให้ทุกความไม่สบายตัวและกระวนกระวายทั้งหมดในร่างของเขาสงบลงทันที
วินเซนต์ผ่อนคลาย ตกสู่ภวังค์ราวกับเขากำลังแช่ในบ่อน้ำร้อนหลังจากผ่านวันที่ยุ่งยากและยาวนานไป
มันเป็นความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ไม่มีความเหินห่างใดกับความศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ แล้วมันกระทั่งไหลรินราวลำธาร…
ในขณะที่ร่างกายของเขาผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ ความคิดที่ร้ายกาจหนึ่งก็คืบคลานเข้ามาในใจของวินเซนต์…พระเจ้าอันแท้จริง?!
ฉับพลันที่คิดเช่นนั้น ความน่ากลัวจากทุกสิ่งที่เขารู้มาก่อนต่างถูกโยนออกหน้าต่าง เกิดความเย็นเยือกไหลไปตามสันหลังของวินเซนต์และทำให้เขาสั่นสะท้าน
ร่างของวินเซนต์แข็งทื่อ แล้วในใจของเขาก็เต็มไปด้วยคำพูดที่หลินเจี๋ยเพิ่งจะพูด “คุณจะเต็มใจเชื่อใครครับ?”
ความหมายแฝงเบื้องหลังประโยคนี้ไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่วินเซนต์ตีความไว้ก่อนหน้านี้!
เจ้าของร้านหนังสือไม่ได้ถามเกี่ยวกับแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ โบสถ์ หรือให้วินเซนต์เลือกเลย
ในทางกลับกัน เขาถามว่าวินเซนต์จะเลือกเชื่อในอะไรเมื่อเขาได้เห็น ‘ความแตกต่าง’ นี้ เมื่อความเข้าใจของเขาเองถูกโค่นล้ม
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือความจริงที่วินเซนต์เคยกลืนน้ำลายแล้วขอให้ดวงจันทร์อภัยให้กับการลบหลู่ของเขาด้วย
เขาต้องหลงผิดไปแน่ ไม่อย่างนั้นจะมีความคิดน่าขำว่าพลังในหนังสือเล่มนั้นจะเป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ไปได้ยังไง?
“ท่ามกลางค่ำคืนที่ยาวนานในชีวิตผม หนังสือได้สร้างตัวเองเป็นประภาคารหลังโตที่ส่องสว่าง หนังสือได้เปิดเผยช่องทางที่ลึกที่สุดในชีวิตและวิญญาณของมนุษย์ให้กับผม”
หลินเจี๋ยยื่นหนังสือด้วยรอยยิ้ม พลางท่องข้อความส่วนหนึ่งที่ยกมาจากหนังสือสามวันเพื่อการมองเห็นออกมา
แล้วเขาก็พูดว่า “คนตาบอดต้องรักษาหัวใจและจิตใจให้กระจ่าง การอ่านก็เป็นทางที่ดีอีกทางหนึ่ง หนังสือคือบันไดของความก้าวหน้าของมนุษยชาติและหนทางแห่งการศึกษาที่จะช่วยให้คุณใจเย็นลงครับ”
“อัตชีวประวัตินี้เกี่ยวกับเฮเลน เคลเลอร์ ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือบันทึกเรื่องราวชีวิตของเธอครับ”
“บุคคลที่หูหนวกและตาบอดโดยกำเนิดจะพบความหวังในชีวิต มองทุกอย่างในแง่ดี แล้วใช้ชีวิตที่สว่างไสวยิ่งกว่าคนอื่นส่วนใหญ่ได้อย่างไร?”
หลินเจี๋ยรู้สึกว่านี่คือหนังสือที่ดีที่สุดที่จะส่งให้บุคคลตาบอดได้
วินเซนต์จ้องหนังสือเล่มนั้น ยังคงหวั่นไหวกับคำว่า “ท่ามกลางค่ำคืนอันยาวนาน”
ค่ำคืนอันยาวนานนี่จะหมายถึงยุคที่สองในสมัยโบราณหรือเปล่า? ช่วงที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงและไฟ?!
เฮือก!
วินเซนต์สูดหายใจเฮือก แต่แรกตัวเขาเดาไว้ว่าเจ้าของร้านหนังสือเป็นบุคคลเหนือธรรมชาติในระดับภัยพิบัติ แต่จากการปะติดปะต่อคำพูดเหล่านี้ร่วมกับความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือแล้ว…
หรือเขาจะเป็นตัวตนระดับเหนือนภาที่มีชีวิตอยู่มาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว?!
แผ่นหลังของวินเซนต์ชุ่มด้วยเหงื่อเย็นแล้ว และตอนนี้เขาก็รู้สึกหนาวเยือก
เมื่อพูดถึงคนตาบอด เขากำลังเย้ยหยันผู้คนจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่ไม่อาจเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงและบูชาเปลือกที่ว่างเปล่าอยู่หรือเปล่า?
ทุกประโยคที่เจ้าของร้านหนังสือพูดดูจะมีความหมายของมัน วินเซนต์ปรามาสตนเองจากการที่เขาต้องใช้เวลาสักพักในการตีความแต่ละครั้ง
มันเหมือนกับเขาเป็นเพียงเด็กไม่รู้ตาสีตาสาที่ยืนอยู่ที่เท้าของยักษ์ แล้วความรู้สึกด้อยกว่าก็ผุดขึ้นในตัวเขา
หลินเจี๋ยพูดต่อ “ที่จริงแล้ว ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือเชื่อในตัวเองครับ อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วตัดสินเพื่อตัวคุณเอง คุณก็แค่ต้องหาตัวตนที่แท้จริงของคุณให้เจอ แล้วก้าวออกมาจากความมืด ใช้ดวงตาที่ใจในการมองความจริง แล้วโอบกอดแสงสว่างไว้”
เขาพยักเพยิดให้วินเซนต์รับหนังสือไป
วินเซนต์จ้องหนังสือก่อนจะค่อย ๆ ยกมือทั้งสองขึ้นรับหนังสือมา
แสงสว่างสีขาวที่ดูราวกับกองเพลิงควบรวมเข้าหากันแล้วจางลง ค่อย ๆ เผยรูปร่างของหนังสือและชื่อของมันออกมา
ข้อความที่จารึกไว้นั้นเหมือนกับอักษรลิ่มโบราณที่มีลักษณะเป็นจุด ๆ และเครื่องหมายอื่น ๆ ที่วินเซนต์ไม่เคยเข้าใจ แต่เมื่อเขาเอื้อมไปสัมผัสข้อความเหล่านั้น ความหมายของมันก็กระจ่างแก่ใจเขาราวกับเป็นธรรมชาติ
คัมภีร์ตะวัน นั่นคือชื่อของหนังสือเล่มนี้
แสงจันทร์มีที่มาจากดวงอาทิตย์ และเพราะเช่นนั้น ที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์จึงเป็นคัมภีร์ตะวัน ความคิดนี้เด้งขึ้นมาในใจของวินเซนต์โดยไม่รู้ตัว…
ทว่าไม่มีใครเชื่อในดวงอาทิตย์มาก่อนเลย หลังจากยุคแรกจบลง แสงสว่าง เปลวเพลิง และดวงอาทิตย์ก็หายไปจากในแดนนิมิตและอาซีร์ก็เข้าสู่ยุคที่สองอันไร้แสงและเปลวเพลิง
หากดวงอาทิตย์คือพระเจ้าที่แท้จริง แล้วดวงจันทร์ในตอนนี้ล่ะคืออะไร?